เอเจนซี่ – ยอดรถยนต์ผลิตใหม่ขายไม่ออกในจีนพุ่งสูงสุดในรอบ 4 ปีเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน ขณะที่บริษัทรถเร่งการผลิต แต่ยอดขายกลับเนือยลงอย่างคาดไม่ถึง
หนังสือพิมพ์ ไชน่า ซิเคียวริตี้ส์ เจอร์นัลของทางการจีนรายงานเมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ว่า รถยนต์ขายไม่ออกเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนมีทั้งสิ้น 170,000 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุด นับตั้งแต่ยอดค้างสต็อคบนแดนมังกรเคยมีมากถึง 200,000 คันในช่วงเดียวกันของปี2547 โดยหนังสือพิมพ์อ้างคำพูดของหัวหน้านักวิเคราะห์รถยนต์ประจำศูนย์ติดตามตรวจสอบราคาของคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติ
ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่า รถยนต์ผลิตใหม่ค้างสต็อคมากขึ้นและการเติบโตในการขายชะลอลงในตลาดรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของโลกอย่างจีน มีสาเหตุส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากรัฐบาลจีนตัดสินใจให้ระงับช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน จากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดแผ่นดินไหวที่เสฉวนเมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งทำให้ผู้บริโภคหมดความกระตือรือล้น
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดด้วยว่า ความต้องการซื้อรถยนต์จะยังไม่กระเตื้องขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันขายปลีกที่พุ่งขึ้นเกือบร้อยละ 20 จากการเปิดเผยเมื่อปลายเดือนก่อน
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์ในจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เป็น 3,610,000 คัน หลังจากเติบโตกว่าร้อยละ 20 ต่อปีมาตั้งแต่ปี 2548
ยอดขายรถยนต์ทุกประเภททั้งหมดในเดือนมกราคม-มิถุนายน พุ่งขึ้นร้อยละ 18.5 เป็น5,180,000 คัน โดยลดลงจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 21.8
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการผลิตกลับเพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายคาดว่ายอดขายรถยนต์จะสูงถึง 10 ล้านคันในปีนี้ มีไม่กี่รายที่คาดว่ายอดขายจะชะลอลง
บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ของญี่ปุ่น ซึ่งผลิตรถยนต์ในจีนร่วมกับหุ้นส่วนคือไชน่า เฟิร์สต์ ออโตโมบิล กรุ๊ป และกวางโจว ออโตโมบิล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเด็นเวย์มอเตอร์ ได้เปิดเผยแผนขยายการผลิตในปีนี้ โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตในจีนอีกปีละ 187,000 คัน จากปัจจุบัน 813,000 คัน