“หนึ่ง....คำนับฟ้าดิน สอง....คำนับพ่อแม่ สาม....คำนับกันและกัน ส่งตัวเข้าห้องหอ” (一拜天地, 二拜高堂, 夫妻对拜, 送入洞房) เป็นวลีในพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน (拜堂) ที่ได้ยินกันบ่อยครั้งในหนังจีนกำลังภายใน โดยพิธีดังกล่าวเป็นพิธีการหนึ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับพิธีแต่งงานแบบจีนโบราณ
การแต่งงานในสังคมจีนนั้น เริ่มปรากฎครั้งแรกในตำนานเทวะของจีน เล่าถึงเทพธิดาหนี่ว์วา ผู้สร้างมนุษย์ ได้แต่งงานกับ ฝูซี พี่ชายของตัวเอง ต่อมาในบันทึกประวัติศาสตร์ “ทงเจี้ยนไว่จี้” ได้กล่าวถึงชายหญิงเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อนเมื่อแต่งงานจะใช้หนังกวางต่างสินสอดทองหมั้น และในยุคต่อมานอกจากหนังกวางแล้ว ยังเพิ่มธรรมเนียมบอกกล่าวพ่อแม่เข้ามาด้วย กระทั่งกาลเวลาล่วงเลยมาถึงราชวงศ์เซี่ย (2,100-1,700 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และซาง (1,700-1,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ก็ปรากฎประเพณีรับเจ้าสาวเข้าบ้าน
เดิมทีชาวจีนสมัยก่อนเรียกพิธีแต่งงานว่า ”昏礼” (ฮุนหลี่) แปลตรงตัวว่า “พิธีกรรมยามโพล้เพล้” เพราะงานสมรสส่วนใหญ่มักจัดขึ้นในยามเย็น กระทั่งแผลงมาเป็นคำว่า “婚礼” (ฮุนหลี่) ในปัจจุบัน และหลักสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานแต่งงานตามความเชื่อจีนโบราณก็คือหลัก “3 หนังสือ 6 พิธีการ” (三书六礼)
3 หนังสือที่กล่าวถึงนั้น ได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย หนังสือแสดงสินสอด และหนังสือรับตัวเจ้าสาว ส่วน 6 พิธีการเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การหมั้นกระทั่งถึงพิธีแต่งงาน ได้แก่
1. สู่ขอ – ผู้ใหญ่ฝ่ายชายและแม่สื่อเดินทางไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง พร้อมมอบของขวัญที่มีความหมายมงคลให้แก่บ้านผู้หญิง ส่วนครอบครัวฝ่ายหญิงเองจะถือโอกาสนี้สอบถามแม่สื่อเกี่ยวกับครอบครัวฝ่ายชาย
2. ขอวันเดือนปีเกิด – หลังจากสู่ขอสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมอบวันเดือนปีเกิดของลูกสาวให้แก่บ้านฝ่ายชายเพื่อนำไปเสี่ยงทาย
3. เสี่ยงทาย – หลังจากรับแผ่นกระดาษบันทึกวันเดือนปีเกิดฝ่ายหญิงมาแล้ว พ่อแม่ฝ่ายชายจะนำแผ่นวันเดือนปีเกิดไปวางไว้หน้ารูปปั้นเทพเจ้าหรือบนโต๊ะบูชาบรรพบุรุษ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบรรพบุรุษชี้แนะว่าการแต่งงานครั้งนี้จะนำโชคดีหรือร้ายมาสู่ครอบครัว ว่าที่คู่บ่าวสาวดวงชงกันหรือไม่ หากไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความไม่เป็นมงคลเกิดขึ้น การเตรียมงานแต่งก็เริ่มขึ้น ณ บัดนี้
4. มอบสินสอด – ฝ่ายชายส่งหนังสือหมายหมั้น และหนังสือแสดงสินสอดมายังบ้านฝ่ายหญิง โดยก่อนวันสมรส 1 เดือน-2 สัปดาห์ ครอบครัวฝ่ายชายจะเชิญญาติที่เป็นหญิง 2 หรือ 4 คน (ต้องเป็นหญิงที่มีความสุขพร้อม) พร้อมทั้งแม่สื่อ นำสินสอดทองหมั้นไปให้ฝ่ายหญิง และครอบครัวฝ่ายหญิงก็จะมอบของขวัญตอบ
5. ขอฤกษ์ – ครอบครัวฝ่ายชายรับหน้าที่หาฤกษ์งามยามดีจัดงาน และนำวันที่ได้ไปขอความเห็นจากฝ่ายหญิง
6. รับเจ้าสาว – ในวันมงคลสมรส เจ้าบ่าวในชุดพิธีการ พร้อมด้วยแม่สื่อ ญาติสนิท มิตรสหาย เดินทางไปรับเจ้าสาวที่บ้าน เมื่อถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว เจ้าบ่าวต้องไปเคารพศาลบรรพชนของฝ่ายหญิง หลังจากนั้นก็รับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวมาทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่บ้านฝ่ายชาย (ขณะออกเดินทางครอบครัวฝ่ายหญิงบางครอบครัวจะนำน้ำสะอาดสาดตามหลังเกี้ยว หมายถึง ลูกสาวแต่งงานไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวฝ่ายชาย เหมือนน้ำที่สาดออกไป) เมื่อเสร็จพิธีไหว้ฟ้าดินแล้วก็ถือว่าบ่าวสาวทั้งสองเป็นสามีภรรยากันโดยถูกต้อง จากนั้นก็ส่งตัวทั้งคู่เข้าสู่ห้องหอ
หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามหลัก “3 หนังสือ 6 พิธีการ” ไป ก็ถือว่างานแต่งนั้นไม่สมบูรณ์ อาจส่งผลร้ายต่อชีวิตคู่ได้ โดยหลักการดังกล่าวนั้นเริ่มมีขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว(1,100-771 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ตามที่พบหลักฐานครั้งแรกใน “บันทึกพิธีการ” หมวดพิธีแต่งงาน
ในยุคสมัยต่อๆ มา จีนยังคงยืดหลัก “3 หนังสือ 6 พิธีการ” ของราชวงศ์โจวเป็นบรรทัดฐาน แต่เนื่องจากความแตกต่างทางด้านสังคม การเมืองของแต่ละยุคสมัย ทำให้รายละเอียดต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักการดังกล่าวตามสถานการณ์ ดังเช่นตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นจนถึง ราชวงศ์เหนือใต้ (202 ปีก่อนประวัติศาสตร์-ค.ศ.589) รัชทายาทอภิเษกสมรสไม่มีธรรมเนียมการเดินทางไปรับเจ้าสาว
ต่อมาในสมัยฮั่นตะวันออกถึงจิ้นตะวันออก (ค.ศ.25-420) ยิ่งมีความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสังคมไม่สงบ ไม่สามารถปฏิบัติให้ครบหลัก 6 พิธีการได้ จึงทำได้แค่การกราบไหว้พ่อแม่สามีเท่านั้น แม้แต่การจัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางการก็ถูกละเว้นไป
กระทั่งถึงราชวงศ์สุย (ค.ศ.581-618) และถัง (ค.ศ.618-907) พิธีอภิเษกสมรสของรัชทายาทก็ฟื้นประเพณีรับเจ้าสาวอีกครั้ง ราชนิกูลต่างๆ จะอภิเษกสมรสก็ต้องยึดตามธรรมเนียม 6 พิธีการอย่างเคร่งครัด
แม้ว่าในสมัยราชวงศ์ซ่ง ชนชั้นสูง ขุนนางต่างๆ ยังคงยึดมั่นใน 6 พิธีการ แต่ในหมู่ชาวบ้านนั้นเริ่มมองว่าพิธีการดังกล่าวยุ่งยากและซับซ้อนเกินไป จึงลดพิธีการเหลือเพียงแค่ 4 ขั้นตอนเท่านั้น โดยตัดขั้นตอน “ขอวันเดือนปีเกิด” “เสี่ยงทาย” และ “ขอฤกษ์” ทิ้งไป ทำให้ความสำคัญของพิธีการเหล่านี้ในยุคหลังๆ เริ่มลดลงเรื่อยๆ...
แปล/เรียบเรียงโดย สุกัญญา แจ่มศุภพันธ์