เอเยนซี – จิม โรเจอร์ส เซียนหุ้นนักลงทุนระดับโลก ได้แสดงความสนใจต่อหุ้นของไต้หวันโดยเปิดเผยว่า หลังจากที่นายหม่า อิงจิ่วได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ทำให้โรเจอร์ส ตัดสินใจรุกเข้าซื้อหุ้นและสกุลเงินดอลลาร์ไต้หวัน พร้อมชี้หุ้นจีนยังมีลักษณะของความเป็นหุ้นกระทิงอยู่
จิม โรเจอร์สได้เปิดเผยขณะที่ได้รับเชิญไปปาฐกถาที่ฮ่องกง โดยบอกว่าตลาดหลักทรัพย์ของจีนถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุด รองลงมาก็เป็นตลาดของไต้หวัน ซึ่งในขณะนี้ ไต้หวันจะกลายเป็นตัวเลือกที่ 3 ในการลงทุน เนื่องจากไต้หวันมีข้อได้เปรียบทางด้านทุนและบุคลากร ยิ่งถ้าจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันสามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติ ในอนาคตก็จะมีกำลังทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมาก
นอกจากนั้น โรเจอร์ส วัย 66 ปียังได้ระบุว่า เพิ่งจะเริ่มลงทุนในตลาดไต้หวัน นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนมาลงทุนที่นี่ โดยได้ซื้อหุ้น ETF เอาไว้ และในอนาคตยังจะเดินหน้าเลือกซื้อหุ้นของไต้หวันเข้ามาเพิ่มเติมอีก
ส่วนเรื่องของดัชนีตลาดกระดานเอในช่วงที่ผ่านมา ตนมองว่าเป็นการปรับฟื้นที่งดงาม โดยระบุว่า หากหุ้นจีนยังตก ก็จะช้อนซื้อหุ้นเพิ่ม “ตอนนี้ผมยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าหุ้นจีนจะลงถึงที่สุดเมื่อไหร่ แต่ว่า ตลาดหุ้นจีนในขณะนี้ยังมีคุณลักษณะของความเป็นตลาดกระทิงเหมือนเดิม” พร้อมชี้ว่าส่วนตัวแล้วสนใจหุ้นด้านประปา การเกษตร ไฟฟ้า และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เขาได้แนะว่าเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน ผู้ลงทุนจึงควรซื้อหุ้นไต้หวันเอาไว้ด้วย
นอกจากนั้น โรเจอร์สได้แนะนำว่า การแข็งค่าของเงินหยวนในขณะนี้เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ในขณะนี้เงินสกุลเหรินหมินปี้ถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ปลอดภัยที่สุด และการลงทุนในระยะยาวจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างมาก โดยส่วนตัวแล้วสนใจเงินสกุลเหรินหมินปี้มากที่สุด ส่วนเงินดอลลาร์ไต้หวันนั้นถือเป็นตัวแนะนำอันดับ 2 และอันดับ 3 เป็นเงินดอลลาร์ฮ่องกง
เซียนหุ้นผู้นี้ได้มองว่าหากจะถือดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่สู้มาซื้อเงินทั้ง 3 สกุลนี้ไว้ดีกว่า เพราะไม่แน่ว่าในอนาคตเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะยังเป็นเงินสกุลหลักอันดับหนึ่งของโลกเสมอไป เพราะสหรัฐฯมีปัญหาอยู่มาก แต่รัฐบาลกับทางการกลับมีความฉลาดไม่เพียงพอ ในวันหน้าสหรัฐฯจะเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรง และเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก ตลาดหุ้นอาจจะตกอีก 20%-30% แม้จะไม่ถึงขั้นวันโลกาวินาศ แต่ก็กำลังจะกลายเป็นตลาดหมีที่ซบเซาแล้ว
“สหรัฐฯกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจที่หนักที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุด ปัญหาซับไพรม์ที่อาจจะยังแก้ไม่ได้ในช่วง 1-2 ปีนี้”