พีเพิลเน็ต – กรมภาษีแห่งชาติจีนเผยปี2007ที่ผ่านมาจีนเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในขณะที่ภาษีอากรแสตมป์จากการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว โดยจีนได้กลายเป็นประเทศที่มีการเก็บภาษีอากรแสตมป์ดังกล่าวสูงที่สุดในโลกหลังจีนได้ปรับขึ้นกว่า 3 เท่าตัวเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
นายซูฉี่หมิง หัวหน้าสำนักงานวางแผนและสถิติกรมภาษีแห่งชาติจีนได้เปิดแถลงข่าวเปิดเผยว่าในปีที่ผ่านมาทั้งปี จีนสามารถเก็บภาษีได้ 4.9449 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1.1813 ล้านล้านหยวน หรือเพิ่มขึ้น 31.4% และคิดเป็น 20% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น 2%
ในขณะที่ผลกำไรภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 36.7% ภาษีรายได้นิติบุคคลก็เพิ่มขึ้น 36.6% มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 27.4% ซึ่งสามารถเก็บภาษีศุลกากรได้เพิ่มขึ้น 23.9% และเก็บภาษีจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เพิ่มขึ้น 40.3%
นอกจากนั้นซูฉี่หมิงยังได้ระบุว่าปัจจุบันจีนยังไม่มีความคิดที่จะเก็บภาษีรายได้จากการซื้อขายหุ้น ส่วนบุคคล โดยได้แยกภาษีรายได้จากการโอนหุ้นกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ไว้คนละรายการ เพื่อสะดวกแก่การจัดทำสถิติเพื่อสนับสนุนข้อมูลในการควบคุมดูแลเศรษฐกิจมหภาค
ด้านตัวเลขภาษีจากอากรแสตมป์การซื้อขายหุ้นในปีนี้สูงถึง 200,500 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปี 2006 182,500 ล้านหยวน หรือเพิ่มขึ้นราว 10 เท่า ในขณะที่ภาษีการลงทุนในหลักทรัพย์ และภาษีอากรแสตมป์การซื้อขายหุ้นและภาษีการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์รวมกันเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 6%
ในขณะที่สถิติจากไวด์ อินโฟ ได้ระบุว่าในปี 2007 ตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 ของจีนมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 53.4ล้านล้านหยวน และเมื่อคำนวณค่าธรรมเนียมที่ประมาณ 0.15% ในปีที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์จะได้ค่าธรรมเนียมทั้งสิ้น 160,000 ล้านหยวน
เมื่อรวมรายได้จากภาษีอากรแสตมป์กับค่าธรรมเนียมแล้ว เท่ากับในปีที่ผ่านมาผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องจ่ายเงินที่มากถึง 360,500 ล้านหยวนซึ่งตัวเลขดังกล่าวแทบจะเท่ากับตัวเลขผลกำไรสุทธิของบริษัทที่จดทะเบียนหลักทรัพย์ในปี 2006 หรือ 70%ของผลกำไรสุทธิไตรมาส 3 ของบริษัทในตลาด
ทั้งนี้ สื่อจีนยังได้รายงานว่าการเก็บภาษีอากรแสตมป์จากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของจีนนั้นจัดว่าสูงที่สุดในโลก หลังกระทรวงการคลังประกาศ ปรับเพิ่มภาษีอากรแสตมป์การซื้อขายหุ้นขึ้น 3 เท่าตัวจาก 0.1% เป็น 0.3% เมื่อค่ำวันที่ 29 พ.ค. 2007 เพื่อกุมบังเหียนตลาดกระทิงดุของจีน
