xs
xsm
sm
md
lg

25 ปียังพริ้ว! “รัศมี ทองสิริไพรศรี” นักปั้นนางแบบรุ่นใหม่ประดับวงการมากมาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลายคนอาจจะติดภาพ “ลูกหมี-รัศมี ทองสิริไพรศรี” ในฐานะนางแบบ นักแสดง หรือพิธีกร แต่อีกหนึ่งบทบาทที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “คุณครู” ซึ่งเธอจบการศึกษาจากคณะครุศาสตร์ และแม้จะโลดแล่นในวงการบันเทิงมาหลายสิบปี แต่จิตวิญญาณของความเป็นครูยังมีอยู่เต็มเปี่ยมไม่เสื่อมคลาย เธอสวมบทบาทครูสอนเดินแบบและพัฒนาบุคลิกภาพ โดยเปิดสถาบันสอนเดินแบบและพัฒนาบุคลิกภาพ “We Are Model” มาเกือบ 20 ปีแล้ว

สิ่งที่เจ้าตัวภาคภูมิใจ นอกจากที่ได้สอนแล้ว คือการได้เห็นบรรดาลูกศิษย์มีบุคลิกภาพที่ดี และประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ใฝ่ฝัน เธอเป็นส่วนหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของคนดังมากมาย ที่เคยผ่านการเข้าคอร์สกับเธอ อย่าง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่, แอนโทเนีย โพซิ้ว มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2566, อาย ศรุชา นิลจันทร์ รองอันดับ 2 Miss Grand Thailand 2017, โกโก้-อารยะ ศุภฤกษ์ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2019 ฯลฯ



อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้นางแบบแถวหน้าของเมืองไทย ตัดสินใจที่จะเป็นคุณครู Celeb Online จะพาไปหาคำตอบพร้อมกัน?

ก่อนจะเฉลยคำตอบ ลูกหมีเริ่มต้นจากการพาย้อนวันวานไปสู่จุดเริ่มต้นในการเข้าวงการบันเทิงว่า สมัยเด็ก ด้วยความที่มีรูปร่างสูง ผอม ทำให้เธอได้รับเลือกให้เป็นนักบาสเกตบอลของโรงเรียน ลูกหมีเอาดีในการเล่นกีฬามาเรื่อยๆ ด้วยผลงานที่เข้าตา ทำให้เธอได้ไปอยู่ในทีมบาสเกตบอลหญิงของสโมสรธนาคารกรุงเทพ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็ตัดสินใจเลิกเล่นกีฬา เพราะด้วยผลการเรียนที่ไม่สู้ดี “จำได้ว่า เกรดเฉลี่ยเทอมแรก 1.56 ตอนนั้นก็คิดแล้วว่าจะมัวเล่นไม่ได้ ต้องหันมาใส่ใจการเรียน”

พอหันหลังให้กับการเล่นกีฬา ด้วยรูปร่างที่ผอม สูง กลายเป็นใบเบิกทางให้เธอก้าวสู่วงการบันเทิง

“จุดเปลี่ยนที่ทำให้ได้เข้าวงการคือ มีครั้งหนึ่งเราตามคุณแม่ไปที่ร้านทำผม ซึ่งพอดีเจ้าของร้านเป็นเมกอัพอาร์ติสต์ที่มีชื่อเสียง พอเห็นรูปร่างของลูกหมีที่สูงยาวเข่าดี เลยเอ่ยปากชวนให้ลองไปสมัครเปรียว ซูเปอร์โมเดล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการประกวดนางแบบมืออาชีพเวทีใหญ่ของประเทศไทย ตอนที่พี่เขาชวน เราก็ยังไม่ได้ตอบรับ จนพอนั่งรถกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ก็บอกว่าให้ลองไปประกวดสนุกๆ เราก็เลยไป ปรากฏว่าได้ตำแหน่งตอนปี 1998 และได้เข้าวงการตอนอายุ 20 ปี เริ่มจากถ่ายโฆษณา เป็นนางแบบ พิธีกร แล้วก็นักแสดง”


หลังจากโลดแล่นในวงการได้ 6 ปี ลูกหมีก็ตัดสินใจเปิด “We Are Model” สถาบันสอนเดินแบบและพัฒนาบุคลิกภาพ

“ด้วยความที่เราเรียนจบด้านครุศาสตร์ เลยมีไอเดียเรื่องการเป็นครูมาตลอด บวกกับตอนนั้นบ้านเราไม่มีโรงเรียนสอนเดินแบบ พัฒนาบุคลิกภาพ เลยอยากจะพัฒนานางแบบไทยให้มีอาชีพเป็นนางแบบ หรือจะต่อยอดไปเป็นนักแสดงก็ได้ ด้วยการเอาความรู้ ความสามารถประสบการณ์ที่เรามี มาบวกกับความรู้ด้านครู ที่ทำให้เราสามารถสอนและถ่ายทอดความรู้ได้ดีมาใช้”

ถามว่า ทำไมถึงอยากเป็นครู จริงๆ ตั้งแต่เด็ก ตอนป.1 ที่คุณครูจะให้เขียนเรียงความว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เรียงความของลูกหมีก็เขียนว่าอยากเป็นครู อย่างไรก็ตาม ลูกหมีบอกว่า เธอเองไม่ได้วาดภาพอนาคตไว้ชัดเจน ว่าโตขึ้นจะมาเป็นครูอย่างไร แต่เพราะตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่ตอนแรกสนใจเรื่องการเมือง เลยเลือกคณะรัฐศาสตร์ แต่คะแนนไม่ถึง มาได้อันดับ 2 คือ ครุศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งช่วงที่เรียนเป็นช่วงที่เริ่มเข้าวงการพอดี 6 ปีแรก เลยเน้นเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงาน จนมีประสบการณ์ในวงการพอประมาณ เลยคิดจะลงมือทำ

“เรียกว่าเป็นการหลอมรวมสองสิ่งที่ชอบไว้ด้วยกัน ทั้งงานสอนและงานในวงการบันเทิง ขณะเดียวกัน ก็เป็นความท้าทาย เพราะเราต้องเอาความรู้ ความสามารถที่มีมาผลิตคนให้เป็นมืออาชีพ มีบุคลิกภาพที่ดี เดินสวย นั่งสวย ถ่ายรูปเป็น จะไปแคสต์ติ้งอะไรก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำด้วยความสุข เพราะเราอยากถ่ายทอด ให้ความรู้จริงๆ เราไม่หวงวิชา ไม่ได้คิดว่าถ้าเราเทรนคนอื่นเป็นนางแบบแล้วเราจะไม่ได้เดินแบบ”


ร่วม 20 ปีที่ผ่านมา We are Model ค่อยๆ เติบโต จากการบอกต่อปากต่อปาก มีหลายคนที่มาเรียนที่นี่ และเติบโตไปประสบความสำเร็จในสายงาน ทั้งในวงการบันเทิง และสายอาชีพอื่นๆ

“จุดเด่นของที่นี่คือ เราให้ความสำคัญกับคุณภาพ และมีการพัฒนาการเรียนการสอนตลอด ด้วยความที่ลูกหมีสอนเอง อยู่กับเด็กๆ หรือผู้เรียนตลอด ทำให้รู้ว่าเด็กแต่ละคนต้องใช้เทคนิคการสอนแบบไหน เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานการเติบโต มีการรับรู้ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราไม่มีสูตรสำเร็จในการสอน แต่ต้องใช้เทคนิคและวิธีการให้เหมาะกับแต่ละคน”

ปัจจุบันคนที่มาเรียนมีทั้งคนที่สนใจทำงานในวงการบันเทิง เป็นสายประกวด และคนที่ต้องการพัฒนาบุคลิกภาพ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง นอกจากนี้ We are Model ยังรับเทรนนิ่งให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

“สำหรับนักเรียนมีตั้งแต่เด็กที่สุดคือ 2 ขวบ 9 เดือน ไปจนถึงอายุมากที่สุดคือ 51 ปี ส่วนใหญ่ถ้ามาเรียนเพื่อปรับบุคลิกภาพอย่างเดียว อายุ 15 ปีขึ้นไป ลูกหมีจะสอนประมาณ 6 ชั่วโมง แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 15 ปี แนะนำว่าต้องใช้เวลา 10 ชั่วโมง เพราะต้องให้เวลาเด็กๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจร่างกาย การยืน การใช้ไหล่ เก็บหน้าท้องต้องทำอย่างไร เทคนิคในการสอนเด็กๆ คือต้องใจเย็น สอนไปทีละสเต็ป ที่สำคัญ เราต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กเป็นอย่างไร ต้องมีลูกล่อลูกชน ซึ่งถ้าจะให้ดี ลูกหมีแนะนำว่า สัก 4-5 ขวบก็สามารถมาเรียนได้แล้ว เพื่อให้เด็กๆ รู้ว่าเขาควรจัดระเบียบร่างกายอย่างไร”


ลูกหมีบอกว่า ความสุขจากการสอนคือ หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง ทุกคนจะรู้สึกตัวเองสวยขึ้น บุคลิกดีขึ้น “สิ่งที่เราให้ความสำคัญมาตลอด ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้คือ คุณภาพ เราอยากให้ทุกคนที่มาเรียน นั่งสวย เดินสวย มีเสน่ห์ มีความสง่า มาเรียนแล้วการันตีว่าได้ประโยชน์จริงๆ ในส่วนของคอร์สเรียน หลังจากโควิด-19 เรามีการปรับปลี่ยน จากแต่ก่อน ที่เรามีทั้งสอนเป็นกลุ่มและแบบส่วนตัว ตอนนี้เป็นแบบส่วนตัวทั้งหมด เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้เรียนที่อาจจะต้องใช้สมาธิจดจ่อกับการเรียน เพราะโจทย์ของผู้เรียนก็ต่างกัน อย่างเรียนสำหรับประกวดนางงามกับนางแบบก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นนางงาม อาจจะต้องเดินแบบมีการทิ้งสะโพก ขณะที่ นางแบบจะเดินแบบฉับๆ แข็งแรง อินเนอร์คือ เราเป็นไม้แขวนเสื้อ พรีเซ็นต์เสื้อผ้าที่สวมใส่”

ลูกหมียังเสริมด้วยว่า ยังมีคอร์สการถ่ายรูป ถ่ายแบบ นัดช่างหน้า ช่างผม ช่างภาพ มาถ่ายให้ เพื่อเอารูปไปใช้ต่อได้ รวมทั้งมีคอร์สแต่งหน้าขั้นพื้นฐานเพื่อไปออกงานได้

สำหรับไลฟ์สไตล์วันว่าง นอกจากการเป็นครู ลูกหมียังกำลังศึกษาปริญญาเอกด้าน Innovation Management ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ เอกการเมืองการปกครอง จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เช่นกัน

“ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเรียนเป็นด็อกเตอร์ แต่มีอาจารย์ที่เป็นรุ่นพี่ชักชวน บวกกับตอนนี้ เวลางานก็ไม่ได้แน่นเหมือนก่อน เลยคิดว่าอยากมาลองเรียน หลังจากตอนปริญญาโทเราทำตามฝันเรียนรัฐศาสตร์ พอเรียนจบก็ได้มีโอกาสไปเป็นรองโฆษกพรรคประชาธิปปัตย์อยู่พักหนึ่ง ซึ่งถือเป็นเกียรติและประสบการณ์ที่ดีมากๆ”


ปิดท้ายด้วยเคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับคนที่อยากเดิน นั่ง ถ่ายรูป ออกมาแล้วดูเป๊ะปัง ฉบับรวบรัดจากครูลูกหมี ซึ่งเธอย้ำว่า “ในช่วงแรกๆ ที่ต้องปรับองค์ประกอบร่างกายให้ถูกต้อง อาจจะรู้สึกเมื่อย หรือไม่สบายตัว ก็ต้องอาศัยความอดทน ฝึกใช้ลมหายใจผ่อนหนักผ่อนเบา ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ ฝึก เพื่อให้ร่างกายจดจำ อย่าง การนั่ง - ต้องเก็บท้อง เพื่อทำให้กระดูกสันหลังตก วางเท้าและแขนให้รู้สึกว่าเท้าและแขนยาว, การยืน - สำหรับผู้หญิง ไหล่ต้องเปิด ไม่ว่าจะยืนท่าไหน ดึงอกขึ้น มองตรง ไม่ก้มหน้า ส่วนผู้ชาย ให้เชิดอกขึ้นเช่นกัน, การเดิน - ต้องเดินให้เต็มเท้า ไม่เดินขาถ่าง และการถ่ายรูป - ยึดตามท่านั่งและท่ายืน คือ เก็บท้อง ดึงอก เปิดไหล่ ทำให้ขาแขนเรียว-ยาว ใช้อาย คอนแทกซ์ ไปที่กล้อง


กำลังโหลดความคิดเห็น