ชื่อของ “คาร์ลอส กอส์น” และปฏิบัติการหนีข้ามโลกของเขาจะไม่มีวันถูกลบออกจากหน้าบันทึกประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน เพราะการหลบหนีจากประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องระบบอย่างญี่ปุ่นได้ ทำให้อดีตซีอีโอ นิสสัน มอเตอร์ กลายเป็นตำนานทันที
ความสำเร็จของการหลบหนี ไม่ได้มีเพียงการวางแผน วิธีการ เส้นทาง รวมทั้งจุดหมายปลายทาง ที่จัดเตรียมไว้อย่างดี แต่ทุกอย่างต้องถูกทำในรูปแบบ “ไร้ร่องรอย” ให้มากที่สุด ไม่เว้นแต่เส้นทางการจ่ายเงินค่าจ้าง เพื่อพาตัว กอส์น สู่เลบานอนได้อย่างปลอดภัย
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า สำนักอัยการของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ค่าจ้างในการหลบหนีครั้งประวัติศาสตร์นั้น คาร์ลอส กอส์น ได้จัดการให้ลูกๆ ของเขาแยกกันจ่ายเงินผ่านระบบสกุลเงินดิจิทัล แทนที่จะจ่ายด้วยการโอนเงินผ่านธนาคารในหมู่เกาะ หรือธนาคารสวิส ที่เราคุ้นเคยจากหนังสายลับ
ทางอัยการสหรัฐฯ ได้ตรวจสอบพบเส้นทางธุรกรรมการเงินดิจิทัลของ “แอนโทนี กอส์น” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคาร์ลอส ซึ่งได้โอนเงินดิจิทัลให้แก่สองพ่อลูกชาวอเมริกันที่คาดว่าเป็นผู้ช่วยดำเนินการหลบหนีเป็นมูลค่ามากกว่า 15 ล้านบาท จากนั้นสองพ่อลูกดังกล่าวได้ถูกทางการอเมริกาจับกุมตัวภายหลังจากที่ทางการญี่ปุ่นร้องขอมาว่าทั้งสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีของคาร์ลอส
หลังจากถูกจับกุม ได้มีการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของสองพ่อลูกเพิ่มเติม ก็พบว่าก่อนหน้าที่ลูกชายของคาร์ลอสจะโอนเงินสกุลดิจิทัลให้นั้น ทั้งคู่ก็ได้รับการโอนเงินจากสมาชิกในครอบครัวกอส์น มาอย่างต่อเนื่อง โดยยอดรวมสูงถึงประมาณ 42 ล้านบาท แม้ก่อนหน้านี้ทาง คาร์ลอส กอส์น จะให้สัมภาษณ์แก่สถานีข่าวในเลบานอนว่าสมาชิกในครอบครัวของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีข้ามโลกของเขา แต่อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกันระหว่างทางการญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ทำให้ภาพค่อนข้างแน่ชัดว่าปฏิบัติการหนีสะเทือนโลกครั้งนั้น ครอบครัวกอส์นต่างมีส่วนช่วยเหลืออย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องทางการเงิน
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม คาร์ลอส กอส์น ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทีวีในเลบานอนอีกครั้งว่า เขาจะช่วยเหลือทุกๆ คนที่ช่วยเหลือเขามาก่อน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงการช่วยเหลือสองพ่อลูกชาวอเมริกัน ด้วยทีมทนายชั้นดีในการต่อสู้ทางกฎหมาย ที่ทั้งคู่ได้ยื่นขอประกันตัวมาแล้วสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ ก็ต้องดูต่อไปว่าสองพ่อลูกชาวอเมริกันที่ถูกจับกุมจะสามารถทำให้ คาร์ลอส กอส์น ต้องถูกจับอีกครั้งได้หรือไม่