เจ้าชายแอนดรูว์ น่าจะเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่กำลังอยู่ภาวะกดดันมากที่สุดคนหนึ่งของโลก โดยเฉพาะในเรื่องของคดีความล่วงละเมิดทางเพศของผู้มีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งทางอัยการของนิวยอร์กได้เรียกร้องและกดดันเจ้าชายแอนดรูว์อย่างหนักที่จะให้พระองค์มาขึ้นให้ปากคำ
แม้จะพยายามปอกความผิดด้วยการทรงให้สัมภาษณ์กับสถานีบีบีซีเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อแก้ต่างข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ก็ไม่อาจหยุดแรงกดดันจากสังคม รวมไปถึงหน่วยธุรกิจต่างๆ ได้ แม้ พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 จะมีรับสั่งให้เจ้าชายแอนดรูว์หยุดปฏิบัติพระกรณียกิจแบบไม่มีกำหนด รวมทั้งรับสั่งไม่ให้ดยุคแห่งยอร์กปรากฏต่อสาธารณะหากไม่จำเป็น ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหยุดแรงกระเพื่อมใดๆ ได้ บริษัทเอกชนมากมายทยอยยุติการสนับสนุนองค์กรต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าชายแอนดรูว์จนแทบไม่เหลือ
ล่าสุดก็ดูเหมือนว่าราชวงศ์วินด์เซอร์เองก็มิอาจฝืนกระแสต่อต้านอีกต่อไปได้แล้ว เมื่อมีการถอดเว็บไซต์ thedukeofyork.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของเจ้าชายแอนดรูว์ออกจากระบบไปอย่างเงียบๆ และหากใครพิมพ์เข้าเว็บไซต์ดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังเว็บไซต์หลักของราชวงศ์อังกฤษ royal.uk ในทันที
คาดกันว่าสาเหตุที่ทางบักกิงแฮมตัดสินใจถอดเว็บไซต์ของเจ้าชายแอนดรูว์นั้นก็มาจากเหตุล่าสุดที่ จิลเลน แม็กซ์เวลล์ พระสหายคนสนิทถูก FBI สหรัฐฯ จับกุมตัวในข้อหาแม่เล้า จัดหาและทารุณทางเพศต่อเด็กหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี ให้กับมหาเศรษฐี เจรฟฟรีย์ เอ็ปสตีน ที่ฆ่าตัวตายหนีความผิดไปก่อนหน้า ซึ่งในการแถลงข่าวจับกุม จิลเลน แม็กซ์เวล ทาง FBI ก็ระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ดยุคแห่งยอร์กเดินทางมาให้การ ด้วยข้อความว่า “พวกเรายินดีที่หาเจ้าชายแอนดรูว์จะเดินทางให้การกับเรา เพราะมันคงมีประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมากหากได้ข้อมูลจากพระองค์”
แม้ทีมกฎหมายของเจ้าชายแอนดรูว์จะออกมาแก้ต่างว่า ทีมงานได้ติดต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ไปแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในเดือนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับใดๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดกระแสแรงกดดันจากทุกภาคส่วนที่มุ่งไปยังเจ้าชายแอนดรูว์ได้ จนกลายเป็นที่มาของการถูกถอดเว็บไซต์ประจำพระองค์ดังกล่าว และถึงแม้บัญชีโซเชียลมีเดียอื่นๆ ของเจ้าชายแอนดรูว์ยังไม่มีการปิดตัว แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มานานหลายเดือนแล้วเช่นกัน