ความฝันครั้งหนึ่งในชีวิตของหญิงสาวก็คงเคยอยากที่จะเห็นภาพตัวเองใส่ชุดเจ้าสาวแสนสวยราวกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์ หากแต่เบื้องหลังความงดงามก่อนที่จะเป็นชุดเจ้าสาวก็ต้องผ่านความใส่ใจและความประณีต เพราะชุดเจ้าสาวนั้นไม่ใช่แค่หรูหรา แต่ต้องเป็นความอลังการระดับโอต์กูตูร์ ไอเดียในการรังสรรค์ชุดเจ้าสาวของ “เจน-ทิพย์วิภา กิตติ์อัครานนท์” นักออกแบบไฟแรงที่ขอแหวกแนวมาจับกลุ่มชุดเจ้าสาว และกล้าที่จะทุ่มทุนกว่า 20 ล้านบาทเพื่อเปิดตัวแบรนด์ “ลาสเทล (L'Astelle)” แบรนด์แฟชั่นและชุดเจ้าสาวระดับโอต์กูตูร์ของเมืองไทย
สาวน้อยหน้าตาคมคายไม่แพ้ฝีไม้ลายมือในการออกแบบ “เจน-ทิพย์วิภา กิตติ์อัครานนท์” ทายาทเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ และเธอยังเป็นผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์แบรนด์ “ลาสเทล (L'Astelle)” แบรนด์แรกที่กล้าไปจัดแฟชั่นโชว์เปิดคอลเลกชันแรกไกลถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ย้อนวัยไปในช่วงชีวิตวัยเด็กที่เริ่มสนใจงานฝีมือ ชอบการประดิดประดอย คุ้นชินกับความประณีต และมารู้ตัวชัดเจนขึ้นในช่วงกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ว่าเส้นทางชีวิตของเธอนั้นขออยู่บนเส้นทางของแฟชั่น ดังนั้น เธอจึงเลือกเรียนในสาขาแฟชั่นดีไซน์ ที่ London College of Fashion สถาบันสอนแฟชั่นดีไซน์ชื่อดังของประเทศอังกฤษ
“คุณพ่อทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ส่วนคุณแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอส่งออก ซึ่งก็มีความเกี่ยวข้องกับแฟชั่น เจนโตขึ้นมากับแฟชั่น รู้ตัวว่าชอบแฟชั่นตั้งแต่เด็ก แต่เริ่มเห็นเส้นทางที่ชัดเจนตอนที่เรากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็เลยเลือกเรียนแฟชั่นดีไซน์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะช่วงที่เรียนจบได้มีโอกาสไปฝึกงานกับแบรนด์แฟชั่นระดับกูตูร์ชื่อดังของประเทศอังกฤษ ในแผนกออกแบบลายปัก ซึ่งในเวลานั้นหัวหน้าแผนกได้ลาพักร้อน จึงทำให้เจนได้เข้ามาสานงานต่อแบบเต็มตัว เขาคงเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของเรา ก็เลยได้โอกาสทำงานในฐานะพนักงานประจำอยู่ทีมออกแบบลายปัก ช่วงนั้นเองทำให้เราได้ออกแบบลายปัก และติดต่อประสานงานกับ โรงงานปัก โรงงานผลิต Material ต่างๆ ทั้งในประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ได้เรียนรู้เทคนิคการปักต่างๆ ที่ไม่ได้มีสอนในห้องเรียน จนคิดว่านี่แหละคืองานที่เราทำแล้วมีความสุข”
กว่า 1 ปีที่ทำงานกับแบรนด์ดังระดับโลก แน่นอนว่าจะต้องเผชิญกับภาวะความกดดัน ความเครียด ปัญหาต่างๆ มากมาย แต่เธอก็สามารถก้าวผ่านอุปสรรค์เหล่านั้นมาได้ เพราะเธอไม่เคยมองว่าสิ่งเหล่านั้นคือปัญหา แต่กลับมองว่าเป็นสิ่งท้าทายและสนุกไปกับงานที่ตนรัก เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย ความหวังหนึ่งของคุณแม่ก็คือ การให้เธอเข้ามาช่วยสานต่อกิจการของครอบครัว แต่เธอก็ไม่เคยละทิ้งความฝันที่ชื่นชอบ ในการวาดภาพและความชอบแฟชั่นในวัยเด็ก สู่ความฝันที่อยากมีแบรนด์ชุดแต่งงานเป็นของตัวเอง งานนี้ถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องต่อสู้แสดงความมุ่งมั่นเพื่อชนะใจคุณแม่ จนสร้างแบรนด์ L'Astelle (ลาสเทล) ได้สำเร็จ
“แรกๆ คุณแม่ยังไม่อยากให้ทำ อยากให้มีประสบการณ์มากกว่านี้ แต่เรามีความดื้อและแพสชั่นที่อยากจะทำมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เรียนก็รู้สึกว่าอยากทำแบรนด์ของตัวเอง ในระหว่างที่ช่วยงานคุณแม่ก็แอบออกแบบมาตลอด 6 เดือน พอเริ่มออกแบบ ทำไปทำมาก็มีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ เขาเห็นว่าเราทำได้ ถึงปล่อยให้ทำ จนวันนี้ก็เป็นแบรนด์ที่ออกมาอย่างที่เราหวัง และไปเปิดตัวที่ฝรั่งเศสอย่างที่เราตั้งใจ”
สิ่งที่เป็นทอลก์ออฟเดอะทาวน์เกี่ยวกับตัวสาวคนนี้ก็คือ การที่เธอยอมทุ่มเงินกว่า 20 ล้านบาทจัดแฟชั่นโชว์เปิดตัวคอลเลกชันแรกไกลถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส!
“ที่เลือกจัดงานเปิดตัวคอลเลกชันแรกที่ฝรั่งเศส เพราะหลายๆ ครั้งแรงบันดาลใจของเจนมาจากสถาปัตยกรรมในฝรั่งเศส และรู้สึกว่าฝรั่งเศสโชว์ความเป็นแบรนด์ของเราได้ดีที่สุด เราสัมผัสได้ถึงความเป็นกูตูร์ เหตุที่เรายอมทุ่มงบมหาศาลก็เพราะหนึ่งคือความฝันของเรา และคิดว่าการทำแบรนด์ถ้าเราสามารถสื่อสารให้คนเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจทำนั้น เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งความแพง ความลักชัวรี ความอินเตอร์ ที่ฝรั่งเศสสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของทั้งของเจนและแบรนด์ได้เป็นอย่างดี”
“ตอนที่บอกคุณพ่อคุณแม่ว่าใช้งบ 20 ล้านท่านก็ไม่ยอมนะ (หัวเราะ) ท่านห่วงว่าจะโอเคมั้ย แต่ระหว่างทางเราพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำงานจริงจัง ไม่ได้เอาไปเที่ยวเล่นหรือใช้โดยไม่รู้คุณค่า แสดงให้เขาเห็นว่าเราทำงานหนักแค่ไหน ซึ่งผลตอบรับก็เหนือความคาดหมาย ก็มีลูกค้าเข้ามาที่เป็นทั้งเซเลบริตีเมืองไทยและเซเลบต่างประเทศ ส่วนมากเขาชอบเรื่องความเรียบหรู แต่เน้นดีเทลงานปัก และความที่แบรนด์เราเป็นแบรนด์ที่ยูนีค ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครใส่ซ้ำแน่นอน นี่คือความพิเศษที่ลูกค้าได้รับ”
ร่ายยาวมาถึงจุดพีคในเรื่องของความอลังการ ซึ่งก็ต้องบอกว่ายกมือทาบอกกันเลยทีเดียว กับชุดแต่งงานที่เรียกได้ว่าเป็นมาสเตอร์พีซ ที่เราแอบถามมาจากเจ้าตัวถึงชุดแต่งงานที่มีมูลค่าสูงถึง 1,700,000 บาท!
“ชุดที่แพงที่สุดจะเป็นชุดฟินาเลที่ใช้เวลาปัก 4,800 ชั่วโมง โดยช่าง 30-40 คน ความพิเศษคือวัสดุที่ใช้คือไมโครแมททีเรียล ซึ่งมีความเล็กเป็นพิเศษ ปักลงบนชายกระโปรงที่ยาวกว่า 3 เมตรซึ่งเป็นการปักมือทั้งชิ้น เฉพาะแค่ค่าปักอย่างเดียวก็เกินครึ่งล้านแล้วค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็มีคนสนใจอยู่”
แน่นอนว่าสไตล์ของแบรนด์ก็บ่งบอกถึงสไตล์ที่เป็นตัวเธอด้วยเช่นกัน เพราะเราเห็นแบรนด์เป็นอย่างไร สไตล์ในชีวิตประจำวันของเธอก็เป็นอย่างนั้นเลย ทั้งเรียบหรู ดูดี มีดีเทลจนต้องขอซูม
“สไตล์ปกติของเจนเป็นสิ่งที่คล้องกันไปกับแบรนด์ที่เราทำมาก เจนเป็นคนที่ชอบงานหรู งานปัก ถ้าเป็นชีวิตประจำวันก็เรียบๆ ชอบคัตติ้งที่เน้นอก เอว สะโพก โชว์รูปร่างความเป็นผู้หญิง ทุกวันนี้แทบจะไม่ได้ชอปปิ้งเลยเพราะส่วนมากจะใส่ชุดที่ร้านตัดเพื่อนำเสนอความเป็นแบรนด์ของเราด้วย แต่ก็มีบ้างที่ชอปพวกเครื่องสำอางมาเพิ่มความสวยสมบูรณ์แบบให้กับตัวเองค่ะ”
ถ้าหากถามถึงงานแต่งงานในฝันของสาวที่ทำชุดแต่งงานแสนสวยให้คนมากมายนั้น เธอก็ยังคงฝันที่จะคุมมู้ดแอนด์โทนให้เรียบหรู ใส่ใจในรายละเอียดเหมือนกับแบรนด์ของเธอ “งานแต่งในจินตนาการของเจนคงเป็นงานเล็กๆ ที่มีแต่คนที่เรารัก เชิญเขามาแฮปปี้กับเรา และใช้เวลาด้วยกันอย่างทั่วถึง มีกิจกรรมให้ทุกคนได้ร่วมมีความสุขไปด้วยกัน แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ” สาวช่างฝันกล่าวปิดท้าย