แอลกอฮอล์ไม่เข้าใครออกใคร คนดังหลายๆ คนประสบปัญหา “ติดเหล้า” ต้องไปเข้าคอร์สเลิก บางคนเข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่นก็ไม่หายจากแอลกอฮอลิกเสียที
ล่าสุดที่เพิ่งออกมาสารภาพออกสื่อ ก็พ่อเบน แอฟเฟล็ก ที่พร่ำทั้งน้ำตาว่า การติดเหล้าทำให้ชีวิตพัง ทั้งชีวิตแต่งงานที่ต้องหย่ากับภรรยาผู้แสนดีอย่าง เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ แถมยังทำให้เขาต้องเลิกแสดงบทแบทแมน หลังจากที่แสดงไปในเรื่อง Batman v Superman : Dawn of Justice (2016) กับ Justice League (2017) บทมนุษย์ค้างคาวจึงตกเป็นของ โรเบิร์ต แพตทินสัน
“ต้องหย่ากับเจนเป็นสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดแล้ว” นักแสดงวัย 47 ให้สัมภาษณ์เดอะ นิวยอร์กไทมส์ ย้อนเล่าเรื่องที่เขาและเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ออกมาประกาศแยกทางกันในปี 2015 “เรื่องของเรื่องก็คือผมเริ่มดื่ม แล้วก็ดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันแย่มากจริงๆ พอครอบครัวแตกแยกแล้ว ผมก็ยิ่งดื่มไม่หยุด”
นักแสดงคุณพ่อลูกสามเล่าอีกว่า เขาใช้เวลานานมากกว่าจะหลุดจากวงจรอุบาทว์ออกมาได้ ต้องใช้เวลาอีกหลายปีหลังจากนั้นเลย “รวมๆ แล้วผมว่าร่วม 20 ปีเลยนะ ผมจำได้ว่าไปเลิกเหล้าครั้งแรกที่ศูนย์ฯ ในมาลีบู ปี 2001 คนที่พาผมไปคือ ชาร์ลี ชีน ผมไปเข้าโปรแกรมเลิกเหล้าเพราะผมอายุ 29 และปาร์ตี้เยอะเกินไป แต่ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรในชีวิต ต่างจากตอนนี้ที่เป็นพ่อของลูก 3 คน ผมต้องมุ่งมั่นเพื่อครอบครัว”
พ่อมดน้อย ดาเนียล แร็ดคลิฟฟ์ นักแสดงนำจากหนังซีรีส์ Harry Potter ที่ตอนนี้ถึงวัยเลข 3 นำหน้าแล้ว ก็ออกมาบอกว่า เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องหันเข้าหาแอลกอฮอล์ เพราะทนกดดันกับความมีชื่อเสียงไม่ได้ “ผมรักอาชีพนักแสดง แต่ว่าการเป็นบุคคลสาธารณะ แล้วต้องมีคนคอยจับผิดมันทำให้ผมเกร็งไปหมด เขาไม่สนด้วยนะว่าคุณเป็นเด็ก พวกเขาพร้อมจะขย้ำคุณถ้าคุณเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา” ดาเนียลเคยบอกกับเพื่อนสนิทว่า การติดเหล้าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบุคลิกภาพของเขาเองด้วยที่ชอบซุกด้านมืดเอาไว้ เหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่อย่าให้ถึงตอนค่ำเชียวนะ เจอกับเขาได้ในผับ
เหตุผลเดียวกับ แซค เอฟรอน ที่สารภาพว่า “การกลายเป็นดาราดังตั้งแต่ยังเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ และทำให้เขาต้องเข้าสู่วังวนของสุราและยาเสพติด แซคต้องเข้าโปรแกรมเลิกเหล้าเลิกยาปีหนึ่งก็หลายครั้ง อย่างระหว่างถ่ายทำหนังเรื่อง Neighbors อยู่ก็ต้องแว่บไปบำบัดก่อน เพราะเวลามีปาร์ตี้ในกองถ่ายแล้วนักแสดงหนุ่มหน้าหวานไม่สามารถจะหยุดดื่มได้เลย “มันทรมานมากนะ เหมือนกับเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้ต้องมุ่งมั่นเบอร์ไหนถึงจะเลิกได้เสียที จริงๆ แล้วการเกิดเป็นมนุษย์นี่มันยากจริงๆ เลย ไม่มีใครหรอกที่ไม่ทำผิดพลาด มันยิ่งแย่เมื่อสังคมพร้อมจะประณามคุณด้วยน่ะสิ”
หลังถ่ายทำหนังเรื่อง Miami Vice (2006) โคลิน ฟาร์เรล ก็ออกมาสารภาพว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เหตุผลมาจากความเครียดที่ไม่อาจรับมือกับความพยายามเลิกเหล้าเลิกยาได้ แม้ว่าทั้งยาเสพติดและแอลกอฮอล์จะทำให้ชีวิตเขาไม่เป็นผู้เป็นคน จะคบหากับใครก็อยู่ด้วยกันไม่ยืด นักแสดงวัย 44 บอกว่าเขาเข้าออกสถานบำบัดเป็นว่าเล่น เฉพาะในปี 2018 เขาต้องจ่ายค่าเลิกเหล้าเลิกยาไปเกือบล้านสองแสนบาททีเดียว “สิ่งที่ผมต้องก้าวผ่านไปให้ได้นั้นมันไม่ธรรมดาเลย คุณอาจจะได้ยินเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับคนที่เสพติด มันแย่กว่านั้นมาก เชื่อเถอะ มันส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งร่างกาย จิตใจ แล้วก็สังคมรอบข้างด้วย”
สำหรับ ทิม แมคกรอว์ นักร้องคันทรี บอกว่า เขาเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศของคนขี้เหล้าในลุยเซียนา “การดื่มเป็นเรื่องธรรมดามากในบ้านเกิดของผม นั่นคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมติดเหล้าโดยไม่รู้ตัว เพราะมันเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกัน” แต่ไม่ใช่ตอนที่ทิมออกทัวร์คอนเสิร์ตในปี 2008 ที่นักร้องคันทรีชื่อดังบอกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่สุดในชีวิต “มาถึงจุดที่ผมรู้ตัวว่าดื่มมากเกินไป แล้วก็เริ่มที่จะมีผลกระทบต่อทั้งชีวิตคู่และการงาน ถึงจุดที่เหล้าทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมอาจจะสูญเสียทุกอย่างถ้ายังไม่ตัดสินใจเลิก”
นักว่ายน้ำเจ้าของ 18 เหรียญทองโอลิมปิกอย่าง ไมเคิล เฟลป์ส ยังหนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์ของพิษสุราเรื้อรัง ในปี 2014 หลังถูกจับข้อหาเมาแล้วขับเป็นครั้งที่ 2 เขาก็ถูกส่งตัวไปศูนย์บำบัดคนติดเหล้าเป็นเวลา 6 เดือนเต็ม หลังจากนั้น เมื่อสื่อมาสัมภาษณ์ว่าเขาติดเหล้าจริงหรือเปล่า เขาตอบสั้นๆ แค่ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ขณะที่สมาคมจิตเวชสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงว่า สำหรับคนที่เมาแล้วขับส่วนมากจะมีแนวโน้มเป็นผู้ติดสุรา ตามกฎหมาย ไมเคิล เฟลป์ส จึงต้องถูกส่งเข้าสถานบำบัดหลังจากโดนจับข้อหาเมาแล้วขับ ขณะที่บล็อกของสถาบันต่อต้านยาเสพติดอเมริการายงานในปี 2018 ว่า ฮีโร่โอลิมปิกของพวกเขายังคงกลับไปหาสุราและยาเสพติดอยู่เนืองๆ “ผมต้องตั้งสติแล้ว เพราะมาถึงจุดที่ผมคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงให้มีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตบ้าง”
เวลาคนเราถึงจุดตกต่ำในชีวิต การคิดผิดนั้นก็เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับ จอห์นนี เดปป์ ที่บอกว่าตอนที่เขาหย่ากับแอมเบอร์ เฮิร์ด ในปี 2016 นั้นเขารู้สึกว่าชีวิตย่ำแย่จริงๆ เขาก็เลยหันไปพึ่งความเมา เรียกว่าดื่มเพื่อลืมเธอ “ตื่นมาตอนเช้าผมก็ซดวอดก้าแล้วก็เริ่มเขียนระบายความในใจจนน้ำตานองหน้า มองไม่เห็นกระดาษที่เขียนนั่นแหละ ชีวิตผมแทบล้มละลายเพราะแอลกอฮอล์เลยนะ เฉพาะไวน์นี่ก็จ่ายไปเป็นล้านละครับ จนวันหนึ่งถึงได้รู้ว่าตัวเองถังแตก มัวแต่เอาเงินไปจ่ายค่าเหล้า” นักแสดงดังบอกว่า เลยพยายามที่จะเขียนหนังสืออย่างเดียวแล้วกัน (เพราะไม่มีตังค์ซื้อเหล้าแล้ว) แล้วก็เขียนเพลงให้วงดนตรีของตัวเอง ฮอลลีวูด แวมไพร์ส (ที่มีเพื่อนร่วมวงอย่าง โจ แพร์รี และอลิซ คูเปอร์) “ผมใช้เวลาหลายปีเลยในการทำร้ายตัวเองด้วยเหล้า ผมทำได้ดีทีเดียวล่ะ ซึ่งพอมองย้อนกลับไป ผมทำไปทำไมวะ เออ... ก็งงเหมือนกันนะ”
หนุ่มหล่อ แบรดลีย์ คูเปอร์ เมื่อเรามองแต่บทบาทของเขาในหนังโรแมนติกคอเมดีเขาก็ดูแฮปปี้ดี๊ด๊าดีนะ แต่จริงๆ แล้วชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย เขาเป็นหนึ่งในผู้ติดสุราเรื้อรังเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ในปี 2015 แบรดลีย์เคยออกมาสารภาพว่าเหล้ามีผลกระทบทุกอย่างในชีวิต “ผมไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ ไม่มีชีวิตคู่ ดูแลพ่อตัวเองที่ป่วยก็ไม่ได้ ดูแลตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดเลย ชีวิตมันวุ่นวายไปหมด”
ด้านนักดนตรีป็อป-ร็อกชื่อดัง บิลลี โจล ก็ออกมายอมรับว่าเขาเป็นแอลกอฮอลิก และมันก็ทำลายชีวิตเขาแทบป่นปี้ “มันทำลายทุกอย่าง ทั้งงานและชีวิตคู่” เพื่อนสนิทร่วมอาชีพของเขาอย่างเซอร์ เอลตัน จอห์น ต้องคุกเข่าขอร้องให้บิลลีไปเข้ารับการรักษาผู้ติดสุราเรื้อรังเถิด เมื่อบิลลี โจลอิดออด ท่านเซอร์ถึงกับไปให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่า เขาจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องดื่มมากขนาดนั้น ชีวิตผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยสักนิด ตอนไปสัมภาษณ์ที่สถานบำบัดเขาพยายามหาสาเหตุว่าทำไมผมถึงติดเหล้าได้ ปรากฏว่าผมไม่ได้เข้าข่ายอะไรเลย ผมแค่ดื่มมากไปเท่านั้นเอง อาจจะเป็นช่วงที่จิตใจอ่อนไหว อย่างช่วงเลิกกับเมียหรืออะไรงั้นมั้ง”
สำหรับนักเขียนแนวสยองขวัญชื่อดัง สตีเวน คิง ก็เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังกับเขาด้วย โดยเขาบอกว่ามันเป็นไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในปี 1987 ครอบครัวและเพื่อนของเขานำหลักฐานออกมากองตรงหน้า แล้วบอกกับสตีเวนว่าเขาต้องเลิกเหล้าเลิกยาเดี๋ยวนี้นะ พอจำนนต่อหลักฐานเขาจึงยอมเข้าสถานบำบัดและเลิกอย่างเด็ดขาดในปลายทศวรรษที่ 1980 โดยทุกวันนี้เขายังเป็นวิทยากรพิเศษในฐานะผู้ที่ต่อสู้กับการติดเหล้าติดยาได้สำเร็จ “การเล่าถึงสิ่งที่เราเป็นในอดีตก็ถือเป็นการเผชิญหน้าอย่างหนึ่ง และเหมือนเป็นสัญญากับตัวเองด้วยว่าเราจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมอีก ถามว่าผมเสียใจมั้ยที่ตอนนั้นทำลงไป ก็เสียใจสิ เราต้องเสียใจ ต้องยอมรับมันด้วยนะถึงจะผ่านตรงนั้นมาได้”
เมล กิบสัน ก็สารภาพว่า เขาต้องต่อสู้กับโรคติดสุราเรื้อรังมาตลอดชีวิต เขาโดนจับข้อหาเมาแล้วขับหลายหน มีบางครั้งที่ตำรวจบอกว่าเขาโวยวาย เมาอาละวาดพูดจาดูถูกคนต่างศาสนาด้วย เมล กิบสันเข้าสถานฟื้นฟูผู้ติดเหล้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังกลับไปหาเพื่อนรักที่ชื่อสุราอยู่บ่อยๆ “จนมาถึงจุดที่ทางสถานบำบัดบอกผมว่า คุณมีทางเลือกอยู่แค่ 3 ทางสุดท้ายแล้วตอนนี้ นั่นคือ เป็นบ้าไปเลย ตาย หรือไม่ก็ต้องเลิกเด็ดขาด”