xs
xsm
sm
md
lg

“นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง” กับ 19 ปีที่มุ่งมั่นสร้างสมดุลให้ชีวิตคนเมือง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เพราะข้ามผ่านจากการเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ที่ทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่มาก่อนจะผันตัวมาเป็นคุณแม่ฟูลไทมส์ ทำให้เมื่อคิดที่จะลุกขึ้นมาทำธุรกิจของตัวเอง “เอ๋-นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค เอ็น เค เอ็น รีเทล จำกัด จึงมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า แท้จริงแล้วตลาดคนเมืองต้องการอะไร?

แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ ไม่ใช่แค่สินค้าหรือบริการที่เติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ แต่เป็นสิ่งที่มาช่วยสร้างสมดุลให้ชีวิตคนเมืองเกิดขึ้นได้จริง

“จากวันนั้นมาถึงวันนี้ 19 ปีเต็ม ยิ่งทำยิ่งทำให้เข้าใจผู้บริโภค ยิ่งเห็นโอกาส และช่องว่างของผู้บริโภคชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเองก็เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานเงินเดือน อยู่บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง พอแต่งงานมีลูกชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน ยิ่งมีลูกคนโตตอนปี 2000 คนเล็กตอนปี 2001 ซึ่งเป็นยุคมิลเลนเนียลที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงมากมาย ยิ่งทำให้เริ่มตั้งคำถามว่า ในฐานะพ่อแม่ต้องทำอะไร ลูกโตมาต้องเจอกับอะไร ตอนนั้นเลยตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อมาโฟกัสที่ลูก”

ถึงเป้าหมายหลักของชีวิตในเวลานั้น จะเบนเข็มมาที่ครอบครัว แต่เอ๋ไม่ได้มองภาพตัวเองเป็นแม่บ้านฟูลไทมส์ เธอจึงเลือกที่จะทำธุรกิจของตัวเอง โดยนำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากการทำงานในบริษัทใหญ่ 13 ปี มาต่อยอดประเดิมธุรกิจแรกด้วยการซื้อแฟรนไชส์ของ สถาบันเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก Gymboree ชื่อดัง มาเปิดที่พระราม 3

“พอมาเป็นคุณแม่ เราก็พยายามหาข้อมูลเพื่อพาลูกไปทำกิจกรรมก็มาเจอที่ Gymboree ตอนนั้นมาเปิดสาขาแรกที่สุขุมวิท พอไปปรากฏว่าได้เจอกับผู้นำเข้า ซึ่งเขาเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์เลยได้คุยกัน ยิ่งคุยก็ยิ่งชอบคอนเซ็ปต์ เลยตัดสินใจนำมาเปิดสาขาที่พระราม 3 ได้รับฟีดแบคค่อนข้างดี จากช่วงแรกที่เปิด ผู้ปกครองที่มาเต็มไปด้วยคำถาม เพราะยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพาลูกออกมาทำกิจกรรมตั้งแต่ยังเล็กมาก เพราะเรารับตั้งแต่อายุ 0-5 ขวบ เราก็ค่อยๆ อธิบายว่า ทำไมต้องพาลูกมาเรียนรู้ผ่านการเล่นตั้งแต่อยู่ในช่วงก่อนปฐมวัย ไปจนถึงผลพลอยได้จากการที่พ่อแม่ลูกจะได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้เห็นพัฒนาการของลูก และยังอาจได้เพื่อนใหม่ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยเดียวกัน”

จากวันแรกที่ทำจนก้าวสู่ปีที่ 5-10 สิ่งที่น่าดีใจคือ ผู้ปกคอรงที่มามีความเข้าใจมากขึ้น ลูกค้าที่เข้ามาไม่ถามแล้วว่าทำไม? แต่กลับถามว่าจะเรียนอะไรแทน?

“สิ่งที่เราทำกลายเป็นว่าเราไปเติมช่องว่างในสังคมครอบครัว เป็นประโยชน์ ก็เลยทำมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ 19 ปีแล้ว ก็ยังคิดว่าจะทำต่อไป”



หลังจากชิมลางธุรกิจแรกที่เริ่มต้นจากแพสชั่นของความเป็นแม่ ก็จุดประกายมาสู่ธุรกิจที่สอง ที่ยังคงเกี่ยวพันกับความรักที่มีต่อลูกอยู่ดี

“พอลูกโตเราก็อยากหากิจกรรมทำกับลูก เช่น แต่งห้องนอนให้เป็นธีมที่ลูกชอบ หรือตามจินตนาการของเขา เราก็เริ่มมองหาเฟอร์นิเจอร์เด็ก ผ้าปูที่นอนเด็ก ซึ่งถ้าหาจากอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่ที่เจอราคาสูงมาก แถมต้องนำเข้า ทำไมเราตั้งคำถามว่า แล้วในเมืองไทยไม่มีผลิตเหรอ พอศึกษาเลยไปเจอแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เด็กของไทย ที่ทำสำหรับส่งออก หลังจากไปเจอเจ้าของ คุยจนถูกคอ ก็ตกลงเป็นดีลเลอร์ให้ เลยเป็นที่มาของการเปิดร้าน The Bedroom Company

จากเฟอร์นิเจอร์เด็ก ด้วยดีเอ็นเอนักธุรกิจที่ไม่หยุดมองหาโอกาส เอ๋เริ่มขยายไปสู่การดูแลคุณแม่ที่มีลูก แล้วมักประสบปัญหาอาการปวดเมื่อย ปวดหลัง จากการนอนที่ไม่ถูกสุขลักษณะ นอนผิดท่า หรือบางทีอุ้มลูกขึ้นเอว หรือให้นมลูกแล้วอยู่ในท่านั่งไม่สบาย

“เอ๋ไปเดินงานแฟร์ แล้วเจอกับนักกายภาพที่พัฒนาหมอนรูปเลข 9 หน้าตาเหมือนไส้อั่ว แต่ประโยชน์เยอะ ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นการนอนตะแคงช่วงท้อง การให้นมลูก ด้วยความที่เราผ่านตรงไหนมา เข้าใจหัวอกความเป็นแม่ดี เลยสนใจและติดต่อขอเป็นดีลเลอร์ นำมาขายที่ The Bedroom Company เช่นกัน ก่อนจะที่ค่อยๆ แตกไลน์มาสู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ เอาใจคุณพ่อคุณแม่ที่แต่งห้องนอนให้ลูก แล้วอยากแต่งบ้านให้ตัวเองบ้าง” เอ๋เล่าพอเป็นน้ำจิ้มให้เห็นภาพถึงอาณาจักรที่สร้างมากับมือ

อย่างไรก็ตาม แม้จะดูว่ามีไลน์สินค้าที่แยกย่อยมากมาย แต่เอ๋ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเธอยังคงจะค้นหาโอกาสใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ จนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เธอลุกขึ้นมานำเข้าแบรนด์ เมซอง แบร์เช่ ปารีส (Maison Berger Paris) ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมสำหรับบ้านระดับพรีเมียมจากฝรั่งเศส ที่เก่าแก่กว่า 120 ปี

“เรื่องความหอมในบ้านเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเราก็เข้าใจผิดมาหลายปีเหมือนกันว่า การสร้างกลิ่นหอมในบ้าน มีแค่การฉีดสเปรย์ ใช้เทียนหอม หรือโบราณหน่อยก็ใช้ดอกไม้แห้ง ทั้งที่จริงๆ แล้วด้วยนวัตกรรมของ เมซอง แบร์เช่ ปารีส นอกจากจะสร้างกลิ่นหอมในบ้านแล้ว ความลับของแบรนด์นี้ยังอยู่ที่ไส้ตะเกียง เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดปฏิกิริยาระเหิดจนกลายเป็นโอโซน ออกมาช่วยฟอกอากาศในบ้านด้วย ซึ่งเดิมทีนวัตกรรมนี้เขาคิดมาเพื่อฟอกอากาศในโรงพยาบาล ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นค่อยๆ พัฒนาใส่หัวน้ำหอมลงไปทำให้บ้านมีกลิ่นหอม ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกถึง 50 กลิ่น เหมาะกับบ้านเรามาก ต่อไปทานอาหารในบ้าน หรือกินทุเรียนในบ้านก็ไม่ต้องกังวล”

ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไป 19 ปี อาจเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน เพราะเธอเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ตอนที่มีลูก มาถึงวันนี้ลูกๆ ก็โตหมดแล้ว แต่เอ๋ก็ยังสนุกกับงานที่ทำ ยังเพลิดเพลินกับการมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้ชีวิตคนเมืองสมดุล

“ของที่เลือกมาส่วนใหญ่ต้องมีเรื่องราว ที่สำคัญทุกแบรนด์ที่เอ๋ทำงานด้วย เราต้องทำความรู้จักกับเจ้าของแบรนด์เอง เพื่อที่จะได้รู้ว่าอะไรคือแรงบันดาลใจของเขา เพราะเอ๋เชื่อว่าคนเราถ้าทำอะไรด้วยแพสชั่นเราจะไม่หยุดพัฒนาสิ่งดีๆ มาเรื่อยๆ จะไม่จมอยู่กับปัจจุบัน และสินค้าจะไม่มีวันเชย ซึ่งเท่าที่สัมผัสมาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกวันนี้เอ๋ยังสนุกกับการทำงาน และการมองหาธุรกิจที่สนใจ เพียงแต่ตอนนี้ด้วยความที่ลูกๆ โตขึ้น มุมมองของเราก็ขยับตาม เริ่มมองหาธุรกิจที่ตอบโจทย์วัย 20 อัปมากขึ้น” เอ๋เล่าอย่างออกรส


ชวนคุยเรื่องงานมาพอเห็นภาพเวิร์กกิ้งมัมคนเก่งแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่า เอ๋มีเคล็ดลับแบ่งเวลาทำงานและดูแลตัวเองอย่างไร ถึงเป็นคุณแม่วัยเลข 5 ที่ยังสวยไม่เปลี่ยน

“การทำธุรกิจส่วนตัวทำให้เวลาเราค่อนข้างยืดหยุ่นก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เราทำงานได้แบบ 24 ชม. เพราะความคิดเราไม่หยุด บางทีคิดได้ตอนดึกๆ ก็ยังต้องไลน์ไปทิ้งไว้ในกลุ่มก่อน สมาชิกในกลุ่มจะอ่านไม่อ่านไม่ว่ากัน เช้ามาลุยกันต่อ สำหรับเอ๋งานก็เลยเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ส่วนครอบครัว ด้วยความที่สามีก็ทำงานเยอะ ออกแนวบ้างานทั้งคู่ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่เราตัดสินใจส่งลูกเรียนโรงเรียนประจำ เพื่อฝึกให้เขาได้เรียนรู้การอยู่กับเพื่อนวัยเดียวกัน รับผิดชอบตัวเอง เราเลยมีตารางเวลาที่แน่นอนว่า ถ้าช่วงลูกเปิดเทอม เขามีหน้าที่เรียน คือเรียนเต็มที่ เราก็ทำงาน แต่พอลูกปิดเทอม เขามีหน้าที่เที่ยว เราก็จะพาเขาเที่ยวปีละประมาณ 3 ทริปคือ ช่วงลูกปิดเทอมปีละ 2 ครั้ง และคริสต์มาส ด้วยความที่โลกยุคนี้มีเทคโนโลยี ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ ฉะนั้น ต่อให้ไปเที่ยวก็ไม่เสียงาน ที่สำคัญเราก็มีทีมที่ช่วยอยู่”

ไหนๆ ก็เกริ่นมาถึงเรื่องทีม เลยถามถึงวิธีบริหารสไตล์บอสเอ๋ว่าเป็นอย่างไร งานนี้เอ๋ถ่อมตัวว่า บริษัทไม่ได้มีพนักงานเยอะ เลยทำงานกันแบบใกล้ชิด ไม่มีลำดับขั้นมากมาย แต่สิ่งที่เธอให้ความสำคัญที่สุดคือ การถ่ายทอดให้ทุกคนในบริษัทเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัท

“เวลามีสินค้าอะไรใหม่ๆ เราต้องขายไอเดียให้พนักงานในบริษัทก่อน ถ้าเราบอกระดับหัวหน้างานไป เขาก็ต้องไปขายไอเดียให้ลูกน้องเชื่อต่อ เพราะถ้าพนักงานขายหน้าร้านไม่อิน บอกข้อมูลลูกค้าไม่ถูก เอ๋ถือว่าเป็นความผิดของหัวหน้างาน หรือเอ๋เองที่ไม่สามารถขายไอเดียให้เขาเชื่อในสินค้าได้ เขาถึงไปถ่ายทอดกับลูกค้าต่อไม่ได้ นอกจากนี้ เอ๋ยังถือว่าการที่เราได้ขายไอเดียแบบนี้เหมือนเป็นการทำ focus group เล็กๆ ก่อนที่สินค้าเราจะวางตลาดเหมือนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี”

ส่วนเคล็ดลับการดูแลตัวเองให้ยังดูดี สดใส หลักการง่ายๆ คือ ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและการกินอาหาร

“เอ๋ออกกำลังกายอยู่แล้ว เล่นพีราทิสมาเป็น 10 ปี เพื่อให้ร่างกายได้ยืดหยุ่น ที่จะมีปัญหาน่าจะเป็นเรื่องนอนน้อย ซึ่งตอนนี้ก็พยายามปรับ พักผ่อนให้พอ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน หันมากิน plant based อร่อยแบบไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่ได้ทำทุกวันนะคะ แต่ก็พยายาม เหตุผลที่มาสนใจ เพราะเราไปศึกษาว่า จริงๆ แล้วร่างกายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินเนื้อ ฟันของเราก็ไม่ได้ออกแบบให้บดเคี้ยวเนื้อสัตว์ เอ๋เลยพยายามทำตามใจร่างกาย ด้วยการหันมากินผักมากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ แต่ก็ไม่ให้สูญเสียความสุขในการกิน ถ้าวันไหนจะ plant-based ก็เลือกเจ้าอร่อย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีตัวเลือกเยอะขึ้นมาก”

งานนี้ เอ๋ยังทิ้งท้ายอย่างน่าประทับใจว่า ถ้าให้มองย้อนกลับไปวันวาน เธอรู้สึกว่าชีวิตมีความสุข ไม่เคยรู้สึกว่าต้องการอะไรมากกว่านี้ 19 ปีที่ทำธุรกิจมา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจโบกมือลาการเป็นมนุษย์เงินเดือน


กำลังโหลดความคิดเห็น