ตั้งแต่รู้ว่า “สายใย สระกวี” สาวเก่งที่ Celeb online จะพามาทำความรู้จักวันนี้ เธอคือหนึ่งในคนไทยที่ไม่เพียงได้มีโอกาสทำงานในองค์กรระดับท็อป ที่คนทั้งโลกไม่มีใครไม่รู้จัก อย่าง กูเกิล แต่เธอยังพกพาความสามารถมากจนผลงานเข้าตา ในวัย 35 ปีเธอสามารถก้าวขึ้นมาเป็น Head of Communications and Public Affairs ดูแลงานภาพรวมด้านการสื่อสารทั้งหมดของ กูเกิล ประเทศไทย ก็ทำให้ตื่นเต้นได้ไม่น้อย
จากหน้าที่การงานของเธอ อาจทำให้หลายคนด่วนสรุปไปแล้วว่า สายใยต้องเป็นเด็กเกรดเอ ขยันเรียน แถมยังมุ่งมั่นกับอาชีพพีอาร์มาตั้งแต่ยังไม่พ้นรั้วมหาวิทยาลัย ทว่า ความเป็นจริงกลับตาลปัตรกับสิ่งที่คิดอย่างสิ้นเชิง เมื่อเจ้าตัวเฉลยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า เธอไม่ใช่เด็กที่วิชาการเด่น แถมเคยผ่านจุดที่ค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอาชีพอะไร รู้เพียงแต่ว่าตอนเด็กๆ เคยมีความฝันว่าอยากโตขึ้นมาเป็นเชฟ ทั้งที่ไม่รู้ว่าคนเป็นเชฟต้องทำอะไร รู้แต่ว่าเป็นคนชอบกิน
“สมัยเรียน สายใยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโตขึ้นอยากทำอะไร เป็นช่วงที่หาตัวเองไม่เจอ รู้แต่ว่าชอบภาษา ชอบเขียน ชอบพูดชอบคุยกับคน เลยเลือกเรียน Bachelor of Arts Program in Business English ที่เอแบค เน้นเรียนกว้างๆ ไว้ก่อน พอเรียนจบก็ไปทำงานเป็นเออีอยู่เอเจนซีโฆษณาแห่งหนึ่งอยู่ปีกว่าๆ ก็มีไอเดียว่าอยากไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติม เพราะตอนนั้นภาษาอังกฤษเราแข็งแรงอยู่แล้ว คุณพ่อก็เลยแนะนำว่า ถ้างั้นให้ไปเรียนคอร์สภาษาที่ปักกิ่งเลย เราก็ไป เรียนอยู่ 1 ปี แล้วก็ฝึกงานต่อที่เอเจนซีพีอาร์ที่ปักกิ่งอยู่อีก 1 ปี จากที่ตอนแรกไม่รู้ภาษาจีนเลย ก็เริ่มสื่อสารได้ดีขึ้น แต่อย่าถามว่าตอนนี้เหลือแค่ไหน เพราะได้แค่ถามทางกับสั่งอาหาร”
ในช่วงที่ฝึกปรือภาษาอยู่ที่จีน ด้วยความเป็นสาวแอกทีฟ และวางแผนชีวิตตลอด จากที่นิยามตัวเองว่าเป็น “เป็ด” สนใจเรียนรู้หลายอย่างแต่ไม่เต็มร้อยสักอย่าง (ได้ประมาณ 80%) เธอเริ่มค้นพบว่า เธอตกหลุมรักงานสายพีอาร์เข้าให้แล้ว จึงตัดสินใจส่งใบสมัครปริญญาโทไปที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) เพื่อเรียนต่อด้าน Public relations and corporate communications เหตุผลเพราะที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านพีอาร์อันดับต้นๆ ของโลก
“หลังจากเรียนจบ สายใยตัดสินใจอยู่ทำงานต่ออีก 3 ปี ช่วงที่เรียนจบประมาณปี 2010 เป็นยุคที่โซเชียลมีเดียกำลังบูม สายใยเลยมีโอกาสได้เริ่มต้นชิมลางในสายงานดิจิทัลพีอาร์ตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งทำยิ่งเรียนรู้เป็นช่วงที่สนุกกับงานมากๆ จนวันหนึ่งทราบข่าวคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็ง เลยเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต จริงๆ ท่านก็เป็นระยะแรกและมีแผนการรักษาอยู่แล้ว แต่สายใยเองมากกว่าที่รู้สึกว่าจิตใจไม่ไหว อยากกลับไปดูแล อยู่ใกล้ๆ ท่าน เลยตัดสินใจยื่นใบลาออกล่วงหน้า 2 อาทิตย์แล้วกลับมาเมืองไทยเลย”
ช่วงแรกที่กลับมา เธอยอมรับว่าเคว้งพอสมควร แต่ไม่นานเธอก็ได้รับโอกาสให้มาเป็นนักเขียนของ Tech in Asia ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ หน้าที่หลักของเธอในตอนนั้นคือ รายงานข่าวในแวดวงไอทีและสตาร์ทอัพในบ้านเรา
“เราชอบเขียนอยู่แล้วก็จริงๆ ตั้งแต่เด็กก็เขียนไดอารี่ แต่พอต้องมาทำงานเขียนจริงจัง สายใยมองว่าเป็นคนละเรื่องเลย สิ่งที่ยากที่สุดคือ การหาแง่มุมนำเสนอให้เรื่องราวน่าสนใจ โดนใจคนอ่าน หลังจากเรียนรู้อยู่ปีกว่า ก็ตัดสินใจยื่นใบสมัครงานมาที่กูเกิล ประเทศไทย เชื่อมั้ยตอนนั้นสายใยสมัครที่เดียวเลยนะ ไม่ใช่เพราะมั่นใจ แต่เพราะเป็นพวกไม่ชอบแบกรับความผิดหวัง เลยยื่นสมัครทีละที่ อย่างน้อยจะได้ไม่รู้สึกว่าโดนบอกเลิกซ้ำๆ เหมือนกับตอนจะไปต่อโทที่ NYU ก็เหมือนกัน ก็สมัครที่เดียวเลย”
เล่ามาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหนึ่งในคำถามที่หลายคนเริ่มอดใจไม่ไหว อยากรู้ว่ากระบวนการรับสมัครขององค์กรยักษ์ใหญ่ของโลกจะหินและยากขนาดไหน
คำถามนี้สายใยเล่าอย่างออกรสว่า “ใช้เวลาอยู่ 6 เดือนกว่าจะรู้ผล ต้องสัมภาษณ์หลายรอบเหมือนกัน สายใยว่าคนที่กูเกิลมองหาไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในโลก แต่เขามองหาคนที่พร้อมจะเป็น Team player และ มีความเป็นผู้นำ รู้ดีในสายงานที่ทำ ที่สำคัญสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี รู้ว่าถ้าเจอปัญหาแบบนี้ต้องรับมืออย่างไร เพราะในกูเกิล มีผลิตภัณฑ์เยอะมาก ความยากคือเราจะเอามาปรับใช้ หรือสื่อสารออกไปอย่างไรให้เข้ากับบริบทสังคมไทย”
กว่า 3 ปีที่สายใยได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิล ประเทศไทย เธอยอมรับว่าสนุกกับงานที่ทำ เพราะวัฒนธรรมองค์กรของที่นี่คือ ผลักดันให้พนักงานแข่งกับตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นตลอดเวลา ที่สำคัญมีความเป็นทีมที่พร้อมจะช่วยเหลือ หรือต่อให้บางครั้งจะมีความคิดต่างๆ หรือเจอปัญหา แต่ทุกคนพร้อมจะช่วยกันและให้คำแนะนำ เพื่อให้นำไปปรับปรุงและไปต่อ
“การที่ได้ทำงานที่นี่เป็นความภูมิใจแน่นอน ซึ่งสายใยว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียว แต่ทุกคนที่ทำงานที่นี่รู้สึกอย่างนั้น เพราะเราทำงานอย่างเต็มที่ จับมือกับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจต่างๆ นำเทคโนโลยีมาเพื่อช่วยคนไทยจริงๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Leave No Thai Behind หรือการไม่ทิ้งคนไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และไร้ที่พึ่งที่เราเพิ่งประกาศไปในงาน Google For Thailand ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้น หรือสนับสนุน SMEs ให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ” สายใยเล่าอย่างออกรสด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลังจากจากชวนคุยเรื่องงานมาพอหอมปากหอมคอ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาชวนคุยเรื่องไลฟ์สไตล์ที่สายใยอาจไม่ค่อยได้มีโอกาสเล่าให้ฟังที่ไหนกันบ้าง เธอบอกว่า แพสชั่นตอนนี้มีอยู่ 2 อย่างคือ กาแฟและการออกกำลังกาย เริ่มจากกาแฟ เธอไม่ใช่แนวคาเฟ่ฮอปเปอร์ ที่มีความสุขกับการตระเวนไปเช็กอินตามคาเฟ่น่ารักๆ แต่ดื่มด่ำกับการดื่มกาแฟแปลกๆ จากทั่วทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน ยังเป็นสายเฮลตี้ ที่มีวินัยในการออกกำลังกายแบบที่ต้องยกนิ้วให้
“เพิ่งมาเริ่มออกกำลังกายได้ประมาณ 1 ปี เริ่มแรกแค่อยากรีดน้ำหนัก แต่ออกไปออกมาก็เริ่มรู้สึกอยากท้าทายตัวเอง ด้วยการทำลายสถิติของตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้นอกจากเวท เทรนนิงสัปดาห์ละ2-3 วัน ก็ไปวิ่งที่สวนลุม 2-3 วัน ที่เห็นชัดเลยคือหัวใจดีขึ้น เดี๋ยวนี้เดินขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้าได้สบาย“
นอกจากนี้ เพื่อสุขภาพที่ดี ออกสื่อได้โดยหน้าไม่โทรม เธอยังพยายามปรับเวลานอน เบรกตัวเองไม่ให้ทำงานหลัง 5 ทุ่ม ถึงขนาดตั้งปิดแอปฯ ที่เกี่ยวกับการทำงานไว้ในโทรศัพท์เลย
“ทำมาได้สักพักแล้ว จะมีนานๆ ทีที่แอบโกง ขอทำงานบ้าง แต่พยายามจะไม่ทำ เพราะ บางทีเราอาจจะคิดว่าเราเคลียร์งานให้เสร็จ แต่การส่งเมลตอบเพื่อนร่วมงานตอนกลางคืน ก็เหมือนเป็นการรบกวนอีกฝ่ายเหมือนกัน เพราะแทนที่เขาจะได้พัก เห็นเราส่งเมลมาก็เกรงใจต้องมาตอบอีก หรืออย่างเวลาพักร้อนเหมือนกัน สายใยยอมรับว่าเป็นคนบ้างานมาก ทุกทริป เอาคอมฯ ไปด้วยไม่พอ ทุกคืนต้องเปิดเช็กเมล มีครั้งหนึ่งตอบเมลกลับมา แล้วเจอเจ้านายตำหนิว่า อย่าทำแบบนี้ เวลาที่ให้พัก คือต้องการให้ไปรีเฟรช ตัดขาดจากงาน 100% เพื่อกลับมาจะได้ทำงานได้เต็มร้อย (หัวเราะ) ซึ่งตอนนี้เราก็ยังพยายามทำให้ได้ โดยเริ่มจากการไม่เปิดคอมฯ ทุกคืนเวลาไปทริป แต่ยังพกติดตัวไปด้วยทุกทริปเพื่อความอุ่นใจ (หัวเราะ)”
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเวลาไม่นาน ที่ได้ทำความรู้จักสายใยในหลากแง่มุม สิ่งที่สัมผัสได้คือ พลังแห่งความมุ่งมั่นตามสไตล์ผู้หญิงยุคใหม่ ที่มีความมั่นใจอยู่ล้น แต่สำหรับเจ้าตัวเองกลับมองว่า ภายใต้ความมั่นใจนั้นบางโมเมนต์ก็มีอารมณ์อ่อนแอและผิดหวัง
“ทุกคนมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ ผิดหวังด้วยกันทั้งนั้น สายใยก็เช่นกัน แต่โชคดีที่สายใยมีหน่วยซัพพอร์ตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูง สายใยคิดว่าบางครั้งคนเราก็ต้องเห็นแก่ตัว ที่จะพาตัวเองไปอยู่ห้อมล้อมคนที่คิดบวก เพื่อเติมพลังให้ชีวิต หรือบางครั้งถ้าเสียใจก็หาวิธีระบายออกมาไม่ต้องเก็บไว้ บางคนอาจจะเลือกร้องไห้ ก็ร้องให้พอแล้วไปต่อก็แค่นั้น” สายใยทิ้งท้าย