ชื่อของ “โอ๊ต-พิทักษ์ สภาธรรม” กลายเป็นที่จับตาของสังคมขึ้นมาทันที เมื่อเขามีสถานะแฟนของนักแสดงสาวชื่อดัง “มิน-พีชญา วัฒนามนตรี” ท่ามกลางสปอตไลต์แทบทุกดวงที่สาดส่อง ล้วนอยากรู้จักว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงพิชิตใจนักแสดงสาวสวยเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยได้สำเร็จ
งานนี้ โอ๊ตพร้อมเปิดใจทุกเรื่อง ตั้งแต่เส้นทางความรักที่ไม่ต่างจากพล็อตซีรีย์เกาหลี เริ่มจากเป็นเพื่อนร่วมคลาส โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นดารา เพราะไม่ค่อยได้ดูทีวี และตัวเขาเองก็ไม่ใช่ไฮโซนามสกุลดังอย่างที่เป็นข่าว แต่เพราะทัศนคติการใช้ชีวิตที่คลิกกันพอดี ทำให้ค่อยๆ ขยับสถานะเป็นสถาปนิกการเงินคู่ใจ ที่ไม่เพียงช่วยบริหารการเงิน แต่หนุ่มโอ๊ตยังบอกว่าพร้อมบริหารชีวิตไปด้วยกัน
ก่อนอื่นขอพาไปรู้จักตัวตนของหนุ่มโอ๊ตกันก่อน ซึ่งถ้ามีใครเดินเข้ามาถามว่าเขาทำอะไร เขาขอเรียกตัวเองว่า ที่ปรึกษาการเงินอิสระ หรือ Private Wealth Architect ซึ่งหลายคนอาจฟังแล้วสะดุดหูกับคำว่า Architect ว่าเกี่ยวอะไรกับสถาปนิก งานนี้ดูเหมือนหนุ่มโอ๊ตอาจจะเจอถามนี้มาเยอะ เลยชิงเฉลยซะก่อน
“คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอาชีพนักบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งผมมองว่าเป็นคำโบราณที่ใช้เรียกกลุ่มที่ปรึกษาที่ทำงานให้กับสถาบันการเงิน โดยขีดเส้นใต้การลงทุนว่า จำกัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินนั้นๆ ซึ่งผมไม่ได้มองว่าไม่ดีนะครับ เพียงแต่ผมคิดต่าง ในฐานะที่ผมเรียนจบด้านสถาปัตย์ แต่ชีวิตพลิกผันเลยมาสนใจการเงิน ผมมองว่าการบริหารความมั่งคั่งไม่ได้จำกัดกรอบอยู่แค่รูปแบบการลงทุนไม่กี่แบบ แต่ต้องมองลึกไปถึงเป้าหมายและความต้องการเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกัน ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (อิสระ) ผมไม่ได้มองว่ากำลังขายผลิตภัณฑ์การเงินตัวไหน แต่กำลังช่วยลูกค้าตามหาสิ่งที่ใช่ ตอบโจทย์กับเป้าหมายในการบริหารความมั่งคั่งของลูกค้า
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ เหมือนกับสถาปนิกที่ออกแบบบ้าน เรามีหน้าที่รับฟังไอเดียและความต้องการของลูกค้า จากนั้นมานำเสนอพิมพ์เขียวที่คิดว่าตอบโจทย์ลูกค้าภายใต้งบประมาณ พื้นที่หรือข้อจำกัดที่มี ให้ลูกค้าพิจารณาว่าตอบโจทย์หรือใช่แบบที่ต้องการหรือไม่ แต่เราไม่ได้นำกระเบื้อง วอลเปเปอร์ที่มีในตลาดมาให้ลูกค้าเลือกว่าชอบหรือไม่ชอบ ใช้ระบบ Customer Centric หรือลูกค้าเป็นศูนย์กลางนั่นเอง ผมถึงเรียกตัวเองว่าเป็นสถาปนิกการเงินก็ไม่ผิด”
อย่างไรก็ตาม จากสถาปนิกซึ่งเป็นอาชีพที่ห่างไกลจากอาชีพที่ปรึกษาทางการเงินลิบลับ จุดพลิกผันที่ทำให้โอ๊ต หนุ่มหน้าใสที่มีหน้าตาละอ่อนเป็นอาวุธ จนหากไม่เฉลยว่า ใกล้หลักสี่เข้ามาทุกที ก็แทบไม่เชื่อ ส่อเค้าให้เห็นตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
“ตอนเรียนอยู่ปี 5 ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า สถาปนิกไม่ใช่ทางของผม ทั้งที่ตอนแรกผมดื้อ ครอบครัวอยากให้เรียนสาขาอื่นๆ เพราะเห็นว่าเป็นช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง สถาปนิกจะหางานยาก ก็ไม่เชื่อ ดึงดันจะเรียนแต่สุดท้ายก็ไม่ชอบ เลยเบนเข็มไปสู่วงการแอนิเมชัน 3 มิติ ซึ่งยุคนั้นกำลังบูม ผมจำได้ช่วงนั้นการ์ตูน Monsters, Inc. เพิ่งเปิดตัวในไทย เป็นจังหวะที่ผมได้งานที่บริษัทเกี่ยวกับหนังและเกมแห่งแรกของประเทศไทย ช่วงแรกๆ ก็สนุก แต่ทำได้ 8 เดือน ผมตัดสินใจลาออก เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต เลยไปสมัครงานที่ค่ายรถญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่ ไปอยู่ทีมออกแบบชุดแต่งรถ ทำอยู่ 2 ปี ก็ตัดสินใจลาออก ทั้งที่องค์กรที่อยู่มั่นคง มีทั้งโบนัส สวัสดิการ เงินเดือนก็ขึ้นทุกปี แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนว่า อยากจะพลิกชีวิตครอบครัว ผมไปสมัครงานที่ใหม่มีแผนจะส่งผมไปทำงานที่ดูไบ โดยให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากเดิม 4 เท่า ผมก็ยอม แต่จนแล้วจนรอดปรากฏว่าผ่านไป 1 เดือนก็ยังไม่ได้ไป ผมเลยไปถามคนที่รับผิดชอบ เขาบอกว่าโปรเจกต์เกิดปัญหาต้องรอไปก่อน วินาทีนั้นผมตัดสินใจยื่นใบลาออกเลย เพราะผมรู้สึกว่าเมื่อเป้าหมายชีวิตเบี้ยวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ เพราะชีวิตรอไม่ได้”
ในช่วงที่ชีวิตเหมือนจะเคว้งอีกครั้ง โอ๊ตก็ได้รับโอกาสให้เข้าไปทำงานเป็น Construction Project Management ให้กับพรีเมียมฟิตเนตชื่อดังแบรนด์หนึ่ง ที่กำลังปูพรมขยายสาขา
“ถือเป็นครั้งแรกที่มาจับงานด้าน Management ซึ่งค่อนข้างท้าทายแต่ก็เปิดโลกให้ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง ต้องไปอยู่เชียงใหม่และเวียดนาม ก่อนจะได้โปรโมตเป็นเอ็มดีตั้งแต่อายุ 27 ปี ทำให้เริ่มเข้าใจภาพรวมของธุรกิจมากขึ้น จนถึงจุดที่คิดว่าอยากจะลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจของตัวเอง ผลปรากฏว่าเปิดไปได้แค่ 1 ปี เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ธุรกิจเริ่มไม่เวิร์ก ตอนนั้นผมมีโอกาสเจอเพื่อนเก่าเป็นตัวแทนขายประกันที่ผมซื้อไว้ก่อนหน้านี้ และเขามาเก็บเบี้ยรายปีพอดี ผมเลยถามเขาว่า เศรษฐกิจแบบนี้จะยังมีลูกค้าเหรอ เขาก็ตอบว่ามีทุกวัน ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกใจ เลยอยากหาคำตอบว่าเพราะอะไร ผมตัดสินใจตามเพื่อนคนนี้ไปเพื่อเรียนรู้วิธีการหาลูกค้า และศึกษาโลกของการลงทุนที่ไม่ได้มีแต่ประกัน แต่ยังมีอีกหลายอย่าง ผมก็เรียนรู้ ซึมซับมาเรื่อยๆ ช่วงนั้นทำการบ้านหนักมาก เพราะไม่มีพื้นฐานมาก่อน แถมถ้าจะเอาดีด้านที่ปรึกษาการลงทุน ยังต้องไปสอบประกาศนียบัตรหลายอย่าง”
หลังจากเพลิดเพลินในโลกใบใหม่ ทำให้โอ๊ตเริ่มเห็นเส้นทางแห่งอนาคตอีกครั้ง เมื่อเขาได้รับโอกาสสำคัญไปเข้าร่วมการประชุมกลุ่มที่ปรึกษาการเงิน ที่สหรัฐอเมริกา จึงจุดประกายให้เขาค้นพบเส้นทางของตัวเอง
“ผมบอกตัวเองเสมอว่า ผมไม่ได้กำลังขายผลิตภัณฑ์การเงินอะไรให้ลูกค้า แต่ผมเป็นที่ปรึกษาช่วยลูกค้าออกแบบเส้นทางการบริหารการเงินเพื่อไปสู่จุดหมาย ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน จนถึงวันนี้ผมไม่ได้มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะยังมีอีกหลายอย่างให้เรียนรู้ ผมรู้แต่ว่า วิธีเดิมของเมื่อวานอาจไม่เวิร์กสำหรับอนาคต เพราะฉะนั้น เราต้องมองหาโซลูชั่นที่ดีกว่าเสมอเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า”
12 ปีที่ทำหน้าที่ช่วยลูกค้าวางพิมพ์เขียวในการบริหารการเงินมาเยอะ ถามว่า แล้วได้วางพิมพ์เขียวชีวิตตัวเองอย่างไร โอ๊ตโปรยยิ้มก่อนเฉลยว่า “คำว่าเกษียณของผมไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน แต่เป็นช่วงเวลาที่ผมสามารถทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องกังวล ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทุกวันนี้เวลาว่าง ผมมีความสุขกับการออกกำลังกาย เพราะมองว่าสุขภาพเป็นสินทรัพย์สำคัญที่สุดในชีวิตที่ต้องดูแล ผลพลอยได้คือ พอออกกำลังกายสม่ำเสมอจนได้รูปร่างที่ดีแล้ว ก็ไม่อยากเลิก (หัวเราะ) เวลาว่างที่เหลือผมยังชอบดูหนัง ไม่ใช่การดูผ่านสตรีมมิงวิดีโอนะ แต่ต้องไปดูที่โรงภาพยนตร์เลย”
กิจกรรมนอกบ้านว่าแน่นแล้ว แต่ถึงอย่างไรโอ๊ตก็ยังต้องแบ่งเวลามาทำอีกหนึ่งภารกิจ ที่ขาดตกบกพร้องไม่ได้ นั่นคือ ดูแลน้องหมาคอร์กี้ ซึ่งผมซื้อให้เป็นของขวัญมีนตอนครบรอบ 2 ปี
“ผมรู้ว่าเขาชอบหมามาก แต่ไม่กล้าเลี้ยง เพราะกลัวไม่มีเวลาดูแล ช่วงแรกๆ ผมอาศัยส่งรูปในไอจีให้เขาดูตลอด (หัวเราะ) จนตอนหลังก็ซื้อมาให้ เพราะผมว่าเขาทำงานหนักมาก บางช่วงที่เหนื่อยมากๆ ผมว่าการเลี้ยงน้องหมาช่วยให้คอยเบรกตัวเองจากเรื่องหนักๆ รอบตัวได้ ซึ่งผมเองก็ช่วยเขาเลี้ยงด้วย เลยเหมือนเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยามว่าง”
วกมาถึงเรื่องสาวสวยคนสนิททั้งที เลยถือโอกาสนี้อัปเดตถึงเส้นทางความรักของทั้งคู่สักนิด งานนี้หนุ่มโอ๊ตออกอาการเขินนิดๆ ก่อนเล่าด้วยใบหน้าอมชมพูว่า “ผมรู้จักกับมินเพราะเราลงเรียนคอร์สเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ตอนนั้นผมไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าเขาเป็นดารา ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดจะจีบนะครับ แต่เขาเป็นว่าที่ลูกค้าที่ผมหมายตาไว้ เพราะเห็นเขาทำงานหนัก ยุ่งแบบนี้ น่าจะต้องการที่ปรึกษาการเงิน ผมใช้เวลาอีก 6 เดือนหลังจากเรียนจบคอร์สไปแล้ว กว่าจะได้เจอมีนอีกครั้ง เพราะฉะนั้น ช่วงที่รู้จักกันใหม่ๆ เขาคือเพื่อนร่วมคลาสเรียนและลูกค้า
หลังจากที่ได้สวมบทที่ปรึกษาการเงิน เหมือนเป็นการเปิดประตูให้โอ๊ตได้รู้จักกับแฟนสาวรุ่นน้องที่แม้อายุจะห่างกัน 9 ปี แต่กลับไม่รู้สึกถึงช่องว่างแห่งวัย
“พอรู้จักเขามากขึ้น ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เขาเป็นต่างกันมาก เขาเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มาก ซึ่งผมเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายชีวิตมาก เลยทำให้ประทับใจ และเริ่มคิดว่าในเมื่อเราเห็นภาพชีวิตของเขาแล้ว เราน่าจะนำแผนชีวิตที่เรามีไปแมตช์ได้” โอ๊ตโชว์หวานอย่างอารมณ์ดีทิ้งท้าย ส่วนเรื่องข่าวดีที่แฟนๆ ตั้งตารอ โอ๊ตแย้มว่าให้เป็นเรื่องของอนาคต ส่วนจะใกล้หรือไกลต้องรอติดตาม
ขอขอบคุณ :: ร้าน Royal Osha โทรศัพท์ 0-2256-6555 เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพ