คนเรามีโอกาสในชีวิตไม่เท่ากัน คนที่เกิดมามีต้นทุนชีวิตสูงย่อมได้เปรียบ แต่จะดีแค่ไหนถ้าคนที่มีพร้อมทุกอย่าง แล้วแบ่งปันโอกาสดีๆ ให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า เฉกเช่นเซเลบเมืองไทยที่เกิดมาเพียบพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ลืมที่จะมอบสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม หลายคนทำงานให้กับมูลนิธิต่างๆ เพื่อเป็นสะพานบุญในการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน บางคนก็ชักชวนเพื่อนสนิทมาทำมูลนิธิเสียเอง เพื่อช่วยเหลือสังคมและให้โลกใบนี้งดงามน่าอยู่ แต่จะมีเซเลบใจบุญคนไหนบ้างที่อุทิศตัวสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคม ตามมาชื่นชมกันได้เลย
เพราะตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่า ชีวิตนี้จะไม่มีวันเกษียณชีวิตการทำงานของตัวเองในภาคเอกชนเป็นแน่แท้ เพราะทั้งชีวิตและจิตวิญญาณของ กิ๊บ-ชนันนัทธ์ พลปัถพี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารงานกลาง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ที่มีคุณพ่อซึ่งเป็นอดีตนายทหารถวายอารักขา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทด้วยความจงรักภักดีจนถึงวันเกษียณอายุราชการ เป็นต้นแบบในการทำงาน จึงทำให้เธอซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของ พล.อ.สนั่น มะเริงสิทธิ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กับคุณหญิงรำพึงพิศ ตัดสินใจเดินออกจากการทำงานในชีวิตภาคเอกชน แล้วหันมาทำงานในมูลนิธิ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวง ร.๙ อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพราะหวังเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในการขับเคลื่อนและช่วยเหลือสังคมและประชาชนให้มีชีวิตอยู่ดีกินดี
กิ๊บว่าก่อนหน้านี้ทำงานภาคเอกชนมานานกว่า 10 ปี รู้สึกว่าถึงจุดอิ่มตัว ประกอบกับตั้งใจว่าอยากจะทำงานถวายการรับใช้ในหลวง ร.๙ ตามรอยผู้เป็นบิดา ดังนั้นจึงลาออกจากการทำงานที่บริษัทเอกชน แล้วมาสมัครงานในตำแหน่งประชาสัมพันธ์มูลนิธิชัยพัฒนา อันเป็นมูลนิธิที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
“ช่วงที่มาทำงานที่มูลนิธิชัยพัฒนา ภารกิจแรกในปีนั้นประเทศไทยกำลังประสบภัยสึนามิ ดังนั้น ทางมูลนิธิจึงได้รับมอบหมายให้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวประมงที่ไม่มีอุปกรณ์ในการทำมาหากินและบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นพระราชดำริของในหลวง ร.๙ ในการช่วยเหลือประชาชนต้องช่วยในเรื่องที่จำเป็น ดังนั้น การทำอุปกรณ์ทำมาหากินให้ชาวประมงจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก ที่ทางมูลนิธิเข้าไปช่วยฟื้นฟูผู้ประสบภัยที่เป็นชาวประมงให้มีเรืออันเป็นอุปกรณ์หลักในการทำการประมงอันเป็นอาชีพหลักของพวกเขา ให้สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ก่อน หน้าที่รับผิดชอบตอนนั้นคือ การประสานงานกับกรมอู่ทหารเรือ กรมประมง ในการต่อเรือจัดทำเรือให้ชาวประมง”
หลังจบภารกิจช่วยเหลือและฟื้นฟูชาวประมงผู้ประสบภัยสึนามิแล้ว เธอได้ทำงานกับมูลนิธิชัยพัฒนาอยู่อีก 2 ปี แล้วก็ลาออกและกลับไปทำงานในองค์กรเอกชนตามเดิม แต่สุดท้ายการทำงานก็มาถึงจุดอิ่มตัว เธอจึงหันหลังให้กับภาคเอกชนอย่างจริงจัง แล้วมาทำงานภาคสังคมอีกครั้งที่ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างตลาดและรองรับผลผลิตทางการเกษตร และส่งเสริมเกษตรกรจากโครงการในพระราชดำริฯ เพราะเธอได้เกิดและเติบโตมากับสินค้าดอยคำที่เกษตรกรนำไปขายให้โรงงานหลวงฯ มาตั้งแต่เด็ก จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันพัฒนาสินค้าดอยคำให้เป็นที่รู้จักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
“เรารู้สึกว่าอิ่มกับงานภาคเอกชน เพราะการทำงานมูลนิธิมีแต่ให้กับให้ ในขณะที่เราทำงานภาคเอกชนมันก็ให้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องมีผลกำไรอยู่ โดยเฉพาะเวลาทำงานกับองค์กรที่ก้าวกระโดด และคิดว่าอยากจะทำงานถวายในหลวง รัชกาลที่ ๙ จึงมาทำงานที่ บจก.ดอยคำ ที่สำคัญดอยคำมีสตอรียาวนานมาก ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยคุณพ่อ เพราะคุณพ่อได้มีโอกาสถวายการอารักขาในหลวง ร.๙ มาตั้งแต่ปี 2521 และช่วงนั้นพระองค์ทรงงานหนัก เพราะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือสมัยก่อนมีปัญหาคอมมิวนิสต์รุนแรงจนไม่มีเจ้าหน้าที่หรือใครกล้าเข้าไปในพื้นที่สีแดง ในหลวง ร.๙ จึงทรงเปลี่ยนแนวนโยบายการดูแลพื้นที่จากการรบมาเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยให้ทหารเป็นคนเข้าไปดูแลเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน กรมโยธาธิการ จนในเวลาต่อมาพระองค์ก็ทรงก่อตั้งโรงงานหลวงแห่งที่ 3 และ 4 ที่ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้สำเร็จ อันเป็นการแก้ปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์อย่างได้ผลและยั่งยืน ทำให้เกษตรกรหันกลับมาปลูกพืชผลทางเกษตรเพราะมีน้ำใช้ นับเป็นพระปรีชาสามารถโดยแท้จริง” กิ๊บเล่าถึงแรงบันดาลใจในการหวนกลับมาทำงานภาคสังคม ในฐานะเป็นผู้ให้สานต่อพระราชปณิธานของในหลวง ร.๙ อีกครั้งด้วยความภาคภูมิใจ
จะโชคดีแค่ไหนหากคนคนหนึ่งสามารถใช้เวลาและทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับสิ่งที่รักเหมือนกับ คุณแม่ลูก 3 น้ำหวาน-พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ อาจเพราะรู้ใจตัวเองตั้งแต่ยังเรียนหนังสือว่าอยากทำอะไร ฉะนั้นจึงไม่ยอมให้เสียเวลา การเรียนรู้ชีวิตผ่านการอ่านทำให้เธอได้รู้ถ่องแท้แก่ตนว่า “ฉันไม่ทำธุรกิจ แต่ฉันจะทำงานเพื่อสังคม”
เมื่อแตกฉานในความคิดแล้ว หลังเรียนจบเธอจึงได้ร่วมงานกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ด้านการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมและการตลาดของธุรกิจการท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์งานมือ และผลผลิตทางการเกษตร ทำงานอยู่ที่มูลนิธิ 2 ปี จากนั้นก็ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Fletcher School of Law and Diplomacy, Tufts University แมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา
น้ำหวานเล่าถึงเหตุผลที่ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า เป็นที่เดียวที่ให้โอกาสกับผู้เรียนในการเลือก มีความยืดหยุ่นสูง แล้วสิ่งที่เลือกก็คือ ธุรกิจระหว่างประเทศกับสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นสองสิ่งที่คิดว่าจะนำไปต่อยอดที่โครงการดอยตุงได้ และเธอต้องการทุ่มทั้งแรงกายแรงใจทั้งหมด ต่อยอดโครงการดอยตุง เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนมีกับคนไม่มีให้เหลือน้อยที่สุด สมดังรับสั่งของสมเด็จย่าที่เคยรับสั่งว่า
“ทุกอย่างอยู่ที่คน ร่างกายต้องแข็งแรง จิตใจต้องดี สติปัญญาต้องดี และเมื่อคนดี คนก็ทำหน้าที่ครอบครัวก็ดี ชุมชนก็ดี สังคมก็ดี ทุกอย่างเริ่มต้นที่คน เราจึงพัฒนาคน” น้ำหวานเหล่าด้วยความภาคภูมิใจและนำรับสั่งนั้นมาน้อมใส่เกล้าใส่กระหม่อมมาจนถึงทุกวันนี้ และอุทิศตนเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ช่วยเหลือสังคมให้มีความสุข คุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
เห็นเป็นไฮโซที่วันๆ หนึ่งนั่งส่องเพชรจนหน้าใสปิ๊ง อย่างเสี่ยใหญ่แห่งบิวตี้ เจมส์ หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล แถมปีๆ หนึ่งก็ส่งออกเพชรไปขายมูลค่านับพันล้านบาทแบบนี้ แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเสี่ยหนึ่งนั้น เป็นโต้โผสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมายการคุ้มครองสื่อลามกอนาจารเด็ก เพื่อป้องกันเด็กบริสุทธิ์ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ โดยเจ้าตัวได้ผสานมือกับรุ่นพี่คนเก่ง ฝัน-ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร ด้วยการก่อตั้ง มูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก และผลักดันร่างกฎหมายการคุ้มครองสื่อลามกอนาจารเด็ก จนสำเร็จและกฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2558 หลังจากต่อสู้มายาวนานถึง 8 ปี 4 รัฐบาล สร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่ตัวเขาและทีมงานเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยหนึ่งเล่าถึงที่มาในการก่อตั้งมูลนิธิว่า มีแรงบันดาลใจมาจาก มร.ฟิลลิป ซอเรนเซ่น ที่ปรึกษาผู้ถวายงานสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ และสมเด็จพระราชินีซิลเวีย แห่งราชอาณาจักรสวีเดน ที่ผลักดันร่างกฎหมายนี้จะผ่านที่ประเทศสวีเดน และเขาเองก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว เขาจึงอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนสังคมบ้าง และฉุกคิดถึงปัญหาที่เมืองไทยเป็นแหล่งผลิตสื่อลามกอนาจารในเด็ก จึงได้ร่วมกับ ดร.ฝัน ผลักดันร่างกฎหมายนี้อย่างจริงจัง จนมีผลบังคับใช้อย่างเช่นทุกวันนี้
“ผมไม่อยากให้ประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าส่งออกอัญมณีจนรวยแล้ว ต้องมาส่งออกซีดีลามกอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีออกไปขายทั่วโลกอีก เพราะถือเป็นปัญหาสำคัญในการล่วงละเมิดทางเพศ ที่สำคัญเด็กเหล่านี้คืออนาคตที่สำคัญของประเทศชาติ พวกเขาควรได้รับความคุ้มครองในเรื่องเหล่านี้ เพราะขนาดสุนัข แมว ซึ่งเป็นสัตว์ยังได้รับความคุ้มครองแล้วทำไมเด็กๆ กลุ่มนี้เขาเป็นมนุษย์จะไม่สมควรได้รับความคุ้มครอง ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ขายหรือมีซีดีลามกอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องมีความผิดตามกฎหมายอย่างแน่นอน และในอนาคตอันใกล้นี้ เราก็มีแผนที่จะไปผลักดันกฎหมายนี้ในระดับอาเซียนอีกด้วย ซึ่งตอนนี้ประเทศมาเลเซียก็ได้ตอบตกลงในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้แล้ว”
เสี่ยหนึ่งเล่าถึงความมุ่งมั่นว่า การมาทำมูลนิธิไม่ใช่ทำเพื่อสร้างภาพ แต่เขาเป็นผู้เขียนภาพให้เด็กและเยาวชนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งมันเป็นความภูมิใจที่ตัวเขาเองและคณะทำงานได้ร่วมกันเขียนขึ้นมา และอยากให้คนไทยทั้งประเทศได้ร่วมกันภาคภูมิใจ ช่วยกันสอดส่องดูแล ให้สมกับประเทศไทยเป็นไทยแลนด์ออฟสมายล์ที่แท้จริง