ใครว่าเส้นทางของทายาทธุรกิจต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับก้อง-จักรวี วิสุทธิผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TSI Insurance เพราะเพียงตัดสินใจเข้ามาชิมลางสานต่อธุรกิจครอบครัวได้เพียง 2 เดือน ก็ต้องเจอกับโจทย์รับน้องใหม่สุดหินที่ทำเอาเกือบเซ เพราะเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวในช่วงที่กรุงเทพฯ เจอวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 พอดิบพอดี
มาถึงวันนี้ แม้ผู้บริหารหนุ่มจะเล่าไปขำไปถึงจังหวะชีวิตที่ราวกับถูกกำหนดไว้ แต่ถ้าย้อนกลับไปวันวาน วิกฤตนั้นก็ไม่ต่างจากบทเรียนครั้งใหญ่ที่จำไม่ลืม
“ผมเองไม่ได้เรียนจบสายตรงมาด้านประกัน เพราะหลังจากเรียนจบจากโรงเรียนนานาชาตินิสท์ ผมไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เรียน 4 ปีได้ปริญญาตรีมา 2 ใบ คือ ด้านบริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ เรียนจบก็ตั้งใจกลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว จริงๆ ที่บ้านให้อิสระนะครับ แต่อาจเพราะผมเป็นลูกชายคนโต และเป็นหลานคนโต เลยคิดมาตลอดว่าวันหนึ่งต้องกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว เพราะรุ่นคุณพ่อคุณแม่ผมท่านเป็นหมอ ก็ไม่ได้มาทำงานตรงนี้ มาถึงรุ่นผม ผมรู้สึกว่าต้องกลับมาทำ”
หลังจากเข้ามาเรียนรู้งานในบริษัทได้ยังไม่ทันผ่านช่วงพ้นโปร แค่เริ่มทำความรู้จักกับหัวหน้าแผนกต่างๆ กรุงเทพฯ ก็เผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นสึนามิของบริษัทประกันภัยวินาศภัยถ้วนหน้า “ผมเข้ามาทำงานเต็มตัวช่วงนั้นพอดี จากที่คิดว่าจะค่อยๆ เรียนรู้ หาประสบการณ์ ก็ต้องทำเต็มตัวเลย ถือว่าเป็นช่วงที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เยอะมาก” ผู้บริหารหนุ่มเล่าไปขำไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประสบการณ์ยังน้อย พอเข้ามาเจอโจทย์ใหญ่ที่เป็นวิกฤตของประเทศ ในเวลานั้นก้องทำได้เพียงใช้ทักษะด้านภาษาที่มีช่วยเดินเรื่องเคลมประกันจากต่างประเทศ เพื่อให้การเคลมประกันสำหรับลูกค้าในประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ระบบธุรกิจไม่สะดุด โดยหลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาได้ ก้องก็ลุยงานเต็มที่ สิ่งที่เขาค้นพบคือ โอกาสของธุรกิจประกันในประเทศไทยยังมีช่องว่างอีกมาก
“ที่อเมริกา ธุรกิจประกันภัยค่อนข้างใหญ่ คนของเขาให้ความสำคัญ ประกันทุกอย่าง แต่สำหรับคนไทยยังไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าคำนวณจากจำนวนเบี้ยประกันหารด้วยจีดีพีของประเทศ ของไทยเรายังอยู่ที่ 1-2% ขณะที่อเมริกาสูงถึงเกือบ 6% ตัวเลขนี้สะท้อนว่าคนไทยยังให้ความสำคัญต่อการประกันภัยค่อนข้างน้อย”
อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาบริหารธุรกิจของครอบครัว ก้องตั้งใจปรับลุคขององค์กรให้มีความเป็นมืออาชีพ พร้อมบริการที่ครบวงจรมากขึ้น มีการนำระบบไอทีเข้ามาใช้เพื่อบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล เพื่อช่วยวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า
“เราเป็นบริษัทประกันวินาศภัย พูดง่ายๆ คือเราประกันได้ทุกอย่าง ยกเว้นประกันชีวิต ตอนนี้ลูกค้าหลักเราคือ กลุ่มตลาดรถยนต์ (Motor) ส่วนกลุ่ม Non Motor ได้แก่ การประกันอัคคีภัย การประกันเบ็ดเตล็ด การประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลเราก็มี แต่พยายามยกระดับการให้บริการให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าองค์กร”
7 ปีในโลกธุรกิจก้องยอมรับว่ามีทั้งผลงานได้เรียนรู้รสชาติของความสำเร็จและล้มเหลว แต่ทุกบทเรียนคือ ความท้าทาย
“ช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะเหมือนกัน เพราะพนักงานที่บริษัทส่วนใหญ่เห็นผมมาตั้งแต่เด็ก อยู่กันมาเป็นสิบปี มีประสบการณ์ในธุรกิจประกันมานานกว่าผม ถือว่าเป็นความท้าทายดีครับ (หัวเราะ) ผมใช้เวลา 2 ปีกว่าจะเข้าที่เข้าทาง เข้าใจว่างานบริการที่ดีเป็นอย่างไร เพราะจริงๆ แล้วธุรกิจประกันก็คืองานบริการ เราต้องรู้ว่าสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจากบริษัทประกันคืออะไร และบริการแบบไหนจะตอบโจทย์” ก้องเล่าอย่างออกรส ก่อนสารภาพว่ามาถึงวันนี้เขาตกหลุมรักธุรกิจนี้เข้าเสียแล้ว
สำหรับก้าวต่อไปของก้อง ผู้บริหารหนุ่มยอมรับว่า ในอดีตเขาฝันว่าอยากเปิดร้านบอร์ดเกม แต่หลังจากวิเคราะห์ตลาดแล้วพบว่ามีซัปพลายในตลาดมากเกินไป ตอนนี้เลยต้องหาความฝันใหม่
“ผมเริ่มเล่นบอร์ดเกมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมชอบพวกเกมแนวสร้างเมือง วางแผนทรัพยากรที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ผมชอบนะ เล่นแล้วได้ฝึกสมอง และการวางแผนไปในตัว นอกจากเล่นเกม ผมชอบออกกำลังกาย ตีกอล์ฟ วิ่ง แล้วก็ว่ายน้ำ ซึ่งทำให้รู้สึกได้ผ่อนคลายจริงๆ เป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้โดยไม่มีใครรบกวน ที่สำคัญนอกจากเวลาอยู่ใต้น้ำเหมือนได้ทำสมาธิไปในตัว ยังฝึกให้เวลาทำอะไรแล้วต้องไปถึงสุด ไม่งั้นหยุดไม่ได้”
นอกจากการออกกำลังกายที่รัก ผู้บริหารหนุ่มยังเป็นนักเดินทางสายแอดเวนเจอร์ที่เมื่อได้ฟังเรื่องราวการเดินทางครั้งล่าสุดของเขาแล้วแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ผมชอบเที่ยวแบบลุยๆ ล่าสุดผมเพิ่งกลับจากทริปดำน้ำที่ชุมพร ผมนั่งรถไฟไปกับเพื่อน รถไฟออกตอน 4 ทุ่มไปถึงเช้าพอดี ก็นั่งรถไปท่าเรือไปเกาะร้านเป็ด ร้านไก่ ใช่ครับฟังไม่ผิดชื่อเกาะนี้จริงๆ (หัวเราะ) ทริปนั้นโชคดีมากผมได้เจอฉลามวาฬ ซึ่งตัวที่ผมเจอขี้เล่นมาก ว่ายเข้ามาใกล้มาก” ก้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนเล่าต่อว่า “ทริปชุมพรผมเลือกค้างคืนบนบก ก็สนุกไปอีกแบบ ก่อนหน้านี้ผมเคยไปทริปดำน้ำแบบนอนค้างคืนบนเรือ ก็ชอบนะครับ ได้ดำน้ำตอนกลางคืนด้วย ผมเองเพิ่งเริ่มดำน้ำมา 2-3 ปี ตอนนี้อยู่ระดับ advance open water จริงๆ ก็เสียดายนะครับที่มาเริ่มช้า เพราะมีรุ่นพี่บอกว่าสมัยก่อนทะเลไทยสวยกว่านี้อีก”
ก้องยังบอกด้วยว่า เป้าหมายของเขาตอนนี้ยังเริ่มต้นจากดำน้ำในเมืองไทยก่อน จากนั้นค่อยไปลองดำน้ำที่ต่างประเทศ ส่วนทริปอื่นที่ไม่ใช่ดำน้ำ ก้องยกให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันที่ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
“ผมชอบเที่ยวเอง ยิ่งสมัยนี้ไปง่าย มีเทคโนโลยี ไม่ต้องกลัวหลง ผมชอบญี่ปุ่น ไปปีละครั้ง เปลี่ยนเมืองไปเรื่อยๆ เวลาไปก็ซื้อเจอาร์พาส (JR Pass) ตอนนี้เก็บจังหวัดตอนกลางไปเกือบหมดแล้ว ที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปคือ ฮอกไกโด” ก้องเล่าอย่างออกรส ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยความเสียดายว่า ช่วงหลังทุ่มเทให้กับงานจึงไม่ค่อยมีเวลาเดินทางมากนัก เพราะนอกจากภารกิจที่บริษัท เขายังเป็นอาจารย์พิเศษสาขาคณิตศาสตร์ประกันภัย ภาคอินเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และยังช่วยงานที่สมาคมประกันวินาศภัยอีกด้วย