xs
xsm
sm
md
lg

เปิดไฮลักชัวรี “เรือยอชต์” ของเล่นใหม่มหาเศรษฐีเมืองไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

กรกนก ยงสกุล
ถ้าคุณมีเงิน 100 ล้านบาทจะทำอะไร? ถ้าเป็นในอดีต มหาเศรษฐีส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อเครื่องบินส่วนตัว หรือสโมสรฟุตบอลเก็บไว้เป็นเครื่องประดับบารมี หากแต่ในยุคนี้รสนิยมในการเลือกของสะสมประจำกายเปลี่ยนไปแล้ว ทำให้เหล่าเศรษฐีหันมาเลือกซื้อ “เรือยอชต์” ไว้ขาย สะสม หรือบางคนเลือกที่จะทำธุรกิจท่าจอดเรือยอชต์แบบครบวงจร ที่ในแต่ละปีสร้างรายได้มหาศาล ใช้ยันชาติหน้าก็ไม่หมด และบางคนก็เลือกที่จะลงทุนซื้อเรือยอชต์สุดหรูไว้ลำสองลำ เพื่อให้คนที่ชื่นชอบกิจกรรมทางทะเลได้เช่าออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่บนท้องทะเล

สาวสังคมทรงเสน่ห์ เล็ก-กรกนก ยงสกุล ทายาทเจ้าของธุรกิจ มารีนา ยอชต์คลับ อันโด่งดังของภูเก็ต ซึ่งจำหน่ายและนำเข้าเรือยอชต์สุดหรู และให้บริการท่าจอดเรือยอชต์อีกด้วย ซึ่งในแต่ละปีครอบครัวของเธอสามารถสร้างกำไรจากการเช่าท่าจอดเรือยอชต์ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เรียกว่าเหลือกินเหลือใช้ไปถึงชาติหน้าเลยคร้า
กรกนก ยงสกุล
เล็กบอกว่า ครอบครัวทำธุรกิจนำเข้าเรือยอชต์แบรนด์ Princess สัญชาติอังกฤษที่มีประวัติมายาวนานกว่า 50 ปี มีจุดเด่นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เรียบ โก้ หรู แต่ไม่โฉบเฉี่ยวเกินไป มีความลักชัวรีและคลาสสิกไม่เหมือนใคร และนอกจากจะนำเข้าเรือมาเพื่อขายแล้ว บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ ณ ต.เกาะแก้ว ถ.เทพกระษัตรี จ.ภูเก็ต ยังมีบริการให้เช่าพื้นที่จอดเรือแบบครบวงจรตั้งแต่บริการซ่อมบำรุง ไปจนถึงมีปั๊มน้ำมันบริการเติมน้ำมันให้กับเรือ โดยเรือที่เข้ามาเช่าจอดนั้นมีตั้งแต่สนนราคา 10 กว่าล้านบาทไปถึง 100 ล้านบาท

“เรามีบริการให้เช่าพื้นที่จอดเรือ ที่สามารถจอดเรือบนบก 250 ลำ จอดในน้ำ 170 ลำ และลูกค้าร้อยละ 95 เป็นต่างชาติ มาจากยุโรปและออสเตรเลีย แต่ในอนาคตอันใกล้เริ่มมีเศรษฐีจากประเทศจีนและในกลุ่มเอเชียเริ่มเข้ามาใช้บริการบ้างแล้ว ที่สำคัญเรามีบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการด้าน Wealth Management ของลูกค้าที่มาเช่าเรือ และมีบริษัทต่างชาติที่มีความรู้ความชำนาญในการซ่อมเรือมาอยู่ที่นี่ และเรือที่มาเช่าจอดมีหลายยี่ห้อ เช่น ฮอนด้า โตโยต้า และโรลส์-รอยซ์ ทั้งยังมีปั๊มน้ำมันบริการเติมน้ำมันให้กับเรือ 500-1,000 ลิตรต่อลำ”

เล็กกล่าวต่อว่า มหาเศรษฐีทุกวันนี้นอกจากจะมีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมากแล้ว การมีเรือยอชต์สุดหรู 1 ลำเพื่อไว้เป็นเครื่องประดับประจำกาย ก็ยังคงมีความสำคัญไม่น้อย เพราะการซื้อเรือหนึ่งลำก็เหมือนกับการซื้อหุ้นไว้เก็งกำไรในอนาคต หากแต่เมื่อซื้อเรือมาแล้วก็ต้องหาที่จอดเรือและมีคนคอยดูแลให้เป็นอย่างดี ดังนั้น เราจึงได้มีบริการท่าจอดเรือให้แก่ลูกค้า และมีบริการครบวงจรภายในที่เดียว เรียกว่าเมื่อลูกค้าต้องการจะนำเรือออกไปล่องทะเลเมื่อใด ก็สามารถนำออกไปได้ทุกเวลาหายห่วง เพราะเรือที่นำมาจอดไว้มีช่างมากประสบการณ์คอยดูแลและบำรุงรักษาให้ตลอดทุกลำ
กีรติ อัสสกุล
ถึงวันนี้แม้จะไม่มีเสียงที่ดังกังวานของ กฤษณ์ อัสสกุล นักธุรกิจใหญ่ผู้ล่วงลับ แต่มรดกความฝันของเขาที่ปลายหาดจอมเทียน พัทยา ยังคงทำหน้าที่ต้อนรับเรือลำแล้วลำเล่าที่เข้ามาจอดเทียบท่าภายในมารีนามาตรฐานโลก ถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว โดยมีบุตรชายคนโต นิม-กีรติ อัสสกุล เป็นผู้บริหารอาณาจักร Ocean Property อันใหญ่โตกว้างขวาง

ในแต่ละปีมีจำนวนเรือยอชต์ของมหาเศรษฐีทั้งเมืองไทยและต่างชาติเข้ามาเช่าเทียบท่าราวๆ 400 ลำ แถมภายในโอเชียนมารีนายังมีบริการครบครันสำหรับคนเล่นเรือ ทั้งอู่ต่อเรือ ซ่อมเรือ ร้านขายอุปกรณ์เรือ ส่วนใครยังไม่มีเรือส่วนตัวแต่อยากลองประสบการณ์ใหม่ๆ ก็มีคอร์สสอนเล่นเรือ พร้อมเรือให้เช่า รวมถึงกัปตันและลูกเรือไว้คอยบริการสำหรับล่องเรือเที่ยวเกาะ หรือจัดงานเลี้ยงปาร์ตี้บนเรือ โดยมีโรงแรมและยอชต์คลับให้บริการบนชั้น 1-4 ของคอนโดมิเนียมหรู “ซานมารีโน่” อีกด้วย เรียกว่าครบวงจรสำหรับมหาเศรษฐีกระเป๋าหนัก ที่อยากมาล่องเรือยอชต์แล้วยังมีที่พักแบบส่วนตัวในวันหยุดอันแสนพิเศษ
แมทธิว ณ นคร
เพราะมีบ้านพักอยู่ที่กระบี่ ทำให้ชีวิตผูกพันกับสายลม ชายหาด และทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “การไปทะเลคือกิจกรรมประจำครอบครัวของ แมทธิว-พลวัต ณ นคร หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ประกอบกับมีพื้นที่อยู่จำนวนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ จึงทำให้ พลเรือเอก สุริยา ณ นคร ผู้เป็นบิดา คิดถึงการทำท่าจอดเรือยอชต์ขึ้นมา และทุกวันนี้หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ก็เป็นเจ้าของและผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท ตะโกลา ยอชต์มารีน่า แอนด์ โบ๊ทยาร์ด จังหวัดกระบี่

แมทธิวมองว่า การลงทุนทำท่าจอดเรือยอชต์นั้น กำลังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะประเทศไทยมีเกาะน้อยใหญ่สวยงามมากมาย โดยเฉพาะที่กระบี่ ซึ่งมีจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเกาะต่างๆ เช่น เกาะห้อง เกาะลันตา ประกอบกับการเปิดเที่ยวบินตรงจากสิงคโปร์ ฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ ที่เข้ากระบี่อย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงจากประเทศเหล่านี้ต่างต้องการที่จอดเรือ และเมื่อบินมาก็สามารถนำเรือไปแล่นได้ สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวเข้าประเทศอย่างมาก

“คนไทยเริ่มให้ความสนใจในเรื่องของกีฬาทางน้ำมากขึ้น ซึ่งเทรนด์การเล่นเรือยอชต์ของคนไทยจะเหมือนเทรนด์การปั่นจักรยานหรือการขี่บิ๊กไบค์ เป็นการดึงกลุ่มไฮเอนด์ของคนไทยเข้ามาร่วมมากขึ้น เพราะคนที่เล่นเรือยอชต์ส่วนใหญ่ต้องการใช้เป็นกิจกรรมผ่อนคลายระยะสั้น หรือใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันกับครอบครัวและเพื่อน เป็นต้น”
ฐิตวัฒน์-ธัญชนก วัชโรทัย
จากไลฟ์สไตล์ความหลงใหลในท้องทะเล นำไปสู่การลงมือทำธุรกิจของคู่สามีภริยา ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ กับ ออม-ธัญชนก วัชโรทัย ที่ทุ่มเงินหมดหน้าตักมาลงขันทำธุรกิจให้เช่าเรือยอชต์ร่วมกันภายใต้ชื่อ “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” (Blue Voyage Thailand) ที่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นธุรกิจให้บริการเช่าเรือยอชต์ และให้บริการด้านไลฟ์สไตล์ ที่กำลังเติบโตและพร้อมจะแล่นออกไปสู่ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

ปิ๊งเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่หันมาทำธุรกิจให้เช่าเรือยอชต์ว่า เขาเป็นคนชอบเดินทาง ภรรยาเองก็ชอบเหมือนกัน และมีอยู่ครั้งหนึ่งทั้งคู่อยากไปล่องเรือกันสองคน จึงลองเสิร์ชดูปรากฏว่าไม่มีบริษัทที่ให้บริการเช่าเรือยอชต์แบบวันเดย์ทริปเลย ซึ่งส่วนใหญ่ตามสไตล์การออกเรือของฝรั่งคือ เขาจะไปเป็นสัปดาห์เลย ซึ่งมีราคาสูงมาก
ฐิตวัฒน์-ธัญชนก วัชโรทัย
เมื่อเห็นช่องทางการตลาด และเข้าใจถึงความต้องการของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่อยากไปล่องกลางทะเลเพียงแค่วันเดียวแล้วกลับเข้าฝั่ง ดังนั้น ทั้งคู่จึงลงทุนด้วยเงินเพียง 2 ล้านบาทและร่วมกันเปิดบริษัทบลู โวยาจ ไทยแลนด์ ขึ้น เพื่อให้บริการเช่าเรือยอชต์ และให้บริการด้านไลฟ์สไตล์

แม้จะเป็นเรือขนาดไม่ใหญ่มากนักเพียง 20 ฟุต แต่ก็ให้บริการระดับพรีเมียมเต็มรูปแบบประหนึ่งโรงแรมกลางทะเล ที่มีให้พร้อมทั้งห้องนอน เครื่องปรับอากาศ บริการอาหาร และกัปตัน พาตระเวนไปตามเกาะแก่งต่างๆ ตามแต่ใจลูกค้า จนกลายเป็นธุรกิจครอบครัว ที่เน้นการบริการทางด้านไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรีครบวงจร มีตั้งแต่เรือยอชต์ให้เช่า ซื้อขาย บริหารจัดการ รวมไปถึงการสรรหาวิลลาส่วนตัว เครื่องบินส่วนตัว และลิมูซีน ไว้บริการลูกค้าที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบลักซ์ชัวรี
ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ
หลังจากที่เอาใจไลฟ์สไตล์เศรษฐีไทยไฮลักชัวรีด้วยการนำเข้ารถซูเปอร์คาร์สุดหรูให้ฟินกันถ้วนหน้าแล้ว ล่าสุด ดร.จุ๋ย-สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ผู้บริหารมาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น ก็หันมาทำธุรกิจเรือยอชต์สุดหรูบ้าง โดยได้นำเข้าเรือยอชต์แบรนด์ดังจากอิตาลี “อะซิมุท” (AZIMUT) ซึ่งนำเข้าและจำหน่ายเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศ โดยเอ็มจีซี มารีน (เอเชีย) บริษัทน้องใหม่ในเครือมาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชัน ซึ่งจับมือกับบริษัท อะซิมุท เบเนททิ ผู้ผลิตเรือยอชต์หรือเรือสำราญระดับโลก มีเครือข่ายให้บริการแก่ลูกค้าในท่าจอดเทียบเรือยอชต์กว่า 130 แห่งทั่วโลก

ดร.จุ๋ยเล่าถึงเหตุผลที่ขยายไลน์ธุรกิจจากรถหรูมาทำเรือยอชต์ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก มีอาหารไทยที่ขึ้นชื่อและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก และการท่องเที่ยวทางทะเลถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวที่สำคัญของอุตสาหกรรมนี้อีกประเภทหนึ่ง เพราะเมืองไทยมีความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล มีหมู่เกาะที่สวยงาม และมีท่าจอดเรือมาตรฐานสากลมากมาย ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวทางทะเล และส่งเสริมให้มีท่าจอดเรือยอชต์ ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงช่องทางการขยายธุรกิจ จึงได้นำเข้าและจัดจำหน่ายเรือยอชต์ อะซิมุท ขึ้น

พร้อมอวดอีกว่าได้ทุ่มทุนกว่า 300 ล้านบาท ซื้อเรือและก่อสร้างอะซิมุทเลานจ์ ซึ่งได้เปิดตัวแห่งแรกที่โอเชียน มารีนา ยอชต์คลับ พัทยา ไปแล้ว และมีแผนจะเปิดแห่งที่ 2 ที่ภูเก็ต เพื่อรองรับลูกค้าและให้บริการเรือยอชต์แบบครบวงจรอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีมหาเศรษฐีไทยจำนวนมากที่หลงรักในรสนิยมสุดหรูกลางทะเล และควักกระเป๋าครั้งละไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท เพื่อเป็นเจ้าของเรือยอชต์สุดหรูสักลำไว้ล่องกลางทะเลอย่างสำราญใจ เช่น คีรี กาญจนพาสน์, จรัญ เจียรวนนท์, จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี, กรณ์ ณรงค์เดช, สงกรานต์ อิสสระ และ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นต้น

เรียกว่าเป็นของสะสมชิ้นใหม่ของมหาเศรษฐีเมืองไทย ที่กำลังมาแรงแซงทุกโค้งที่แท้ทรู


กำลังโหลดความคิดเห็น