>>นอกจากจะมีใบหน้าหล่อเหลาบวกกับมาดนิ่งๆ คูลๆ เป็นอาวุธ ชวนให้สาวๆ ใจละลายแล้ว “ฟอร์ด-จารุเดช บุญญสิทธิ์” ลูกชายคนเล็กของคุณพ่อ “พล.ต.ต.พชร” และคุณแม่สุดเปรี้ยว “อมรสิริ” บรรณาธิการบริหารนิตยสาร นูเมโร ไทยแลนด์ (Numero) ยังเป็นตัวอย่างของคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าชื่นชม ทั้งเรียนดี กิจกรรมเด่น ไม่ได้ดูเนิร์ดสุดขั้วจนเข้าถึงยาก แต่มองการณ์ไกล และเชื่อมั่นในศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของมนุษย์
ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนจิตรลดา ฟอร์ดเป็นที่รู้จักในฐานะเซเลบริตีหนุ่มรักเรียน สามารถคว้าคะแนนแอดมิชชัน ปี 2556 อันดับหนึ่งจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาครองได้อย่างน่าชื่มชม จากเฟรชชีหนุ่มหล่อที่เลือกเรียนนิติศาสตร์ เพราะสนใจด้านกฎหมายเป็นทุนเดิม บวกกับแรงสนับสนุนจากครอบครัว ผ่านไป 5 ปีเขายิ่งค้นพบว่าเส้นทางที่เลือกนี้ไม่ผิดเลยจริงๆ
“คุณพ่อผมท่านเรียนมาทางนี้ คุณน้าผมอีก 2 ท่านก็ทำงานอยู่บริษัทกฎหมาย ส่วนคุณแม่ก็อยากให้ผมเรียนทางนี้เช่นกัน บวกกับตัวผมเองก็สนใจด้านการเมือง วิชากฎหมายอยู่แล้ว พอเข้ามาเรียนจริงๆ ก็ยิ่งอิน ถึงจะยากก็ตาม” ฟอร์ดบอกเล่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนถ่ายทอดถึงเบื้องหลังชีวิตนักศึกษานิติศาสตร์อย่างออกรส
“ตอนเรียนยอมรับว่าเหนื่อย เพราะด้วยสาขาวิชาที่ต้องอาศัยการท่องจำเยอะ ท่องได้แล้ว ยังต้องนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็น เวลาสอบทีผมต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นเดือน เพราะเนื้อหาที่ต้องอ่านเยอะ ช่วงปีแรกๆ ต้องปรับตัวเยอะมาก จากที่เคยอ่านหนังสือสอบแค่ 20-30 หน้า เข้ามาปี 1 ต้องอ่านวิชาละร้อยหน้า (ยิ้ม) พอขึ้นปี 2 จากที่เคยอ่านร้อยหน้าก็เพิ่มเป็น 200-300 หน้า และ 500 หน้าตอนปี 3 โชคดีที่ทุกอย่างค่อยๆ เพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเจอ 500 หน้าตั้งแต่วันแรกผมคงแย่ แต่ไม่เคยท้อนะเพราะผมเชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้ว เราต้องทำให้ได้”
แม้เส้นทางสู่การเป็นนักกฎหมายจะท้าทาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและพลังบวกที่มีอยู่ล้นตัว ทำให้หนุ่มสุดคูลก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนี้ได้อย่างสง่างาม
“ถึงสุดท้ายแล้วทุกคนจะจบมาด้วยดีกรีนิติศาสตร์บัณฑิตเหมือนกัน แต่ด้วยหลักสูตรของจุฬาฯ นั้น เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เลือกเรียกวิชาเอกที่สนใจได้ ซึ่งสาขายอดฮิตต้องหลีกทางให้กฎหมายธุรกิจ เพราะเรียนจบมาแล้วสามารถไปทำงานตามบริษัทกฎหมาย หรือถ้าใครเรียนพวกกฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต่อยอดไปทำงานในกระทรวงต่างประเทศ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เอ็นจีโอ องค์กรสิทธิมนุษยชน ถ้าเรียนกฎหมายแพ่งและอาญา ก็ใช้เป็นพื้นฐานไปสอบเนติบัณฑิต เป็นผู้พิพากษา อัยการ ส่วนสาขาสุดท้ายคือ กฎหมายมหาชน เป็นสาขาที่มีคนเรียนน้อยที่สุด มีแค่ 20% ที่เลือกเรียน ซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้น”
พูดถึง “กฎหมายมหาชน” หลายคนอาจนึกไม่ออก ฟอร์ดถือโอกาสนี้พาเพลินไปในโลกกฎหมายด้วยการอธิบายให้เห็นภาพตาม กฎหมายมหาชน ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง การคลัง เศรฐกิจมหาชน โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน หรือรัฐด้วยกันเอง
“ส่วนหนึ่งที่คนเลือกเรียนน้อย เพราะเป็นสายที่เรียนไปแล้วไปทำมาหากินไม่ค่อยได้ (หัวเราะ) อาจจะต้องไปสายวิชาการหรือไม่ก็รับราชการเลย แต่ที่ผมเลือกเพราะชั่งน้ำหนักจากความชอบส่วนตัว ผมสนใจติดตามข่าวการเมืองมาตลอด จำได้ว่าตอนผมอยู่ ป.6ตื่นมาโรงเรียนประกาศหยุดเพราะเกิดรัฐประหารปี 2550 เหตุการณ์ครั้งนั้นจุดประกายให้ผมรู้สึกว่า นอกจากกฎหมายที่อยู่รอบตัวเรา การเมืองเองก็เช่นกัน ผมเริ่มสนใจติดตามข่าวการเมืองมาตลอด จนมาเรียนกฎหมาย ก็เลือกเรียนกฎหมายมหาชน เพราะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐโดยตรง”
ฟอร์ดยังบอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย ที่ฉายให้เห็นถึงความหลงใหลในศาสตร์ของกฎหมายเข้าอย่างจังว่า การเรียนนิติศาสตร์ทำให้เขามองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมชัดเจนและรอบคอบยิ่งขึ้น ไม่หลงไปตามกระแสหรือคล้อยตามดรามาที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ นอกจากฟอร์ดจะหมั่นหาความรู้ในตำราและในห้องเรียน เพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเอง ฟอร์ดยังไม่ทิ้งโอกาสเรียนรู้นอกตำรา ด้วยการเลือกไปฝึกงานที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
“ช่วงก่อนขึ้นปี 4 ทุกคนต้องไปฝึกงาน เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ไปฝึกงานตามบริษัทกฎหมาย แต่ด้วยความที่ผมเรียนมาด้านกฎหมายมหาชน เลยเลือกไปฝึกงานที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีบทบาทเสมือนที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาล ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาจะประกอบด้วยหลายคณะ แต่ละคณะดูกฎหมายแต่ละเรื่อง ผมได้อยู่ในคณะที่มี อาจารย์มีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน ดูแลเรื่องการเมืองการปกครอง และคณะที่ดูแลเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน มีท่านวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน นับเป็นประสบการณ์นอกห้องเรียนที่หาไม่ได้ง่ายๆจริงๆ”
หลังจากเรียนจบจนคว้าใบปริญญามาครองได้สมใจ แรกเริ่มฟอร์ดตั้งใจตีเหล็กตอนร้อน เดินเครื่องเรียนต่อทันที แต่ด้วยจังหวะเวลาที่ไม่ลงตัว เลยทำให้ต้องยอมอดใจรอ 1 ปี โดยระหว่างเตรียมตัวสำหรับเรียนต่อปริญญาโท ด้วยความเป็นหนุ่มแอกทีฟ ฟอร์ดฉวยเวลานี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานอันล้ำค่า ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานของวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
“แผนการเรียนต่อโทของผมอาจจะซับซ้อนนิดหนึ่ง (หัวเราะ) ตอนแรกผมตั้งใจว่าเรียนจบตรีก็ไปต่อโทเลย แต่ด้วยจังหวะเวลาที่ไม่ลงตัว เพราะถ้าจะไปต่อโททันทีคือต้องเตรียมตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่ด้วยความที่เรียนหนักมาก สุดท้ายผมเลยตัดสินใจพัก 1 ปี แต่ปรากฏว่าพักได้แค่ 2 เดือนผมก็เริ่มเบื่อ เพราะเราเป็นคนแอกทีฟไม่อยากอยู่เฉยๆ เลยตัดสินใจรบกวนผู้ใหญ่ รวมทั้ง อ.ธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเคยเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย ช่วยฝากให้ไปทำงานกับท่านวิษณุ เครืองาม เพราะผมประทับใจท่านตั้งแต่ได้มีโอกาสเข้าคลาสวิชานิติตรรกศาสตร์ของท่านตอนปี 1 และยิ่งได้มีโอากาสไปฝึกงานในคณะของท่าน ยิ่งประทับใจในความเก่งของท่าน เวลาท่านตั้งคำถามอะไรนอกจากจะตรงประเด็นแล้ว ยังนำไปสู่คำตอบที่เป็นประโยชน์”
หลังจากลุ้นอยู่นานว่าฝันจะเป็นจริงหรือไม่ ในที่สุด ข่าวดีที่รอคอยก็มาถึง เขาได้เปิดประตูแห่งการเรียนรู้บานสำคัญอีกครั้ง
“ตอนแรกคิดว่าจะมาช่วยงานด้านกฎหมายท่าน แต่พอมาทำปรากฎว่าท่านให้ทำทุกอย่าง” (หัวเราะ) ไม่ใช่แค่งานที่เกี่ยวกับกฎหมาย แต่เป็นการบูรณาการความรู้ที่มี เช่น การบริหารจัดการเวลาที่แน่นเหลือเกินอย่างไรให้ลงตัว ฝึกการพูดจา เวลาต้องประสานงานติดต่อกับผู้ใหญ่ระดับอธิบดีกรม ปลัดกระทรวง รัฐมนตรี หรือถ้ากรณีต้องจัดประชุมเพื่อแก้ปัญหา ต้องคิดแล้วว่า จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องฝ่ายไหนบ้างมาร่วมประชุม แรกๆ ที่ไปทำก็ยังไม่รู้ครับ อาศัยได้พี่เลี้ยงดีคอยให้คำแนะนำ ยิ่งทำงานกับท่าน ยิ่งทำให้รู้ว่าท่านไม่ได้เก่งแค่กฎหมาย แต่เก่งทุกเรื่อง(หัวเราะ) ท่านเลยฝึกเราทุกเรื่อง”
ในระหว่างที่สั่งสมประสบการณ์การทำงาน ที่เรียกว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมนี้ ฟอร์ดไม่เคยลืมความฝันที่จะเรียนต่อ หนุ่มน้อยใช้เวลาหลังเลิกงาน เตรียมตัวเรียนต่อ จนในที่สุดก็สมหวังเกินที่ตั้งใจ เพราะ 1 ปีจากนี้เขาไม่ได้มีเป้าหมายคว้าปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของโลกกลับมา แต่กำลังทำสิ่งที่เกินคาด ด้วยการคว้าปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาภายใน 1 ปี
“ตอนนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะเป็นอย่างนั้นครับ คือเรียนปริญญาโทพร้อมกัน 2 มหาวิทยาลัย ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตอนนี้กำลังดูว่าตารางเรียนจะทับซ้อนกันมั้ย เหตุผลที่ตัดสินใจแบบนี้ เพราะตอนแรกผมยื่นใบสมัครไปที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกาก่อน ปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยตอบรับ พร้อมให้ทุนเรียนครึ่งหนึ่งก็จริง แต่ผมยังไม่ตกลงปลงใจเพราะใจจริงผมอยากโฟกัสด้านกฎหมายมหาชนต่อ แต่ที่มหาวิทยาลัยนี้เน้นกฎหมายธุรกิจมากกว่า หลังจากนั้น ผมลองไปยื่นใบสมัครที่มหาวิทยาลัยลอนดอน (ยูซีแอล) ปรากฏว่าได้”
เมื่อถึงเวลาต้องเลือกฟอร์ดเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง สุดท้ายเลยเลือกเก็บไว้ทั้งสองแห่ง เพราะที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ มาพร้อมข้อเสนอพิเศษคือการเรียนแบบProfessional track ซึ่งออกแบบมาสำหรับคนทำงานที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาเรียน จึงพัฒนาหลักสูตรที่เร่งรัด หน่วยกิตเท่าเดิม แต่ใช้เวลาเรียนสั้นกว่า
“พอรู้ว่ามีโปรแกรมนี้ ผมเกิดไอเดียว่า ถ้าที่อเมริกาเรียนช่วงซัมเมอร์คือ เรียน เม.ย.-ส.ค. แต่อังกฤษเปิดเทอม ก.ย.-เม.ย. ผมก็สามารถเรียนสองมหาวิทยาลัยพร้อมกัน ใช้เวลาปีเดียวผมก็ได้ปริญญาโท 2 ใบ ตอนแรกผมก็ลังเลนะครับ แต่เพราะได้แรงบันดาลใจจาก รองศาสตราจารย์ นพ. รณภพ ปัทมะดิษ พี่เลี้ยงที่เคารพตอนทำงานอยู่กับท่านวิษณุชี้แนะว่า ‘จงทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ และคนอื่นคาดไม่ถึงว่าเราจะทำ’ ผมเลยคิดว่าจะไปทางนี้ ถึงจะเหนื่อยมาก แต่อย่างที่บอกผมเชื่อในความสามารถของมนุษย์ ถ้าตั้งใจแล้วทำได้แน่นอน ไม่มีทางทำไม่ได้ ที่จะกังวลบ้างคือ ผมมีความรู้กฎหมายธุรกิจแค่พื้นฐานจริงๆ ถ้าจะไปต่อโทอาจต้องอ่านหนังสือหนักๆ หน่อย ดังนั้น พอรู้แผนการเรียนแน่ชัดแล้ว ผมเลยถือโอกาสลางานกับท่านวิษณุ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม”
ฟอร์ดยังจำความประทับใจไม่รู้ลืมตอนที่ไปลางานได้ว่า “วันที่ไปลา ท่านยังแซวว่าจากนี้ต้องปวดหัวไปหาคนมาแทนผมแน่ แถมยังหยอกว่า ต้องหาหลายคนกว่าจะเท่าผมคนเดียว (ยิ้ม) ท่านยังให้กำลังใจว่า ไปเรียนกลับมาแล้วหวังว่าจะได้กลับมาทำงานด้วยกันอีก กลับมาทำอะไรให้ประเทศชาติ”
ชวนคุยเรื่องหนักๆ มีสาระมาพักใหญ่ ได้เวลาให้ฟอร์ดได้ผ่อนคลาย โชว์มุมใสๆ แบบวัยรุ่นออกมาให้เห็นกันบ้าง งานนี้ ฟอร์ดไม่รอช้า เผยถึงไลฟสไตล์โปรดที่ฉีกภาพหนุ่มเนิร์ด นักกฎหมายออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ทุกวันเสาร์ ผมจะไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน ไปแฮงก์เอาต์ นั่งดูบอล เล่นดนตรี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เล่นกับวงที่จิตรลดาแล้ว เพราะพอเริ่มโตก็เริ่มห่างหายกันไป ส่วนใหญ่ถ้าเล่นกีตาร์ เปียโน ร้องเพลง ผมซ้อมคนเดียวที่บ้าน หรือบางครั้งก็ใช้แอพฯ smule เป็นคาราโอเกะส่วนตัว บางครั้งก็ไปร่วมจอยกับคนอื่น หรือศิลปินในดวงใจ ก็เพลินดีครับ นอกนั้นวันว่างๆ ของผมก็หมดไปกับการดูหนัง ดูซีรีย์”
ใช้ชีวิตครบรสทุกด้านแบบนี้ อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วสเตตัสหัวใจของหนุ่มหล่อ โปรไฟล์เริ่ดเป็นอย่างไร เจอคำถามตรงๆ แบบนี้ ฟอร์ดเลยถือโอกาสเคลียร์ชัดเลยว่า ถ้าเป็นตัวเป็นตนยังไม่มีเหมือนเดิม “แต่ถ้าถามถึงสเปกสาวที่ชอบ ผมลองดูจากแฟนเก่าของผมก็ไม่เหมือนกันสักคน ผมเลยคิดว่าตัวเองคงไม่มีสเปกว่าต้องรูปลักษณ์ภายนอกแบบไหน แต่อย่างน้อยก็ต้องดูดีหน่อย (ยิ้ม) แต่ชอบเป็นพิเศษคือ ผู้หญิงสดใส อยู่ด้วยแล้วรู้สึกมีพลัง เพราะบางครั้งเราเหนื่อยหรือท้อ ก็อยากมีคนที่จะดึงเรากลับขึ้นมา”