เมื่ออายุมากขึ้นใบหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยผิวหนังจะมีรอยย่น ร่องแก้มลึกขึ้น และกระพุ้งแก้มจะห้อยต่ำลง ทำให้ใบหน้าดูไม่เต่งดึงเหมือนที่ผ่านมา เชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงกำลังหาวิธีที่จะต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อให้ได้ใบหน้าอันดูอ่อนเยาว์กลับมา หรือชะลอวัยให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมากที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหารอยเหี่ยวย่นต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด เกี่ยวกับวิวัฒนาการทางการแพทย์และเทคนิคการดึงหน้าแบบใหม่ ที่ช่วยให้ “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว เป็นธรรมชาติ” มาฝาก เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งกันค่ะ
การดึงหน้า (Face Lift) คืออะไร
การดึงหน้า เป็นการตัดหนังที่เหยี่ยวย่นออกบางส่วน เพื่อให้หนังตึงขึ้น ซึ่งผิวหนังที่เหยี่ยวย่นนั้นเกิดจากอายุที่มากขึ้น กรรมพันธุ์หรือสภาพแวดล้อม แตกต่างกันไปตามเนื้อเยื่อและการดูแลผิวพรรณของแต่ละคน ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของผิวเมื่อมีอายุจะต่างกันแล้วแต่ขึ้นกับเนื้อเยื่อและการดูแลผิวพรรณของแต่ละคนด้วย ใบหน้าก็เช่นกันจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ดูอายุมากขึ้นโดยทั่วไป คือ การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง จะเกิดรอยย่น เกิดการหย่อนยานของผิวหนังและเกิดจุดด่างดำขึ้นที่ใบหน้า และการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง โดยเนื้อบริเวณแก้มจะเคลื่อนลงล่างทำให้ร่องแก้มชิดขึ้น เกิดการหย่อนของเนื้อเยื่อใต้กราม และการหย่อนของกล้ามเนื้อที่คอ ซึ่งการแก้ปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อยปัจจุบันมีอยู่หลายวิธี ซึ่งวิธีการดึงหน้า (Face Lift) จะเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวร คืออยู่ได้นาน 5-10 ปี และสามารถลดอายุได้เป็น 10-20 ปีเลยทีเดียว
เทคโนโลยีและวิวัฒนาการผ่าตัดดึงหน้าชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง SMAS (SUPERFICIAL MUSCULO-APONEUROTIC SUSTEM)
ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมากครับ สมัยก่อนการดึงหน้านั้นถือเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างยุ่งยาก และใช้เวลาในการพักฟื้นนาน อีกทั้งแผลหลังผ่าตัดค่อนข้างใหญ่และเห็นชัด ซึ่งโดยทั่วไปนั้นผิวหนังของคนเราจะมี 5 ชั้น เมื่อก่อนจะดึงหน้าแค่ชั้นผิวหนัง 1 หรือ 2 แต่ในปัจจุบันนี้เราสามารถดึงที่ชั้น 3 คือชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังได้ เรียกวิธีการนี้ว่า
SMAS (SUPERFICIAL MUSCULO-APONEUROTIC SUSTEM) เป็นการดึงหน้าที่เหมาะกับใบหน้าของชาวเอเชีย (ORIENTAL FACE) ซึ่งวิธีนี้จะดีกว่าการดึงหน้าแบบทั่วไป ก็คือ ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นและผลลัพธ์อยู่ได้ถาวรมากขึ้นด้วย อีกทั้งการเย็บแผลสามารถทำได้เล็กมาก ซ่อนรอยเย็บไว้ตามบริเวณไรผม ในหู หลังใบหู สามารถฉีดยาชาเฉพาะจุดแทนการวางยาสลบในการผ่าตัดได้ ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยเพียง 2-3 ชม. เกิดแผลบวมช้ำน้อย ระยะเวลาพักฟื้นเพียง 1 วัน ก็สามารถกลับบ้านได้แล้วครับ
การดึงหน้าสามารถทำส่วนไหนได้บ้าง
ใบหน้าของคนเราแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ โดยการดึงหน้าสามารถแบ่งได้ดังนี้
1.ใบหน้าส่วนบน - หน้าผาก สามารถดึงหน้าโดยการเจาะส่องกล้องเป็นรูเล็กๆ หรือผ่าตัดเป็นแนวยาวและซ่อนแผลที่เย็บไว้ตามไรผม
2.ด้านข้างส่วนบน-บริเวณหางตา (Temporal Lift) เป็นการดึงยกกระชับบริเวณหางตา รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นต่างๆ วิธีเดิมจะใช้วิธีดึงตามแนวหน้าหู แต่วิธีใหม่จะดึงแผลให้ถูกเก็บไว้ที่ไรผมด้านข้างทำให้แผลเล็กและหายเร็วขึ้น
3.ด้านข้างส่วนบน - ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก (Marionette Line) สองส่วนนี้จะเก็บรวมกับบริเวณหน้าหู ซึ่งวิธีใหม่สามารถซ่อนแผลไว้ในบริเวณใบหู ซ่อนแผลได้เป็นอย่างดี
4. ส่วนลำคอ - แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่บริเวณหลังใบหู
การผ่าตัดดึงหน้าซ้ำทำได้หรือไม่
การผ่าตัดดึงหน้าซ้ำสามารถทำได้ครับ โดยทั่วไปสามารถกลับมาทำใหม่ได้หลังจากการผ่าตัดดึงหน้าครั้งแรกประมาณ 5 ปี การผ่าตัดดึงหน้าครั้งที่สองมักเป็นผู้ที่มีอายุมาก ดังนั้นก่อนผ่าตัด ต้องเตรียมตัวมากกว่าปกติ โดยผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวาน หรือเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จะต้องคุมโรคเหล่านี้ให้ดีก่อนผ่าตัด การผ่าตัดดึงหน้าครั้งที่สองจะมีแผลที่เดิมที่เคยผ่าตัดครั้งแรก แต่ในรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง โดยการผ่าตัดจะยากกว่าครั้งแรก เนื่องจากมีพังผืดเกิดขึ้น หลังการผ่าตัดครั้งแรก และชั้นของไขมันที่ใบหน้าจะบางลง โดยเฉพาะการผ่าตัดดึงหน้าครั้งที่สองภายใน 1 ปีไปแล้ว
การเตรียมตัวก่อน-หลังผ่าตัด
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดให้คนไข้สระผมตอนเช้าก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ผู้ที่มีความดันสูงต้องควบคุมให้ปกติก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์ งดสูบบุหรี่ และงดยาแอสไพริน 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด สำหรับผู้ที่จะวางยาสลบต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หลังผ่าตัดให้นอนยกศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวม ห้ามโดนน้ำ 48 ชม. หลังการผ่าตัด สามารถสระผมได้หลังผ่าตัดแล้ว 2 วัน และสามารถตัดไหมในวันที่ 5-7 หลังจากผ่าตัด
ปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เทคนิคในการทำศัลยกรรมต่างๆ จึงมีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์นั้นๆ ทั้งนี้ควรมีการศึกษารายละเอียดต่างๆ รวมถึงคำนึงถึงความปลอดภัยของสถานบริการ โรงพยาบาล และคลินิกนั้นๆ ด้วย และควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด