เป็นที่ประจักษ์แก่คนไทยและคนทั้งโลกว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้จึงมีพสกนิกรชาวไทยจำนวนมาก ยินดีและพร้อมที่จะถวายงานเพื่อแบ่งเบาภาระของพระองค์ และนี่คือ 3 เซเลบริตีที่ได้เคยเข้าเฝ้าและถวายงานแด่พระองค์ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจในชีวิต
หนึ่ง-สุริยน “เป็นสิริมงคลแก่บิวตี้เจมส์”
นักธุรกิจหนุ่มคนดัง หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวตี้ เจมส์ จำกัด ผู้สร้างปรากฏการณ์ในแวดวงเครื่องเพชร-อัญมณีไทย ให้ดังเปรี้ยงปร้างหลายต่อหลายครั้ง บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจเมื่อครั้งมีโอกาสถวายงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พ่อหลวงในดวงใจชาวไทยทั้งโลก โดยย้อนกลับไปเมื่อ 17-18 ปีก่อนว่า ตอนนั้นเครื่องทรงพระมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เริ่มชำรุด กรมธนารักษ์ผู้รับผิดชอบในการดูแลรักษาเครื่องทรง จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการสร้างเครื่องทรงถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรทั้ง 3 ฤดู อย่างละสำรับ
การสร้างครั้งนั้น กรมธนารักษ์ กราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานที่ปรึกษา และให้ สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ ดำเนินการหาผู้ผลิต โดย “บิวตี้เจมส์” ได้ทำหน้าที่จัดสร้างเครื่องทรงทั้ง 3 ฤดูใหม่แทนเครื่องทรงชุดเดิม “ตอนนั้นผมเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกพอดี คุณพ่อก็มอบหมายให้ผมรับผิดชอบเรื่องการผลิต การวางตำแหน่งพลอยในเครื่องทรงพระแก้วมรกตทั้ง 3 ฤดู จึงถือเป็นเรื่องที่ประทับใจมากครับ เมื่อได้ถวายเครื่องทรงใหม่ ท่านก็ทรงพอพระทัย ทรงตรัสชมทีมงาน ถือเป็นสิริมงคลสูงสุดในชีวิตของช่าง และเป็นสิริมงคลของวงการอุตสาหกรรมอัญมณัไทย”
สุริยน ยังเล่าถึงความละเอียดรอบคอบของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในยามที่ทรงงานว่า หลังเครื่องทรงใหม่เสร็จแล้ว ก็มีพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงด้วยพระองค์เอง
“ตอนที่พระองค์ท่านทรงสวมมงกุฎ หรือ ชฏา เรียกอะไรผมไม่แน่ใจนะครับ บนพระเศียรพระแก้วมรกต ตอนสวมจะมีกรวยให้หมุนสกูลกันหลุด พระองค์ท่านตั้งพระทัยหมุนให้สุด แต่หมุนอย่างไรก็ไม่สุด “ท่านจึงรับสั่งว่า มันหลวมนะ เกรงว่าจะหลุด” ทางคณะผู้จัดสร้างจึงทูลชี้แจงว่า ตั้งใจทำให้ฟรี เพราะว่าถ้าเป็นสกูลและหมุนสุดก็เกรงว่าจะไขออกได้ง่าย กลัวจะหาย พระองค์ก็เข้าใจ ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงละเอียดมาก จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมสังเกตเห็นหลายคนที่มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่าน ก็จะมีเรื่องเล่าในลักษณะเดียวกัน”
อีกเหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจให้นักธุรกิจหนุ่มคนนี้คือ เมื่อปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี เขามีโอกาสได้ร่วมจัดทำปกหนังสือทองคำใต้ร่มบาทราษฎร์ปีติ “ผมได้มีโอกาสรับผิดชอบทำในส่วนของพระปรมาภิไธยย่อ และตราสัญญลักษณ์ ฝังเพชร ฝังพลอย และบุษราคัมแท้ทั้งหมด ลงบนพระปรมาภิไธย ซึ่งผมถือเป็นสิริมงคลครั้งที่ 2 ของชีวิต และถือเป็นสิริมงคลของบิวตี้เจมส์ โดยคุณพ่อที่ได้มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่าน” สุริยนกล่าวทิ้งท้าย
หนิง-ศรัยฉัตร ที่สุดในอาชีพพิธีกรต่อหน้าพระพักตร์
หนิง-ศรัยฉัตร กุญชร จีระแพทย์ เล่าประสบการณ์การทำงานต่อหน้าพระพักตร์ ในการเป็นพิธีกรงานคอนเสิร์ต ศิริราชเทอดไท้องค์อัครศิลปิน เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553 โดย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จทอดพระเนตรคอนเสิร์ตเป็นครั้งแรก หลังจากที่พระองค์ได้ประทับรักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นเวลา 1 ปี 9 วัน
“ก่อนหน้าจะมีงานคอนเสิร์ต เราก็คิดว่าท่านจะเสด็จมาไหม เพราะพระองค์ยังประชวรอยู่ จนพอได้ทราบว่ากำหนดการไม่เปลี่ยนแปลง ก็รู้สึกตื่นเต้นและปลาบปลื้มใจมาก ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อพระองค์เสด็จมาถึง หัวใจนี่เต้นแทบจะทะลุออกจากอก เพราะเราต้องออกมาแนะนำตัว และแนะนำเพลงที่จัดแสดงทุกๆ 3 เพลง ตลอด 19 เพลงในคอนเสิร์ต แต่ด้วยพระบารมีของพระองค์ ทำให้เรารู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งในขณะที่คอนเสิร์ตกำลังจัดแสดงนั้น ผู้ชมจะไม่เห็นพระองค์ เพราะท่านประทับอยู่ชั้นบนสุด มีแต่นักดนตรีและพิธีกรบนเวทีเท่านั้นที่ได้เห็น ทางทีมงานแจ้งว่า หากพระองค์เสด็จกลับก็ให้ดำเนินรายการตามปกติ เราก็คิดว่าแค่เพียงได้ทำงานต่อหน้าพระพักตร์ในเวลาอันน้อยนิด ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น และเป็นสิริมลคลแก่ตัวเองและครอบครัวที่สุดแล้ว แต่กลายเป็นว่า ท่านทรงทอดพระเนตรจนจบ 19 เพลง ยิ่ง 3 เพลงสุดท้ายที่พอรู้ว่าท่านจะต้องเสด็จกลับ เสียงเราเริ่มสั่น น้ำตาไหล เพราะไม่อยากแนะนำเพลง ไม่อยากให้จบ ไม่อยากให้ท่านเสด็จกลับ”
หนิงกล่าวว่า วันนั้นคิดว่า ถ้าจากนี้ตัวเองไม่ได้ทำงานอีกก็ไม่เป็นไร เพราะนี่คือจุดสูงสุดของอาชีพการเป็นพิธีกรของตัวเองแล้ว
น้อยหน่า-เพ็ญสุภา “ในหลวงมีบุญคุณกับต้นตระกูลเรา”
น้อยหน่า-เพ็ญสุภา คชเสนี เผยความประทับใจของต้นตระกูลที่ได้มีโอกาสถวายงานต่อในหลวง รัชกาลที่ 9 ว่า
“ปกติครอบครัวของเราตั้งแต่สมัยของคุณตา (จอมพลถนอม กิตติขจร) และคุณยาย (ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร) นั้น เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทั้งวันที่ 5 ธันวาคม และวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี คุณตาและคุณยายจะพาลูกหลานไปเข้าเฝ้า เพื่อถวายของขวัญแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทันทีที่ถวายของขวัญ ในหลวงจะทรงเขย่าซองของขวัญ และเมื่อมีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังมาจากภายในซอง พระองค์ท่านจะทราบในทันทีว่า ของในซองนี้เป็นของ “จอมพลถนอม กิตติขจร” แน่นอน เพราะคุณตาและคุณยายชอบใส่ซองให้มีเศษเหรียญ 9 บาทอยู่เสมอ”
สำหรับบรรยากาศในการเข้าเฝ้าในหลวง หน่า-เพ็ญสุภา เล่าต่อว่า พระองค์จะตรัสให้ทุกคนขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้า ขอนั่งกับพื้นดูจะเหมาะสมกว่า และด้วยความที่เราเป็นเด็ก เราก็จะนั่งฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน และไม่ลืมที่ผู้ใหญ่เคยสอนก่อนจะเข้าเฝ้าว่า ห้ามสบตากับในหลวง แต่เราก็แอบสบตาพระองค์ท่านเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่เข้าเฝ้าจะตั้งใจฟังคำสอนของในหลวง ส่วนใหญ่พระองค์ท่านจะสอนให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง และให้ดูบรรพบุรุษเป็นตัวอย่าง
นอกจากนี้ ตอนที่คุณตา (จอมพลถนอม) ป่วย ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพนานถึง 6 เดือน ก่อนถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระเมตตาพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้เป็นค่ารักษาคุณตา “ในหลวงจึงมีบุญคุณต่อต้นตระกูลของเราเป็นอย่างมาก”
น้อยหน่า กล่าวปิดท้ายว่า “ที่บ้านตั้งเเต่เล็กจนโต ทุกคนได้รับการสั่งสอนว่าเราเป็นข้าของในหลวง เราโชคดีที่เกิดทัน ได้ทันเห็นพระองค์ท่านเสด็จไปที่ต่างๆ ช่วยเหลือผู้คน ในขณะที่เด็กๆ สมัยนี้ จะเห็นในสารคดี เเต่ก็ยังดีใจที่เเม้จะเกิดไม่ทัน เด็กๆ รุ่นหลังๆ รวมถึงลูกสาวของเราเอง ก็ยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และทราบว่าพระองค์ท่านได้ทรงทำอะไรให้คนไทยมากมาย และที่บ้านเราตั้งใจกันไว้เเล้วว่า จะเเต่งชุดดำถวายพระองค์ท่านเป็นเวลา 1 ปีค่ะ”