>>ยากกว่าคำว่า “ทำไม่ได้” คือการที่ไม่รู้ว่าตัวเอง “รักที่จะทำอะไร” หลายครั้งที่คนเราต้องเสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองรักและอยากจะเดิมพันสักตั้งเพื่อเดินไปให้สุดทางฝัน โชคดีที่สองสาวเจเนอเรชันที่ 4 แห่งบิวตี้เจมส์ (Beauty Gems) “แพม-สิริน” และ “แพรว-บุญญาพร ศรีอรทัยกุล” ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ “สุรสิทธิ์-สุรางค์ ศรีอรทัยกุล” ไม่ต้องเฝ้าค้นหาคำตอบนี้ให้กับชีวิต เพราะทั้งคู่แม้จะยังเป็นสาวน้อยวัยใสที่อายุไม่ถึง 20 ปี แต่ก็มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนแล้วว่า วันหนึ่งพวกเธอจะนำความรู้ความสามารถที่มีทั้งหมดมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มกำลัง
อะไรคือเบื้องหลังแรงผลักดันอันแรงกล้า ที่ทำให้เด็กสาวคลื่นรุ่นใหม่ ไม่คิดจะแตกแถวจากธุรกิจครอบครัว สองสาวแห่งบ้านศรีอรทัยกุลมีคำตอบรออยู่ในใจอยู่แล้ว
สถานที่นัดพบกับสองสาวในวันนี้ คือ บิวตี้เจมส์ เซ็นเตอร์ ยังไม่ถึงเวลานัดหมายดี สองสาวแห่งบ้านบิวตี้เจมส์ก็ปรากฏตัวขึ้นในลุคคุณหนูแสนหวาน หลังจากสวมบทนางแบบจำเป็นให้ช่างภาพกดชัตเตอร์จนพอใจ ก็ถึงเวลาให้เราได้ทำความรู้จักกับทายาทสาวสวยแห่งบ้านศรีอรทัยกุลแบบเอ็กซ์คลูซีฟชนิดที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
“ตอนนี้แพมเรียนอยู่ปี 1 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (ภาคภาษาอังกฤษ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เลือกเรียนคณะนี้เพราะแพมสนใจด้านธุรกิจ ตั้งใจจะเรียนสาขาบัญชี-บริหาร แพมอยากเป็นนักธุรกิจหญิงเหมือนคุณย่า (ดร.สุณี) และคุณแม่ ซึ่งธุรกิจที่อยากทำคงหนีไม่พ้นการเข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจจิวเวลรีของครอบครัว เพราะเราคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมากับธุรกิจนี้ ซึ่งหลังจากเรียนจบปริญญาตรี แพมตั้งใจจะไปเรียนต่อที่ GIA (Gemological Institute of America) ซึ่งเป็นสถาบันด้านอัญมณีศาสตร์ ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาชิมลางทำงานสักพัก เพื่อถือโอกาสค้นหาสิ่งที่ตัวเองสนใจสำหรับต่อยอดในระดับปริญญาโท” แพม หลานสาวคนโตของบ้านบิวตี้เจมส์ เริ่มต้นแนะนำตัวเอง
ขณะที่ฟากน้องสาวอย่าวแพรวบอกว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างรอผลการสมัครมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาซึ่งแพรวหมายมั่นที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเปปเปอร์ดาย รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับคุณพ่อ และคุณอา (หนึ่ง-สุริยน) แพรวบอกว่าที่เลือกไปเรียนต่างประเทศ เพราะอยากไปเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ต่างกับพี่สาว ซึ่งออกตัวไว้แต่ต้นว่า ที่บ้านไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนที่ไหน แต่เธอเลือกที่จะเรียนต่อในเมืองไทย เพราะรักและชอบสังคมเมืองไทย ที่สำคัญคือที่นี่ให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านที่แท้จริง
“นอกจากด้านธุรกิจ แพรวยังสนใจด้านงานดีไซน์ ส่วนตัวชอบอาร์ต ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนไฮสคูลก็เคยมีโอกาสนำผลงานไปจัดแสดงที่นิทรรศการของโรงเรียน เพราะฉะนั้นแพรวตั้งใจว่า ถ้าเรียนจบปริญญาตรีเมื่อไหร่ จะถือโอกาสเทกคอร์สด้านดีไซน์จิลเวลรีก่อน ค่อยกลับมาเรียน GIA ที่เมืองไทย ซึ่งหนึ่งในความฝันของแพรวคือ วันหนึ่งได้มีผลงานออกแบบจิวเวลรีของตัวเอง”
ถามว่าทำไมทั้งคู่ถึงมีเป้าหมายแน่วแน่ว่าอยากจะกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว หรือนี่คือสูตรสำเร็จของครอบครัวศรีอรทัยกุล แพมบอกเล่าด้วยแววตามุ่งมั่นว่า เพราะพวกเราเติบโตมากับธุรกิจนี้ ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของทุกคนในครอบครัวที่มีต่อธุรกิจนี้ เราเองในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว จึงคิดเสมอว่าถ้าวันหนึ่งสามารถมีส่วนช่วยได้ เราก็อยากจะช่วย
“บ้านเราเองก็ไม่ได้มีสมาชิกในครอบครัวมากมาย อย่างเจเนอเรชันที่ 4 อย่างพวกเราก็มีกัน 4 คน (ลูกชายของอาหนึ่งอีก 2 คน) ในฐานะที่แพมเป็นหลานคนโต ก็อยากเข้ามาช่วยแบ่งเบา ตัวแพมเองตั้งแต่เด็กก็ได้มีโอกาสติดตามคุณย่าและคุณแม่มาที่ออฟฟิศค่อนข้างบ่อย ขณะที่แพรวจะเป็นขาลุยชอบตามคุณปู่และคุณพ่อเข้าไปที่โรงงาน”
ฝ่ายแพรวเมื่อถูกพี่สาวพาดพิงถึงเลยขอถือโอกาสขยายความว่า ที่ชอบตามคุณปู่และคุณพ่อไปโรงงานที่ศาลายา เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ว่าชอบด้านศิลปะเป็นทุนเดิม เพราะฉะนั้นเวลาไปโรงงานเด็กน้อยผู้หลงใหลในโลกของศิลปะจะได้เห็นกรรมวิธีการดีไซน์ และทำเครื่องประดับจริงๆ
“สิ่งที่แพรวได้เรียนรู้จากคุณปู่และคุณพ่อเวลาติดตามท่านไปที่โรงงาน คือ คุณพ่อจะสอนเสมอว่า ไม่ว่าจะทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด การจะเลือกทำอะไร ต้องเลือกทำในสิ่งที่เรารัก เพราะจะทำให้ผลของงานออกมาดี ที่สำคัญอย่าเครียด”
ฟังบทเรียนที่แพรวได้รับจากการออกสนามภาคปฏิบัติแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วสายบริหารอย่างแพมได้เรียนรู้และซึมซับคำสอนอะไรจากคุณย่า และคุณแม่บ้าง งานนี้แพมเฉลยคำตอบให้แบบหมดเปลือกว่า คุณย่าสอนเสมอว่าคนเราสำคัญต้องมีความซื่อสัตย์ และตั้งใจในงานที่ทำ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ สุดท้ายจะส่งผลกลับมาหาตัวเราทั้งสิ้น ซึ่งคำสอนนี้แพมเก็บไว้ในใจเสมอ และนำมาปรับใช้ได้ตั้งแต่ตอนเรียน ไม่ต้องรอถึงทำงาน เพราะทุกวันนี้แพมก็พยายามตั้งใจเรียน ที่บ้านไม่ได้กดดันว่าต้องได้เกรดเท่าไหร่ แต่เราก็ต้องพยายามเรียนให้ดี เพราะสุดท้ายวิชาความรู้ก็อยู่ที่ตัวเรา”
และแน่นอนว่า แม้ความตั้งใจของสองสาวจะมีล้นปรี่ แต่โลกธุรกิจอาจไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด สำหรับเรื่องนี้ สองสาวทายาทบิวตี้เจมส์รู้ดี และเตือนตัวเองอยู่เสมอ
“ถามว่ากลัวไหม? กลัวนะ เพราะเราเองก็ยังเด็ก ถึงเราจะเติบโตมากับธุรกิจนี้ แต่วันนี้ต้องก้าวเข้ามาทำงานจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี แต่เราก็ตั้งใจว่าต้องทำอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาธุรกิจที่คุณปู่คุณย่าสร้างมา” แพรว สาวน้อยวัย 18 ปี อดหวั่นวิตกกับภารกิจที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้
เช่นเดียวกับแพมที่มองว่า ภารกิจที่รออยู่นั้นท้าทายไม่น้อย สำหรับการเข้ามาบริหารงานในฐานะรุ่นที่ 4 แพมบอกว่า แม้ตอนนี้ธุรกิจจะอยู่ตัว เธอเองก็เติบโตมาในช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย ซึ่งความสบายที่ได้เห็นมาแต่เด็กนี้เอง ทำให้เธอบอกตัวเองว่ายิ่งต้องทำงานหนัก เพื่อเตรียมตัวพร้อมเสมอสำหรับรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
“เราไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับเรื่องยากๆ เพราะฉะนั้นเรายิ่งต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง โดยส่วนตัว แพมมองว่า ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาบริหารธุรกิจเราไม่จำเป็นต้องคิดแต่จะเข้ามาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงของเดิมในบริษัท เพราะถ้าบริษัทเราดีอยู่แล้ว เราแค่รักษามาตรฐานและคุณภาพนั้นไว้ให้ได้ก็เพียงพอ บางคนบอกว่าต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ แต่สำหรับแพม คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ หรือ เกินกว่าที่มี แค่ทำให้ดีที่สุด ทำให้ธุรกิจของเราที่มีมากว่า 50 ปีคงอยู่อย่างสง่างาม แค่นี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”
อย่างไรก็ตาม สองสาวที่มุมมองไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า แทนที่จะกังวลกับเหตุการณ์อนาคตที่ยังมาไม่ถึง พวกเธอถือตามคำสอนของคุณย่าที่บอกว่า อย่าเพิ่งเครียดกับการทำธุรกิจคนเราสำคัญคือ ทำหน้าที่ตามบทบาทของตัวเองในวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะอนาคตในวันข้างหน้าเกิดจากผลแห่งการกระทำในวันนี้ทั้งสิ้น
ชวนคุยนอกรอบกับพี่น้องต่างสไตล์
ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ทำให้แพมและแพรวเป็นพี่น้องซี้ปึ้กแบบไม่ต้องสงสัย แต่ระหว่างคำว่าพี่น้อง เธอทั้งสองกลับออกปากแบบเดียวกันว่า “เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย”
เริ่มจากฝั่งของแพม ให้คำนิยามน้องสาวว่า “เป็นสาวซ่า ออกแนวฝรั่งๆ ตั้งแต่เด็กเขาจะแสบมาก ทั้งคิ้วทั้งคางเล่นซนจนแตกมาแล้ว แถมคุณแม่ยังเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ ไม่รู้ว่าแพรวเกิดมันเขี้ยวหรืออะไรกัดเข้าที่หลังแพมเลย (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นเรายังเด็กทั้งคู่ก็จำไม่ได้นะคะ อีกอย่างที่เราต่างกันมาก คือ แพรวชอบเล่นกีฬามาก ขณะที่แพมไม่เลย”
ขณะที่แพรวให้คำจำกัดความพี่สาวว่า “เป็นสาวหวานขาลุย ที่บอกว่าหวานเพราะแพมจะมีชุดเดรสสไตล์สาวหวานเยอะมาก อย่างชุดที่ใส่มาวันนี้ ก็ต้องขอยืมจากแพม ขณะเดียวกันแพมก็ลุยมาก เพราะตอนที่ต้องไปเข้าค่าย “Community Service” ที่อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางไปค่อนข้างลำบาก ทั้งต่อรถเดินขึ้นเขาหลายชั่วโมง แพรวไปมาปีหนึ่งก็รู้เลยว่าไม่ง่าย แต่แพมไปมาหลายครั้งมาก เพราะฉะนั้นถ้าเขาไม่ลุยไม่อึดจริงคงทำไม่ได้ :: Text by FLASH