ถูกบ่มเพาะให้เอื้อเฟื้อกับคนรอบข้างมาแต่เล็กแต่น้อย จนซึมซับติดเป็นนิสัย เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มเห็นเพื่อนมนุษย์ลำบาก น้องพูม-ภานุกร ศรีอรทัยกุล ทายาทรุ่นสามแห่งบิวตี้เจมส์ ก็ไม่เคยรีรอที่จะให้ความช่วยเหลือ ล่าสุด เขาปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนในฐานะผู้ให้ ด้วยการจัดกิจกรรมแข่งกอล์ฟการกุศล "Golf for School" (กอล์ฟ ฟอร์ สคูล) หารายได้สบทบทุนการศึกษาให้นักเรียนผู้ด้อยโอกาส นับเป็นก้าวแรกของการเปิดตัวเพื่อสังคมอย่างเป็นทางการ
หลังพิธีมอบทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนด้อยโอกาสเสร็จสิ้นแล้ว น้องพูม-ภานุกร ลูกชายคนโตของ หนึ่ง-สุริยน กับ เมก้า และหลานปู่พรสิทธิ์ ศรีอรทัยกุล ก็ปลีกตัวเข้ามาพูดคุยถึงเรื่องราวส่วนตัวของเขาด้วยรอยยิ้มสดใส โดยเริ่มบอกความรู้สึกแรกกับเราว่า รู้สึกดีใจและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ที่ กอล์ฟ ฟอร์ สคูล สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมทั้งชี้ชวนให้ดูรอยยิ้มอันสดใสของเด็กๆ และผู้ปกครองในวันนั้น ที่เป็นความสุขแบบเรียบง่าย
หนุ่มหน้าใสในชุดนักกีฬา ขยับตัวเล็กน้อยก่อนพูดต่ออีกว่า กอล์ฟ ฟอร์ สคูล เป็นการช่วยเหลือสังคมโครงการแรกของเขา โดยจุดเริ่มต้นมาจากการที่เขาได้รับรู้เรื่องราวของเหล่า “แคตดี้” ที่มีฐานะยากจน หลายคนต้องทำงานหนัก ทนแบกถุงกอล์ฟตากแดด-ตากฝนเป็นเวลานานๆ เพื่อหาเงินส่งเสียลูกหลานให้ได้เรียน ทำให้เขาเกิดความสงสารจึงคิดหาทางช่วยเหลือ
“เงินที่ได้มาจากการขายบัตรแข่งกอล์ฟครั้งนี้ ประมาณ 6 แสนกว่าบาท ก็นำมาให้เด็กๆ เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์จากทั่วประเทศ ที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 96 ทุน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงปริญญาตรีครับ พอได้ทำตรงนี้แล้วก็รู้สึกดี ปีหน้าหากมีเวลา ผมก็อยากจะทำแบบนี้ต่อเนื่อง อยากแบ่งปันความรู้สึกดีๆแบบนี้อีกครับ” น้องพูมกล่าว
จากคำบอกเล่าที่ฉะฉานชัดเจน ทำให้เรารู้สึกทึ่งในความคิดของเด็กหนุ่มคนนี้ ระหว่างนั้น “เมก้า” ผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ จึงพูดถึง passion ด้านการ “ให้” ของลูกชายเธอว่า เริ่มฉายแสงออกมาทีละน้อย และมาแจ่มชัดเมื่อ 3 ปีก่อน หลังจากที่เขามีโอกาสติดตาม สุริยนและเมก้า ไปแจกของที่มูลนิธิบ้านพักฉุกเฉิน ที่นั่นเขาเห็นผู้หญิงถูกทำร้ายและดูเศร้าสร้อย น้องพูมก็รู้สึกสงสาร แต่เมื่อมาเห็นเด็กๆ ที่ดูว้าเหว่ ยามได้รับขนมและของเล่น รอยยิ้มและแววตาส่งประกายความสุข ก่อนจะมารุมกอดเขาเพื่อแสดงความขอบคุณ ทำให้เขายิ่งรู้สึกสงสารจับใจ
“ตอนนั้นเขาเข้ามากระซิบเมก้า แล้วถามว่า หม่าม๊า ทำไมเด็กเหล่านี้ถึงได้เป็นอย่างนี้ เมก้าจะสอนลูกว่าคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ในเมื่อเราโชคดีที่ได้เกิดมาตรงนี้ เรามีต้องรู้จักแบ่งปัน น้องพูมเขาก็รับฟัง ปีถัดมาเขาก็เริ่มชวนพ่อ-แม่ไปบริจาคไปทำบุญ”
พูม ยังสะท้อนความคิดเห็นเรื่องการให้ในแบบของเขาว่า เขาชอบและสนใจที่จะให้กับเด็กๆ เพราะเห็นว่าเด็กเป็นกำลังสำคัญของชาติ “ผมมีความสุขที่ได้ให้ โดยเฉพาะ เรื่องการศึกษา อยากเห็นเด็กมีคุณภาพการศึกษาที่ดี ผมเชื่อว่าเด็กเป็นอนาคตของชาติ ในอนาคตเขาสามารถนำความรู้ที่มีมาช่วยพัฒนาชาติได้ ผมคิดว่าคนที่มีโอกาส หากสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ก็จะมีผลต่อสังคมให้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
และถึงแม้จะได้ชื่อเป็นทายาทมหาเศรษฐี ที่ไม่เคยถูกพ่อ-แม่ตีกรอบชีวิตให้ลูกต้องเดินตามเส้นทางในถนนสายเดียวกับผู้เป็นปู่และพ่อ แต่ด้วยสายใยที่ถักทอไว้ด้วยความรักและความผูกพันของครอบครัว รวมถึงภาพความความประทับใจในวัยเด็ก ที่ได้เห็นทุกคนงานหนัก ฝังในความทรงจำ จึงทำให้น้องพูมตัดสินใจที่จะเลือกเดินตามรอยเท้าพ่อและปู่ของเขา ด้วยการเตรียมพร้อมวางแผนเรียนบริหารธุรกิจในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อจบออกมาจะได้เข้ามาช่วยพ่อสานต่อกิจการครอบครัวอย่างเต็มที่
“ตอนนี้ผมเรียนอยู่เกรด 11 Suffield Academy รัฐคอนเนคติกัต ประเทศสหรัฐอเมริกาครับ อีกปีถึงจะเข้ามหาวิทยาลัย ตรงนั้นผมคิดไว้แล้วว่าจะเรียนบริหารธุรกิจครับ จบมาแล้วจะได้ช่วยงานที่บริษัทเพชรของคุณปู่กับคุณพ่อได้ ผมอยากช่วยแบ่งเบาภาระ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจแล้วครับ” น้องพูม บอกเล่าถึงความตั้งใจเรื่องการทำงานในอนาคตของเขา
แสงอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ส่องแสงเจิดจ้าราวกับส่งสัญญาณให้รู้ว่า จะได้เวลาออกรอบกอล์ฟการกุศลนี้แล้ว ทำให้เราอดเสียดายที่จะฟังเรื่องราวความคิดดี ๆ ของเด็กหนุ่มคนนี้
ในวันนี้..แม้กิจกรรมช่วยเหลือสังคมของ น้องพูม จะเป็นเพียงการเริ่มต้นจุดเล็กๆ ที่ยังไม่มีใครกล่าวขานถึงมากนัก แต่เขาก็พอใจที่ได้ทำ โดยไม่ได้คิดอยากให้คนมายกย่องหรือชื่นชม “ผมไม่หวังว่า เด็กๆ ที่ได้ทุนจะต้องมาตอบแทนอะไรนะครับ ผมให้เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ถ้าทำตรงนี้สำเร็จ เด็กก็จะเติบโตแบบมีคุณภาพ และสามารถเป็นประชากรที่ดีของสังคม สามารถช่วยพัฒนาประเทศชาติได้” น้องพูม บอกทิ้งท้ายก่อนขอตัวไปเล่นกอล์ฟอันเป็นกีฬาโปรดของเขา
เรื่อง วรกัญญา สมพลวัฒนา
ภาพ ธัชกร กิจไชยภณ