>>“การเป็นมะเร็ง ไม่ได้ทำให้แป้งมองว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย ต้องเฝ้าถามตัวเองทั้งวัน ว่าทำไมต้องเป็นฉัน แป้งคิดว่าทุกวันนี้มะเร็งเป็นโรคฮอตฮิต ใครๆ ก็เป็นกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเป็นก็ไม่แปลก” นี่คือ เสียงสะท้อนของ “แป้ง-อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์” กรรมการบริหารแบรนด์ Vickteerut และวิคส์ (Vick’s) สาวแกร่งที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งนอกรังไข่ ระยะ 1 ซี อย่างไม่ท้อถอย แถมยังให้ยาดีกับตัวเองด้วยการบอกตัวเองเสมอว่า “ฉันต้องหาย”
สาวเก่งผู้หลงใหลการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว หลังกลับจากทริปท่องเที่ยว เธอมีอาการเมื่อยท้อง จึงไปหาหมอนวดเจ้าประจำ ให้ช่วยนวดท้อง จากที่ปกติเธอจะไม่นวดท้องเลย ปรากฏว่า นวดไปสักพัก หมอนวดก็เรียกเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนตกใจ เพราะดันคลำเจอก้อนเนื้อที่บริเวณท้องของเธอเข้า พอได้คลำด้วยตัวเองเจ้าตัวก็แปลกใจและตกใจไม่น้อย จึงโทรศัพท์ปรึกษาเพื่อน ก่อนจะไปพบแพทย์
“ด้วยความใจร้อน กลัวว่าแผนการเดินทางไปโครเอเชียในอีก 10 วันข้างหน้าจะเสีย แป้งก็รีบไปหาหมอเลยวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าคุณหมอบอกต้องผ่าตัด เพราะสงสัยว่าจะเป็นซีสต์ แป้งก็ตกลงผ่าเลยปรากฏว่าผ่านไป 2-3 วันหลังผ่าตัด คุณแม่ก็มาบอกแป้งว่า คงไม่ได้ไปเที่ยวแล้ว เพราะแผลคงหายไม่ทัน ตอนนั้นแป้งก็ยังไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่เห็นปฏิกิริยาของคนในครอบครัวแปลกๆ ต้องแอบไปคุยกับหมอนอกห้อง เลยแซวคุณแม่ไปว่า แป้งเป็นมะเร็งเหรอถึงทำตัวเหมือนในละครกัน ต้องแอบไปคุยกับหมอนอกห้อง”
ตอนนั้นทางบ้านเลือกจะเก็บความจริงอันโหดร้ายนี้ไว้ กระทั่งวันที่ 4 หลังการผ่าตัด คุณหมอจึงมาแจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่าเธอเป็นมะเร็งนอกรังไข่ ระยะ 1 ซี โดยมีก้อนเนื้อร้ายขนาด 14 เซนติเมตรที่นอกรังไข่ และขนาด 2 เซนติเมตรที่มดลูก ข่าวร้ายกว่านั้นคือ เซลล์มะเร็งบางส่วนได้กระจายไปในกระแสเลือดแล้ว และเพื่อบ่งบอกความผิดปกตินี้ ระยะการป่วยของเธอจึงเรียกว่า 1 ซี ถามว่าวินาทีนั้นช็อกไหม แป้งบอกว่า ไม่เลย แค่รู้สึกเซ็งมากกว่าที่ต้องอดไปเที่ยวจริงๆ
“เรื่องการรักษา แป้งเชื่อว่าหมอสมัยนี้เก่ง ยาที่ใช้ก็ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นแป้งบอกตัวเองเสมอว่าเราต้องหาย แต่ด้วยนิสัยแป้งที่ชอบเดินทาง พอป่วยแบบนี้แผนต่างๆ ที่เตรียมไว้คงยาก เพราะต้องมาให้คีโมทุกเดือน แต่ละครั้งต้องแอดมิต 5 วัน แป้งรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทุกครั้งที่แอดมิตต้องอยู่ห้องรวม เพราะหมอบอกว่า คีโมที่ให้เป็นชุดยาที่ค่อนข้างแรง เพราะฉะนั้นต้องมีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด”
การที่ต้องมาเป็นคนไข้ในห้องรวมกับเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 30 คน สำหรับแป้งในช่วงแรกไม่ง่ายเลย แต่พออยู่ไปกลับไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แป้งบอกว่านอกจากจะมีเพื่อนใหม่เป็นคุณลุงคุณป้า ทุกวันเธอยังได้สวมบทครูจำเป็นของบรรดาแพทย์ฝึกหัดที่หมุนเวียนกันมาดูแลคนไข้ ทดลองหัดเจาะเลือด สวนท่อปัสสาวะ ซึ่งเธอยินดีเป็นคนไข้จำลองให้นักศึกษาแพทย์เหล่านี้
“ช่วงที่ให้คีโม แป้งโชคดีไม่มีอาการข้างเคียงอะไรมาก จะมีเวียนหัว พะอืดพะอมบ้าง แต่โดยรวมถือว่าโอเค ทุกครั้งพอกลับจากให้คีโมแป้งจะลุยงานต่อเลย แต่ยอมรับว่าเรี่ยวแรงอาจไม่ดีเหมือนก่อน เหนื่อยง่าย มีอาการหูก้องบ้าง ส่วนเรื่องผมร่วงก็เป็นปกติของคนไข้ที่ให้คีโม ซึ่งแป้งไม่ซีเรียส ตัดผมทรงสกินเฮดรอไว้เลย (หัวเราะ)”
ผลจากการสู้กับโรคร้ายครั้งนี้ ทำให้แป้งต้องตัดรังไข่ด้านซ้าย และมดลูกบางส่วน นอกจากนี้ยังต้องตัดท่อน้ำเหลืองที่ขา 2 ข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อมะเร็งแพร่กระจายไปส่วนต่างๆ แป้งบอกว่า ผลจากการตัดท่อน้ำเหลืองสองข้างนี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หนักใจ เพราะคุณหมอเตือนตั้งแต่ต้นว่า จะทำให้เกิดอาการขาบวม
“แป้งเครียดนะ เพราะเราเป็นผู้หญิงรักสวยรักงาม ชอบกีฬาทางน้ำ ที่ผ่านมาเพื่อให้ได้เรียวขาที่สวยงามเราลงทุนกับมันไปเยอะ พอมาเป็นแบบนี้เซ็งเลย หมอบอกว่าวิธีเดียวที่จะพอบรรเทาได้คือ นอนยกขาสูงเพื่อให้น้ำเหลืองได้ไหลกลับบ้าง ซึ่งทุกคืนแป้งก็จะนอนยกขาสูง”
ทุกวันนี้ แป้งบอกว่า อยู่ร่วมกับโรคนี้ได้แบบเป็นสุข เธอเลือกไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองมากนัก อาจจะดูแลตัวเองมากขึ้น เช่น ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ กินอาหารตามคำแนะนำของหมอ คือ ไม่กินของดิบ ของหมักดอง อย่างส้มตำปูปลาร้าที่เคยเป็นของโปรดก็ต้องตัดใจ เน้นกินโปรตีนและไข่ขาว ที่สำคัญคือพยายามเตือนตัวเองไม่ให้เครียด
“การป่วยครั้งนี้ไม่ได้ทำให้แป้งมองชีวิตตัวเองเปลี่ยนไป แต่แค่คิดว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ มันทำให้แป้งรู้สึกอยากดูแลคนใกล้ตัวมากกว่าดูแลตัวเอง เวลาเห็นเพื่อนสูบบุหรี่แป้งก็จะเตือนให้เขาสูบน้อยลง อย่างตัวแป้งเอง ถามว่าทุกวันนี้อยากสูบไหม ก็มีบ้าง แต่ก็พยายามหาอย่างอื่นทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งถ้าหลังจากนี้แป้งเลิกบุหรี่ได้จริงๆ ก็ถือเป็นของขวัญจากมะเร็ง เพราะแป้งเคยคิดอยากเลิกสูบบุหรี่นานแล้ว ที่ผ่านมาแป้งไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องสู้ หรือคิดว่าตัวเองจะเสียชีวิตนะ หลายคนส่งข้อความมาให้แป้งสู้ๆ แป้งรู้สึกขอบคุณทุกกำลังใจที่เข้ามาและอยากบอกเขากลับไปว่า แป้งโอเคมากจริงๆ”
ผู้บริหารสาวอารมณ์ดีบอกอีกว่า ทุกวันนี้เธอกินอิ่มนอนหลับ แถมน้ำหนักตัวยังขึ้นมาถึง 15 กิโลกรัม ผิดจากคนไข้มะเร็งทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะผอมลง ถามว่ามีท้อบ้างไหม แป้งบอกว่าไม่เชิงท้อแต่หดหู่มากกว่า
“ตั้งแต่รักษามา 4 เดือน มีช่วงไปให้คีโมครั้งที่ 4 รู้สึกหดหู่ ไม่อยากรักษาต่อไป นอนร้องไห้ที่โรงพยาบาล ไม่รู้เพราะอะไร แป้งว่าน่าจะเป็นอารมณ์ช่วงหนึ่งแต่สุดท้ายก็ผ่านไป พอกลับมาทำงาน เราก็ลืมๆ ไป”
สุดท้ายนี้ แป้งอยากจะบอกกับคนที่กำลังเผชิญกับมะเร็งว่า สมัยนี้คุณหมอเก่งมาก และมียาที่รุนแรงมากที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นแล้วไม่ต้องกลัว แต่ขอให้อดทน ยิ่งถ้าเป็นระยะแรกๆ โอกาสหายมีสูง
“ช่วงแรกที่รู้ตัวว่าป่วย แป้งมองว่ามะเร็งเป็นเหมือนเพื่อนแป้งนะ แป้งมักจะพูดเสมอว่า เมื่อเป็นแล้ว ก็มาอยู่ด้วยกัน แต่ให้มาอยู่ดีๆ ไม่ต้องพาเพื่อนมาเยอะนะ แป้งจะพูดกับเขาดีๆ ยกเว้นเวลาเซ็งๆ แป้งถึงจะบ่นว่า เมื่อไหร่จะไปสักที (หัวเราะ)” สาวแกร่งแสนสตรองกล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH