xs
xsm
sm
md
lg

ชาบู-สุกี้ เนื้ออร่อยขั้นเทพที่…นาเบโซ พรีเมี่ยม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ร้านนาเบโซะ พรีเมียม (Nabezo Premium) เป็นร้านสุกี้หม้อไฟญี่ปุ่นต้นตำรับแถบคันไซ ตอนนี้ย้ายหม้อมาให้คนไทยได้ลิ้มลองความอร่อยของชาบู-ชาบูและสุกี้แบบต้นตำรับยอดฮิตสไตล์ญี่ปุ่นกันแล้วที่ชั้น 5 เซ็นทรัล เอมบาสซี่
ร้านนี้ที่ญี่ปุ่นจะเป็นประเภท All You Can Eat หรือเสิร์ฟไม่อั้น แต่พอมาเมืองไทยมีชื่อร้านพ่วงท้ายคำว่า “พรีเมี่ยม” ไปด้วย ก็เลยเพิ่มระดับความพิเศษตรงที่นำเข้าวัตถุดิบชั้นดีสั่งตรงจากญี่ปุ่น พร้อมบริการเหนือระดับไม่ต้องเดินไปตักอาหารเองให้เสียเวลา แต่จะมีเจ้าหน้าที่มาเสิร์ฟและบริการลวกอาหารให้ถึงโต๊ะ เหลือแต่ลูกค้าตักเข้าปากเท่านั้น

หม้อไฟของที่นี่มีให้เลือกอร่อย 2 แบบคือสุกี้และชาบู-ชาบูซึ่งเสิร์ฟเป็นคอร์ส ๆ โดยในแต่ละคอร์สจะทยอยเสิร์ฟทีละเมนูจนครบ 4 อย่าง คิดราคาต่อ สนนราคาต่อหัวถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับลูกค้าจะเลือกวัตถุดิบแบบไหน ถ้าคนรักเนื้อของให้รีบมาทดสอบด่วน!! เพราะมีเนื้อระดับเทพ 3 ตัวไว้บริการ คือคอร์สเนื้อโอมิกิว (2,400 บาท ++ ) ชื่อนี้อาจะไม่คุ้นหูนักกินเนื้อคนไทยนัก แต่ในญี่ปุ่นความอร่อยของเนื้อโอมิกิวนี้ติดอันดับ 1 ใน 3 เนื้อชั้นเลิศของญี่ปุ่นนอกเหนือไปจากเนื้อมัตสึซากะ เนื้อโกเบ เป็นวัวที่เลี้ยงอยู่แถวจังหวัดชิวะ ซึ่งมีภูมิประเทศโอบล้อมด้วยภูเขาและทะเลสาบน้ำจืด

ส่วนที่นำมาทำชาบูนั้นเชฟเลือกตรงสันไหล่ ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ได้ใช้งานจึงมีความนุ่ม และวัวสายพันธุ์นี้เลี้ยงด้วยเบียร์แล้วนวดให้ไขมันกระจายไปทั่วได้ถึงเกรด 7 เป็นไขมันสีขาวที่แทรกอยู่ในเนื้อเป็นลายสวยงามมาก หั่นเป็นแผ่นบาง ๆ ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ได้ประมาณ 5-6 ชิ้นต่อคอร์ส (200 กรัม)
ส่วนเนื้อราคาย่อมลงมาจะเป็นวากิว ออสเตรเลีย( 950 บาท++ 200 กรัม) คนไม่กินเนื้อไม่ต้องเสียใจ คอร์สหมูดำคุโรบูตะก็อร่อยไม่แพ้กัน เพราะมีมันแทรกสวย ( 650บาท ++200 กรัม) ที่น่าสนใจคือคอร์สขาปูทาระบะ(Taraba)คิงแครบ ปกติมีแต่ขาปูต้มแล้วแช่แข็งจึงไม่มีรสชาติ แต่ร้านนี้ใช้ขาปูทาระบะสด ๆ สั่งตรงจากฮอกไกโด (2,000 บาท++ 3 ชิ้น)

หรือใครอยากกินทั้งเนื้อและขาปูทาระบะทั้งสองอย่างก็ไม่ต้องสั่งถึง 2 คอร์สก็ได้ เพราะทางร้านรู้ใจจับคู่มาให้เป็นคอร์สเนื้อโอมิ 150 กรัมกับขาปูทาระบะ 1 ชิ้น(2,400 บาท++)

ถ้าเลือกคอร์สที่ถูกใจกันแล้วก็มาชิมกันเลยดีกว่า เริ่มเมนูแรกเป็นOmakase หรืออาหารเรียกน้ำย่อย วันนี้ผู้เขียนมากินกันหลายคนจึงสั่งทั้งคอร์สปู คอร์สเนื้อมาประชันกัน ดังนั้นจานเรียกน้ำย่อยจึงแตกต่างกัน ซึ่งคอร์สปูจะมี คานิซูชิ หรือซูชิหน้าปู ,หอยลายผัดขิง และโครอคเกะหรือมันฝรั่งที่มีชื่อเสียงของฮอกไกโดนำมาทำลูกกลม ๆ แล้วชุบเกร็ดขนมปังทอด หอมอร่อยไม่แพ้กินที่ฮอกไกโด ส่วนชุดเนื้อเป็นกุ้งทอดเอบิ ซูชิหน้าเนื้อวากิว และหอยลายผัดขิง

นี่แค่ 3 ใน 20 เมนู Omakaze เท่านั้น ซึ่งเชฟจะเป็นคนคิดสูตรเด็ด ๆ เหล่านี้ขึ้นมาเอง และจะผลัดเปลี่ยนไปทุกสัปดาห์ เรียกว่ากินไม่ซ้ำกัน

พอลูกค้ากินOmakaze เรียบร้อย เก็บถ้วยเก็บจานหมดแล้ว พนักงานก็จัดเตรียมเมนูที่สองคือสุกี้หรือชาบู -ชาบู ตามแต่ลูกค้าเลือก อย่างสุกี้ของร้านนี้เด่นที่น้ำซุปเพราะเป็นสูตรดั้งเดิมที่เรียกว่า “กิวนาเบะ” ที่ใช้เต้าหู้ยี้ญี่ปุ่นมาปรุงรสออกเค็ม ๆ หอม ๆ นิยมทำกันเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วในย่านโอซาก้า แต่ปัจจุบันสุกี้กิวนาเบะแทบจะไม่มีให้ลิ้มลองแล้วในญี่ปุ่นเพราะกระบวนการทำยุ่งยาก คนจึงหันมากินสุกี้สไตล์โตเกียวกันหมด ดังนั้นถ้าอยากลองสุกี้แบบออริจินอลก็มากนได้ที่ร้านนี้

พูดถึงสุกี้แล้วคนไทยยังรู้จักหม้อไฟนี้แบบผิด ๆ ความจริงน้ำซุปสุกี้ญี่ปุ่นเป็นสีดำ เครื่องทุกอย่างทั้งเนื้อและผักจะตุ๋นอยู่ในหม้อ ที่สำคัญคือไม่มีน้ำจิ้มเพราะรสชาติของซุปเข้มข้นอยู่แล้ว แต่ที่พิเศษและเพิ่มความอร่อยคือไข่ดิบที่เตรียมอยู่ในถ้วย เวลาจะกินก็นำเนื้อร้อน ๆ จากหม้อสุกี้จุ่มลงไปในไข่ดิบ ๆ แล้วส่งเข้าปาก ไม่ต้องกลัวว่าจะเหม็นคาวไข่ เพราะประหลาดล้ำตรงที่ไข่ดิบกลับเพิ่มความหวานอร่อยมากยิ่งขึ้น

สุกี้สไตล์โอซากาเริ่มจากใช้ไขมันจากเนื้อวากิววัวมาเจียวในหม้อแล้วนำหัวหอมใหญ่ที่ซอยแล้วมาผัด ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้องเลย จากนั้นก็ใส่น้ำซุปลงไป ตามด้วยหัวบุก เต้าหู้อ่อน ผักต่าง ๆ ใส่จนเต็มหม้อ จึงนำเนื้อโอมิกิวลงไปต้ม ตอนนี้สุกี้ตรงหน้าได้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งยั่วน้ำลายไปทั่วห้องแล้ว
ขอแนะนำว่าอย่าต้มเนื้อสุกจนเกินไปเพราะความหวานของเนื้อจะออกไปหมด จากนั้นจึงนำไปจุ่มในไข่ดิบ ส่งเข้าปาก เนื้อวัวโอมินุ่มมากไม่ถึงขนาดละลายในปาก แต่ยังใช้ฟันขบเคี้ยวให้สัมผัสถึงความเป็นเนื้อที่พอมีความเหนียวนิดหน่อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งหอม สมราคาแพงจริง ๆ

ส่วนหม้อชาบู-ชาบู นั้น น้ำซุปจะต้องนำเข้าหัวเชื้อจากร้านนาเบโซะที่ญี่ปุ่นมาเลย ดังนั้นจึงได้รสชาติความอร่อยเหมือนกินอยู่ในญี่ปุ่น น้ำซุปของชาบู-ชาบูค่อนข้างใส และให้กลิ่นรสน้อยมาก เพื่อไม่ให้กลบเนื้อวัวอันเป็นพระเอกเสียหมด
วิธีกินชาบู-ชาบูที่ถูกคือใช้ตะเกียบจุ่มเนื้อลงไปในน้ำซุปที่เดือดพล่าน แกว่งไปมาแป๊บเดียว พอให้เนื้อสุกแบบน้ำยังฉ่ำ ๆ ก็จิ้มน้ำจิ้มแล้งส่งเข้าปากจะได้ความหวานและความหอมของมันที่แทรกในเนื้ออย่างครบถ้วน

“น้ำจิ้ม” มีให้เลือก 3 รส 3 แบบ คือพอนสึหรือซอสเปรี้ยวที่จะมีหัวไช้เท้าซอยลงไปด้วย , โกมาทาเละ ซอสงาขารสชาติหวานมันหอมงา และสุดท้ายซอสคาราทาเละหรือซอสเผ็ดที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ กว่าจะได้น้ำซอสถ้วยนี้จะต้องปรุงกันนานถึง 3 วัน ส่วนถ้วยไหนอร่อยกว่ากันนั้น ขอเชิญให้ลิ้มลองตามอัธยาศรัยได้เลย

หม้อชาบู-ชาบูนี้ ผู้เขียนลองใช้เนื้อโอมิกิวจุ่มพอสุกแล้วส่งเข้าปากแบบไม่อาศัยรสชาติของน้ำจิ้มเลย  สุโค่ยสุด ๆ กับเนื้อขั้นเทพที่ให้กลิ่นหอมของมันลายหินอ่อนที่แทรก ยิ่งเคี้ยวยิ่งหอมแบบไม่ต้องง้อน้ำจิ้มเลย ส่วนเนื้อปูทาราบะเนื้อชมพูใสแสดงถึงความสด พอลวกสุกแล้วเนื้อเปลี่ยนเป็นขาวจั๊วะอมชมพู ให้รสหวานเจี๊ยบ ขาปูยาวครึ่งฟุตพนักงานจึงต้องใช้กรรไกรตัดเป็นชิ้นพอคำ

ระหว่างจัดการทั้งสุกี้และชาบู-ชาบูนั้น พนักงานจะเสิร์ฟผักสด เต้าหู สารพัดเห็ด ฟองเต้าหู้ หัวบุก วุ้นเส้น ฯลฯ. ตลอดเวลา ซึ่งสามารถเลือกเติมในหม้อไฟได้ตามใจชอบ นี่จึงเป็นหม้อไฟเพื่อสุขภาพโดยแท้

แม้จะอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ แต่กว่าจะจัดการกับหม้อไฟ 2 หม้อนี้ก็ทำเอาเหงื่อซึมทีเดียว ครั้งแรกคิดว่าคอร์สราคาขนาดนี้ดูจะแพงไปหน่อย แต่มาตอนนี้ท้องเริ่มอิ่มแล้ว แต่ภารกิจยังไม่จบ เพราะน้ำซุปที่ข้นคลั่กอยู่ในหม้อหลังจากต้มทั้งเนื้อและผักมาแล้ว อย่าปล่อยให้ลอยนวล ทางร้านยกกลับเข้าครัวไปปรุงเมนูที่ 3 ต่อไป

เมนูปิดท้ายเป็นเส้น 2 เส้นให้เลือกคือราเมงกับอุด้ง หรือถ้าไม่ชอบเส้นก็เลือกข้าวต้มโซชูหรือข้าวต้มไข่ ส่วนเมนูปิดท้ายสุกี้ให้เลือกระหว่างเส้นอุด้งหรือโอชาสุเกะคือข้าวหน้าเนื้อที่ปรุงสดใหม่ออกมาจากครัว
เมนูทั้งหมดนี้จะเป็นชามขนาดกลาง ๆ จัดแต่งมาอย่างสวยงาม เหมือนไม่ได้เอาของเหลือไปทำเลย

ถึงตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งอิ่มนะจ้ะ เพราะยังต้องล้างปากด้วยขนมหวาน ซึ่งมีให้เลือก 3 อย่างคือ ไอศกรีม 3 รส มีชาเขียว วานิลาและแมคคาเดเมียในถ้วยเดียวกัน หรือจะกินวาราบิโมจิเป็นวุ้นรสชาเขียวเสิร์ฟคู่กับไอศกรีมชาเขียว และถ้วยสุดท้ายเป็น ชิราตามะ อันมิตสึ(Shiratama Anmitsu) เครื่องเต็มถ้วยประกอบด้วยแป้งดังโงะ เป็นก้อนแป้งขาว ๆลูกกลมๆเสียบไม้ ไอศกรีม วุ้น ถั่วแดง และเกาลัดญี่ปุ่นเชื่อม ราดด้วยคาราเมล รสหอมหวาน

จบขนมหวานแล้วต้องบอกว่าอิ่มแปล้จนไม่มีพื้นที่ในกระเพาะจะบรรจุอาหารอีกแล้ว
ใครอยากจะลิ้มลองชาบู สุกี้เลิศรส ไปกันได้ที่ ร้านนาเบโซ พรีเมียม(Nabezo Premium) ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 เซ็นทรัลเอ็มบาสซี เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม โทร 02-160-5623
 
ชิมโดย:ปราณ ชีวิน
ภาพโดย : จิรโชค พันทวี

ชีวิตนอกโรงแรมโอเรียนเต็ล ของ เชฟวิชิต มุกุระ
ชีวิตนอกโรงแรมโอเรียนเต็ล ของ เชฟวิชิต มุกุระ
เมื่อเอ่ยถึง เคิร์ท ว๊าซไฟท์ล, เชฟ นอร์เบิร์ต เอ คอสเนอร์ และ เชฟวิชิต มุกุระ ทุกคนจะรู้จักในนาม 3ทหารเสือ ที่ปลุกปั้นโรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ให้โด่งดังเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมกับกวาดรางวัลระดับโลกมามากมาย 2 คนแรกคือ เคิร์ท และ เชฟนอร์เบิร์ต ปิดฉากชีวิตการทำงานที่โอเรียนเต็ลในวัยเลยเกษียณมาหลายปี แต่ล่าสุด เชฟวิชิต แม้จะมีอายุงานเหลืออีกประมาณ 7 ปี แต่เขาตัดสินใจเดินจากองค์กรที่เขาทำงานมานานถึง 28 ปี ซึ่งข่าวนี้ทำเอาคนในวงการอาหารและโรงแรมช็อกกันเลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น