4-5 ปีก่อนเรารู้จัก ณัชพล ตันเจริญ หรือ "ตันเจริญจูเนียร์" ในฐานะ ส.ส.เขต 1 จังหวัดฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีอายุน้อยสุดในรัฐสภามาแล้ว แต่หลังผลัดเปลี่ยนรัฐบาล ตันเจริญจูเนียร์ ก็เป็นอีกหนึ่ง ส.ส.ที่ต้องตกงาน หนุ่มน้อยคนนี้เลยต่อยอดความฝันที่สอง ด้วยการเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น Haru ย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา เพื่อคลายเหงาและตอบโจทย์ความรู้สึกตัวเอง ที่ลุ่มหลงอาหารญี่ปุ่นอย่างหนัก
แสงตะวันส่องผ่านม่านใบไม้ที่พลิ้วตามแรงลม ทำให้ ณัชพล ตันเจริญ หนุ่มหน้าขาวใสอารมณ์ดี ที่เรานัดพบเพื่ออัปเดตชีวิตของเขา แก้มแดงระเรื่อตัดกับสีผิวที่ขาวอมชมพูของเขา ณัชเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวของเขาว่า หลังจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน Master of Business Administration-MBA (Marketing) ที่ University of Missouri at Saint Louis (UMSL), Missouri, United States
ทันทีที่กลับมาถึงไทย ก็เริ่มงานหาประสบการณ์ที่ บริษัท เอ็ม เอส เทอร์มินัล ระยะหนึ่ง ก่อนมาทำงานด้านการเมืองในสมัยรัฐบาลของสมัคร สุนทรเวช โดยตำแหน่งแรกที่รับคือ เป็นที่ปรึกษาให้กับบิดา พิเชษฐ์ ตันเจริญ รมช.กระทรวงพาณิชย์ ในสมัยนั้น งานตรงนั้นแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้เห็นอะไรมากมาย และด้วยจังหวะและโอกาสอันเหมาะสม ส่งผลให้ "ตันเจริญจูเนียร์” ต้องกระโดดเข้าสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัวเป็นครั้งแรก ด้วยการลงรับสมัครเลือกตั้งที่เขต 1 จังหวัดปราจีนบุรี แทนอาของเขาที่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง
“เหตุผลที่เข้ามาเล่นการเมือง อาจเพราะการเมืองอยู่ในสายเลือดครอบครัวของเราตั้งแต่คุณปู่ คุณย่า คุณอา (สุชาติ ตันเจริญ) คุณพ่อ และคุณแม่ ที่อยู่ในเส้นทางการเมืองมาตลอด ประกอบกับ ตัวผมเองก็ชอบงานบริการ ชอบเรื่องการทูต อยากพัฒนา อยากช่วยคน ตั้งแต่จำความได้เห็นคุณปู่ คุณย่าได้ช่วยคน ได้ตามคุณอา คุณพ่อ ออกพื้นที่ ได้เห็นแววตาของชาวบ้านที่มองคุณพ่อด้วยความรัก ความชื่นชม ฝากความหวังในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพวกเขาไว้ เห็นตรงนี้ผมยิ่งอยากทำงานการเมืองมากขึ้น”
เมื่อได้พูดคุยเรื่องการเมืองแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของหนุ่มณัช ดูสดชื่นและมีความสุขมาก ณัชยังสวมวิญญาณ ส.ส. สาธยายเรื่องราวการทำงานของเขาอย่างออกรสว่า หลังได้สัมผัสกับชาวบ้านทำให้เขารู้สึกว่า ปัญหาความยากจนตลอดจนการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชน เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข
“ผมเป็น ส.ส.ช่วงรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ที่ให้ความสำคัญทุกเรื่องเช่นกัน ซึ่งผมก็ดีใจ เพราะสิ่งที่ผมรับปากชาวบ้านอย่างน้อย 1 เรื่อง คือเรื่องเบี้ยคนชรา ได้รับการพิจารณาให้ผ่านที่ประชุมสภา ซึ่งผมได้มีโอกาสเข้าไปช่วยดูการยกร่างกฎหมายฉบับนี้ด้วย อาจเป็นเงินไม่มากนัก เพราะมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ แต่อย่างน้อยก็เป็นเครื่องประกันให้ผู้สูงวัยได้อุ่นใจ ว่าอย่างน้อยเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง” ณัชเล่าถึงความประทับใจในผลงานช่วงดำรงตำแหน่งให้ฟัง
แม้จะสนุกสนานกับการทำงาน แต่ชีวิตของณัชก็ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่อาจต้านทานคลื่นลมทางการเมือง ที่ซัดสาดอย่างรุนแรงตลอด 3 ปีกว่าได้ ทำให้ต้องประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ และเมื่อมีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาล ณัชกลายเป็นอีกหนึ่ง ส.ส. ที่ต้องว่างงานโดยปริยาย
“ก็ถือว่าหยุดพักผ่อนครับ (หัวเราะ) ผมว่าดีนะ เพราะคนเราต้องมีเวลาให้กับตัวเองบ้าง ไม่ใช่ยึดติดการเมืองทั้งหมด ช่วงว่างนอกจากกลับมาช่วยงานบริษัทพ่อแล้ว ทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ก็เชิญไปเป็นวิทยากรพูดเรื่องการบริหาร แต่ยังไม่หายเหงา ก็เลยเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น Haru ครับ” ณัชพูดพร้อมเชิญชวนให้เราเดินดูรอบๆ ร้าน Haru ของเขา
ก่อนจะหยุดนั่งคุยกันเรื่องร้านอาหารต่อ ณัชพล หันไปกวาดตามองบรรยากาศภายในร้านด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขาบอกว่า ตั้งใจให้ออกมาเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะ ที่ขายเหล้าพร้อมทั้งอาหารจานง่าย ๆ หลาย ๆ อย่าง ทั้งซูชิ ซาชิมิ นาเบะหม้อไฟ ชาบู
“เลือกทำร้านอาหารญี่ปุ่นเพราะชอบมาก ผมทำเองทั้งหมด ตั้งแต่ออกแบบร้าน ตั้งชื่อ Haru เพราะเป็นชื่อที่มีความหมายดีในภาษาญี่ปุ่นและจีนซึ่งแปลตรงกันคือ หมายถึงฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ ส่วนเมนูอาหารก็เลือกเองทั้งหมด วัตถุดิบทุกอย่างเราเลือกที่ดีที่สุด เพราะอยากให้ลูกค้าได้ลิ้มรสอาหารในแบบที่คนญี่ปุ่นกินกัน” ไม่พูดเปล่า “ณัช” ยังนำชุดปลาดิบจานใหญ่ รวมถึงอาหารจานเด็ดที่เขาคิดขึ้น มาให้เราชิมเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของเขาอีกด้วย
และเมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดผ่านผนังกระจกของร้าน ลูกค้าเริ่มทยอยเดินเข้ามามากขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกเกรงใจที่รบกวนเวลา อดีต ส.ส.หนุ่มคนนี้มาเนิ่นนาน แม้เขาบอกว่าไม่เป็นไร แต่เราก็อยากให้เขาได้ดูแลลูกค้าคนอื่นต่อไป
ก่อนจากกัน เราขอให้ “ณัช” พูดถึงชีวิตในวันนี้ และอนาคตทางการเมืองข้างหน้า ซึ่งณัชบอกเราพร้อมรอยยิ้มว่า พอใจกับชีวิตวันนี้มากที่สุดแล้ว ส่วนอนาคตข้างหน้า หากมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ เขาพร้อมที่จะใช้สิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะยังมีความหวังที่อยากจะช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะ เรื่องปากท้อง คนชรา และระบบการศึกษา
“ผมเชื่อว่าหากปัญหาทุกอย่างได้รับการแก้ไข คุณภาพชีวิตคนไทยดีขึ้นแน่นอน ไม่มีความสุขเหลื่อมล้ำอย่างที่เป็นอยู่”