xs
xsm
sm
md
lg

ความเหมือนที่แตกต่างของ ฝาแฝดชาย-หญิง ทายาทม้าลำพอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


>>ฝาแฝดชาย-หญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคู่นี้ หลายคนอาจจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากัน เพราะน้อง “เจม-นันทวุฒิ” และ “น้องบีม-วรณัน” เคยมาทักทายผู้อ่าน Celeb Online กันไปแล้ว เมื่อราวกลางปี 2556 โดยคราวนั้นเป็นการจูงมือมาขึ้นปกกันทั้งครอบครัวพร้อมคุณพ่อจ๊ะและคุณแม่บิ๋ง “วรวุฒิ-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี” ทายาท “สิงห์” แบรนด์เก่าแก่ของไทยและเป็นผู้บริหารแบรนด์รถหรูที่มีสัญลักษณ์ม้าลำพองอย่างเฟอร์รารี

กลับมาคราวนี้ฝาแฝดวัย 9 ขวบคู่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายที่โตขึ้น แต่คาแรกเตอร์ในความแฝดของทั้งคู่ก็เริ่มแตกต่างอย่างแจ่มชัดขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคุณแม่บิ๋งกล่าวว่า “ตอนเด็กๆ เขาจะชอบอะไรเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกันไปหมด ขนาดของเล่นถ้าซื้อให้ต่างสีกันยังไม่ได้เลย ของแทบทุกอย่างจะซื้อเป็นคู่แบบเหมือนกันเป๊ะ แต่พอเริ่มโตเราก็เริ่มเห็นได้ถึงความแตกต่างของเขา อาจจะเป็นเพราะความเป็นแฝดที่ต่างเพศกัน คาแรกเตอร์ของเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงนี่เลยจะเห็นได้ชัด”

จากการสังเกตน้องๆ ทั้งสองก็ช่วยยืนยันคำกล่าวนี้ของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี เพราะขณะที่ลักษณะท่าทางของทั้งคู่ที่คล้ายคลึงกัน แต่ในท่วงท่าและการแสดงออกของน้องบีม แฝดสาวผู้น้องมีความนุ่มนวลแบบกุลสตรี ต่างกับน้องเจม แฝดชายผู้พี่ดูจะมั่นใจและหาญกล้ากว่า

บีม-แฝดน้องผู้แสนหวาน

“บีมเขาจะออกแนวผู้หญิงจ๋ามาก อ่อนหวาน เรียบร้อย มีความเป็นศิลปินสูง ชอบร้องเพลง เล่นดนตรี คือที่บ้านส่งไปเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก ก็ดูเขาจะไปได้ดีในด้านนี้ คุณครูบอกว่าเขาเป็นเด็กที่หูดี เป็นพวก Perfect Pitch คือแม่นโน้ตมาก ฟังเสียงต่างๆ ปุ๊บจะบอกได้ว่าเป็นโน๊ตใด ซึ่งเหมาะมากที่จะเรียนทางด้านดนตรี

ตอนนี้เขาก็เลยมีเรียนทั้งเปียโน อูคูเลเล่ ร้องเพลง และเต้น เรียกได้ว่ามีคลาสแทบทุกวันเลย แต่ก็เป็นความสุขของเขานะคะ เขาชอบของเขาแล้วก็ขอเรียนเอง ที่บ้านก็สนับสนุนเต็มที่ เห็นว่าเขาชอบอะไร หรือทำอะไรได้ดี เราก็พร้อมจะส่งเสริมทุกอย่าง

ความเป็นผู้หญิงอีกอย่างหนึ่งของน้องบีมที่เห็นได้ชัดคือการชอบแต่งตัว อย่างเวลาแม่แต่งตัวไปงานต่างๆ นี่ เขาจะชอบดู แล้วก็จะชมนะ ตัวนั้นดี ตัวนี้สวย แอบมีบอกจองแล้วนะเสื้อผ้าของแม่ (หัวเราะ) เขาจะชอบให้แม่แต่งตัว

แต่กลับกันพอเวลาเขาแต่งเองนี่จะระมัดระวังมาก กุลสตรีสุดๆ อย่างกางเกงขาสั้นนี่แทบไม่ใส่ กระโปรงสั้นก็ไม่เอา เขาว่ามันไม่เรียบร้อย จะชอบใส่กระโปรง ชุดเดรส มากกว่า”

เจม-หนุ่มน้อยนักกีฬา

ขณะนี้ที่น้องสาวออกแนวผู้ยิ้งผู้หญิง ด้านน้องเจมเองก็ฉายแววชายหนุ่มสุดแมน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัย ไปจนถึงกิจกรรมสุดโปรดอย่างกีฬา และการแข่งรถ

“ที่จริงเขาก็ชอบดนตรีเหมือนกันนะ อย่างเจมนี่เขาเรียนกีตาร์มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลาเล่นเท่าไร เพราะเขาเป็นนักแข่งรถเหมือนคุณพ่อ ก็จะมีไปซ่อมบ่อยๆ พ่อลูกจูงมือกันไปขับรถแข่ง โดยคุณพ่อเขาปั้นมาแต่เด็กแล้ว และน้องเองก็ชอบมาก โตขึ้นแล้วเขาอยากแข่งแบบมืออาชีพเลย

นอกจากนี้ก็ชอบพวกกีฬา เขาเล่นทั้งฟุตบอล กอล์ฟ เทนนิส แล้วแต่ว่าช่วงไหนจะอินกับกีฬาอะไรก็จะเล่นอันนั้นเยอะหน่อย แต่เราจะพาเขาไปเล่นเทนนิสบ่อยหน่อย เพราะมันทำให้ออกกำลังกายได้ครบ อย่างกอล์ฟได้ออกกำลังกายก็จริง แต่อาจจะไม่ค่อยได้ช่วยเรื่อง Cardio

ขณะที่เทนนิสจะเน้นในเรื่องนี้ เพราะการฝึกการเต้นของหัวใจ ความอึด ตื่นเต้น ซึ่งพวกนี้จะช่วยในเรื่องของการขับรถแข่งได้ แถมเทนนิสยังเล่นได้สะดวก สามารถเล่นได้ทุกที ไม่ต้องการเพื่อนเป็นทีมเหมือนอย่างฟุตบอล หรือต้องใช้สถานที่กว้างขวาง อย่างเวลาเดินทางไปต่างประเทศ แทบทุกโรงแรมก็มีคอร์ตเทนนิส มีอุปกรณ์ให้พร้อม เล่นกันเองในครอบครัว หรือแค่ 2 คนพี่น้องก็ได้”

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ตอนนี้น้องเจมกำลังชื่นชอบ คือการต่อเลโก้โรบอต ซึ่งน้องเจมได้รับเลือกเข้าทีมตัวแทนไปแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเป็นการสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา พร้อมกับใส่โปรแกรมเพื่อให้ทำตามโจทย์ที่สั่งได้ อย่างให้วิ่ง ให้ยกแขน ให้ทำท่าทางต่างๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงฝึกหนักเพราะจะแข่งขันกันในช่วงเดือนกันยายนนี้แล้ว

พูดจาภาษาแฝด

เมื่อครั้งสัมภาษณ์คราวที่แล้ว ระหว่างการถ่ายทำเราจะได้ยินสองหนุ่มสาวฝาแฝดคู่นี้ส่งภาษากันด้วยเสียงแปลกๆ ที่เขาเข้าใจกันเองเพียง 2 คน มาวันนี้แม้จะไม่ได้ยินเสียงภาษาแฝดแบบนั้นแล้ว แต่เพียงแค่การมองตาหรือส่งเสียงเรียกสั้นๆ ก็ดูเหมือนว่าเขาได้สื่อสารกันด้วยรายละเอียดที่คนนอกอย่างเรายากจะเข้าใจ

“ตอนนี้ทั้งคู่โตแล้ว ก็จะไม่ได้ยินเขาคุยกันแปลกๆ แล้วนะคะ แต่บางครั้งเวลาเขาคุยกันปกติ บิ๋งกลับรู้สึกว่าเขาสื่อสารกันมากกว่านั้น เหมือนเขาอยู่ในโลกส่วนตัว เหมือนมันเป็นธรรมชาติของเด็กแฝดที่เขาผูกพันกันมาก เพราะเขาโตมาด้วยกันตั้งแต่ในท้อง

ปัญหาเรื่องภาษาแฝดหมดไป แต่ตอนนี้อีกปัญหาเรื่องภาษาคือการฝึกให้เขาใช้ภาษาไทยแบบคล่องๆ เพราะเขาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เพื่อนฝูงที่โรงเรียนก็พูดกันแต่ภาษาอังกฤษ เริ่มจะถนัดมากกว่าไทยละ ตอนนี้ก็เลยต้องมีกฎว่าอยู่นอกโรงเรียน หรืออยู่ที่บ้านต้องพูดภาษาไทยนะ และตัวบิ๋งจะพูดไทยกับเขาตลอด เพราะมันช่วยให้เขาได้ฝึกใช้ เวลาเขาติดคำอะไร นึกคำไหนไม่ออก หรือใช้ไม่ถูกต้องเหมาะสม เราก็จะได้ช่วยแก้ทันที

เพราะคำพูดหรือศัพท์บางคำ มันทำให้อารมณ์การสื่อสารเปลี่ยนไป ทำให้คนฟังเข้าใจเจตนาเขาผิดได้ ก็เลยต้องฝึกให้เขาบ่อยๆ เพราะอยากให้เขาแข็งแรงทั้งสองภาษา ส่วนภาษาที่สามอย่างจีน บิ๋งกับพี่จ๊ะคิดว่าควรจะรอให้เขาโตกว่านี้อีกสักหน่อยสักประมาณ Year7 ถึงจะให้เริ่มเรียน เพราะกลัวว่าถ้าเรียนพร้อมกันหลายภาษาเดี๋ยวจะตีกัน ตอนนี้เลยเอาแค่สองภาษานี้ให้ดีก่อนค่ะ”

ความสุขของภาระแบบคูณสอง

สำหรับการเป็นพ่อแม่ของเด็กแฝด ต้องยอมรับว่าการดูแลต้องหนักหน่วงเป็นสองเท่า ต้องมีภาระหน้าที่ให้ทำมากขึ้นกว่าคนมีลูกทั่วไป แต่คุณแม่บิ๋งบอกว่าภาระที่หนักก็มาพร้อมกับความสุขที่มากขึ้นด้วย

“ตอนแรกที่รู้ว่าเป็นแฝด แถมเป็นลูกท้องแรกด้วย บิ๋งกับพี่จ๊ะก็แอบเครียดไม่น้อย เพราะไหนจะไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กมาก่อน แถมมาทีก็มาพร้อมกัน 2 คนเลย แต่พอคลอดมาแล้วก็แอบขอบคุณที่เขามาคู่แบบนี้นะ

เพราะเราตั้งใจไว้แล้วว่าอยากมีทั้งลูกชาย และลูกสาว ถ้าเกิดคลอดมาเป็นแฝดเพศเดียวกันนี่ก็คิดอยู่ว่าอาจจะต้องมีอีกคนแบบเลือกเพศไปเลยจะได้ครบ แต่พอออกมาเป็นน้องเจมกับน้องบีมก็เลยครบที่หวังไว้พอดี

มีลูกแฝดแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องประสานมือช่วยกันเลี้ยง เพราะเขาสองคนมีกิจกรรมที่ต่างกัน ก็จะมีช่วงเวลาแยกแบบคุณพ่อกับน้องเจมไปทำกิจกรรมด้วยกันแบบชายหนุ่ม ไปเล่นกีฬา ไปขับโกคาร์ท ส่วนพี่กับน้องบีมก็ไปสนุกสนานแบบสาวๆ ไปชอปปิ้ง ทำเล็บ เข้าสปา อะไรแบบนี้ หรือบางทีก็สับคู่กัน แล้วแต่กิจกรรมและสถานการณ์ค่ะ”

แฝด-เพื่อนแท้ของกันและกัน

ข้อดีอีกอย่างของการมีลูกแฝดที่พี่บิ๋งถ่ายทอดให้เราฟังคือ “บิ๋งสังเกตเห็นว่า เพื่อนๆ ที่มีลูกคนเดียว เขาจะทิ้งไปไหนนานไม่ได้ แค่ออกมาดินเนอร์ก็ต้องห่วงแล้วห่วงอีก เพราะกลัวจะเหงา อยู่แต่กับพี่เลี้ยง จะไปเที่ยวไหนก็ต้องกระเตงไปด้วยตลอด เพราะลูกไม่มีใครก็มีแค่พ่อกับแม่เท่านั้น

แต่สำหรับเด็กแฝดเขาจะไม่รู้สึกเหงา เพราะเขามีกันและกันอยู่ตลอด ทำให้ไม่ค่อยติดพ่อแม่มากนัก เรามีอิสระ ทำอะไรได้คล่องตัวกว่า และเขาก็ช่วยดูแลกันและกัน อย่างตอนนี้ฝึกให้เขารับประทานยาหรือวิตามินแบบเม็ด น้องเจมที่กลืนเป็นแล้ว ก็จะมาช่วยสอนน้องบีม หรืออย่างเวลาให้รับประทานผักชนิดใหม่ๆ คนที่ทานได้แล้วก็จะมาชวนอีกคนทานด้วยกัน”

แต่เห็นเป็นเพื่อนแท้ และรักกัน ผูกพันกันมากขนาดนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องทะเลาะกัน โดยคุณแม่บิ๋งกล่าวว่า “ก็เหมือนพี่น้องทั่วไปแหละค่ะ มีทะเลาะกัน ตีกันเป็นธรรมดา แต่ถึงจะทะเลาะกันยังไง เขาก็ยังนึกถึงอีกฝ่ายตลอดนะ เป็นห่วงตลอด อย่างวันก่อนเพิ่งทะเลาะกัน แต่พอมีงานที่ไม่ได้ไปด้วยกัน เพราะน้องเจมเขาติดแข่งโกคาร์ท น้องบีมเขาก็จะบ่นถึง แบบว่าคิดถึง เอ่ยถึงตลอด เพราะอยากให้พี่มาสนุกด้วยกัน”

เรียกได้ว่าถึงแม้แฝดชาย-หญิงคู่นี้จะมีความต่างในคาแรกเตอร์ตามเพศของแต่ละคน แต่ในเรื่องความผูกพัน ความเป็นแฝดที่มีทั้งความเป็นพี่น้อง พ้องกับความเป็นเพื่อนแล้ว ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ก่อนเกิด ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมและเข้าใจกันยิ่งกว่าใครๆ :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น