แม้เหตุการณ์วางระเบิดที่พระหรหม ซึ่งสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศ จะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเสียงระเบิด ภาพผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ยังอยู่ในความทรงจำของเหล่าวงการเซเลบหลายคน ที่เป็นหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์นั้นด้วย
ปอ-ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์ เป็นอีกเซเลบสาวที่ขณะเกิดเหตุระเบิดสี่แยกราชประสงค์เล่าว่า ในช่วงนั้นตัวเธอเองและเพื่อนๆ กำลังถ่ายรูปเพื่อลงปกหนังสือ อยู่บนชั้น 32 ของโรงแรมเรเนอซองส์
ทันใดนั้นก็ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากนอกอาคาร จนทำให้ชั้น 32 เกิดแรงสั่นสะเทือนหนักมาก และได้ยินเสียงจากภายนอกตะโกนบอกว่า แก๊สระเบิด แต่เสียงในหัวใจของเธอกลับเชื่อว่า เสียงนี้ไม่ใช่แค่แก๊สระเบิด หรือหม้อแปลงไฟระเบิดแน่นอน
“ตอนแรกพอได้ยินเสียงดังตูม เรายังไม่คิดว่าเป็นระเบิด ก็ยังถ่ายรูปเพื่อทำงานกันต่อ แต่พอรู้ว่าเสียงดังเมื่อสักครู่นี้เป็นระเบิด ก็ชะโงกจากหน้าต่างออกไปดู เห็นควันพวยพุ่งจนมองอะไรไม่ชัด มีเสียงรถหวอร้องครวญครางดังลั่น ทั่วสี่แยกราชประสงค์ และมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ปอกับเพื่อนๆ อีก 3 คน ถึงกับเข่าทรุดไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรต่อเลย เพราะรู้สึกสะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์ตอนนั้นเศร้ามาก ปอมองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นการกระทำที่รุนแรงและโหดเหี้ยมมากที่สุด” หญิงสาวเผยนาทีฉุกเฉินด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แม้สาวปอจะไม่ได้รับอันตราย แต่ก็มีข่าวว่าคนรู้จักบาดเจ็บเพราะระเบิดในครั้งนี้ด้วย “มีน้องคนหนึ่งที่ปอรู้จักทำงานอยู่ที่ตึกมณียา และถูกสะเก็ดระเบิดที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณแขน ทำให้แขนขาด แต่ด้วยความมีน้ำใจของคนร่วมชาติ เขาพาน้องที่โดนสะเก็ดระเบิดออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วพาไปปฐมพยาบาลช่วยห้ามเลือด ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่พยาบาลมาช่วย ซึ่งถ้าวันนั้นน้องเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยด้วยกันก่อน กว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงเขาอาจเสียเลือดมาก จนทำให้เสียชีวิตเลยก็ได้ อันนี้ถือเป็นน้ำใจของคนร่วมชาติ ที่สามารถต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ไว้ได้อีกเช่นกัน” สาวเปรี้ยวเผยความในใจ
แม้ไม่สามารถย้อนเวลาไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ได้ แต่สาวปอยังส่งแรงใจและกำลังใจให้ประเทศไทย และคนไทยทุกคนเข้มแข็งและพร้อมกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุข และตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท ต้องมี สติและสมาธิ เป็นเครื่องป้องกันภัยให้ตัวเองตลอดเวลา
ส่วน โอ๊ค-อัครรัฐ วรรณรัตน์ เจ้าของร้าน Motif นำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ ซึ่งร้านนี้อยู่ในอาคารเอราวัณ แบงคอก ใกล้ที่เกิดเหตุ ก็โดนผลกระทบอย่างเต็มๆ โดยโอ๊คบอกว่า ยังจดจำเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ลืมเลือน เพราะช่วงที่เกิดเหตุเขากำลังพูดคุยกับลูกน้องอยู่ภายในร้าน หลังสิ้นเสียงระเบิด กระจกด้านข้างของร้านก็แตกละเอียดลงมากองกับพื้น ทุกคนตกใจหันไปมอง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “หม้อแปลงระเบิด” เขาจึงลุกไปชะโงกมองด้านล่างว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้เห็นกองไฟพวยพุ่ง พร้อมกับเศษฝุ่นชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ที่ถูกแรงระเบิดกระเด็น เห็นคนแตกตื่นวิ่งไป-มา ก็ทำให้รู้ว่ามีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
“ตอนระเบิดเป็นช่วงเวลาใกล้จะ1 ทุ่มแล้ว ตอนนั้นรู้สึกเลยว่าพื้นสั่นครับ แต่ไม่แน่ใจต้องหันไปถามน้องข้างๆ ว่า พื้นสั่นจริงหรือคิดไปเอง แล้วเราก็ตั้งสติแจ้งอาคารว่ากระจกที่ร้านแตก แล้วสำรวจข้าวของก็เห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายมาก ก็เลยหาผ้ามาคลุมแล้วปิดร้านให้ลูกน้องรีบกลับบ้านทันที”
หนุ่มโอ๊คยอมรับว่า ที่ผ่านมาทางร้านผ่านมรสุมมามากมาย ทั้งปิดถนน มีชุมชนประท้วง มีระเบิดก็เพียงเล็กน้อย ไม่บาดเจ็บล้มตายมากขนาดนี้ และยังยืนยันว่า คงไม่ย้ายร้านหนีอย่างแน่นอน “ยอมรับว่ากลัวนะครับ ห่วงและกังวลด้วย โดยเฉพาะ ลูกน้องที่เขาต้องเดินทางกลับบ้าน เพราะเขาต้องใช้เส้นทางที่เกิดเหตุ ตอนนี้ก็สั่งๆ กันให้พยายามติดต่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทันที”
แม้จะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาครบ 7 วัน หนุ่มโอ๊คที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ในวันนั้น ยังบอกกับเราอีกว่า อยากให้เป็นแค่ฝัน เพราะคิดถึงผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บตรงนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจและไม่อยากให้ภาพความสูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
รัศมีแรงระเบิดจากจุดเกิดเหตุที่พระพรหม ไปไกลถึงคอนโดหรูในซอยมหาดเล็ก ที่คุณแม่ลูกแฝด 3 “มุก-เพลินจันทร์ รุ่นประพันธ์” อาศัยอยู่
“ตอนนั้นกำลังวุ่นวายกับการทำงานบ้าน ลูกชายทั้ง 3 วิ่งมาหา บอกว่าได้ยินเสียงดัง “บึ้ม” ในใจตอนนั้นคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง แต่เพื่อความสบายใจจึงเช็คกับทาง รปภ. ปรากฏว่าเป็นเสียงระเบิดแน่นอน จากนั้นก็ไม่ให้ลูกดูทีวี และพาเข้านอนเลย แต่ปรากฏว่า คืนนั้นลูกๆ ทั้ง 3 คนฝันร้าย จนต้องมาขอเบียดเพื่อนอนกับคุณพ่อคุณแม่”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น คุณแม่มุกยังบอกอีกว่า แม้จะเศร้าและเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทุกครั้งที่นั่งรถผ่านแยกราชประสงค์ อันเป็นที่ตั้งของพระพรหมเอราวัณ ก็จะบอกให้ลูกๆ ยกมือไหว้และกล่าวว่า “ขอให้ทุกคนไปสบายนะครับ”
ขณะที่ พีอาร์สาว น้ำหวาน-ภาวดี อิศรางกูร ณ อยุธยา เล่าย้อนไปถึงวันเกิดเหตุว่า “เย็นวันนั้น ขณะที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำงานให้เสร็จ ในออฟฟิศย่านตึกอัมรินทร์ราชประสงค์ จู่ๆ ได้ยินเสียงระเบิดดังมากๆ รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนแบบเต็มๆ จนแวบหนึ่งคิดว่าตึกถล่ม มองดูรอบๆ ตัว ฝ้าผนังห้องเริ่มร่วง เศษปูนหลุดกระจายลงมาที่พื้น”
“หวานและลูกน้องรีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ด้านนอก เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยตาตัวเอง ภาพที่เห็นยังจำติดตากับความโกลาหล เสียงร้องของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เต็มเกลื่อนบริเวณพระพรหมและใกล้เคียง ผู้คนแถวนั้นต่างพากันช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเพื่อส่งโรงพยาบาล จริงๆ วันนั้น หวานมีนัดต้องไปทานข้าว ซึ่งต้องเดินผ่านบริเวณนั้นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุพอดี แต่หวานเซฟงานไม่เสร็จซะที เลยออกจากออฟฟิศช้าไปประมาณ 10 นาที”
ทุกวันนี้เวลาขับรถผ่าน หรือว่าเดินผ่านบริเวณที่เกิดเหตุ น้ำหวานยังคงรู้สึกเศร้าใจและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะผ่านตลอด 7-8 ปี ผูกพันกับที่แห่งนี้ จากนี้ไปเวลาจะทำอะไร เธอจะเพิ่มความระมัดระวังให้ตัวเองมากขึ้น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นใกล้ตัวเธอมากจริงๆ