โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ผมเป็นมนุษย์ชอบกิน ผลไม้ ครับ
บางครั้งกินได้ไม่มีเบื่อ ถ้าเล่าให้ฟังแล้วเกรงท่านที่รักจะตกใจ ถึงปริมาณการกินที่ที่บ้านรับประทานกันทีละเป็นกิโล
อย่าเพิ่งทำตาโตคิดว่าอย่างนี้เลี้ยงไม่ได้นะครับ(แฮ่)
เรื่องความชอบผลไม้นี้ผมเองเชื่อว่าคงตกทอดมาจากคุณแม่และคุณยายที่ท่านรับประทานผลไม้เก่ง เพราะคุณยายท่านเป็นคน 4 แผ่นดินอยู่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งสมัยนั้นท่านเป็นข้าหลวงถือหีบหมากตามเสด็จท่านหญิงพระธิดาเสด็จในกรมพระองค์หนึ่งอยู่
ผมเองเชื่อว่าพี่น้องคนไทยด้วยกันอีกมากก็ล้วนชอบผลไม้ไทยและรับประทานผลไม้เก่ง เพราะบ้านเมืองของเราอุดมสมบูรณ์ดีเหลือเกิน ซึ่งการกินผลไม้ที่เหมาะสมได้บ่อยนี้มีส่วนช่วยเราให้ไกลโรค ดังการศึกษาชิ้นเด่นๆ จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์เผยว่าการกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักผลไม้ช่วยให้ไกลจากโรคร้ายอย่างเก๊าท์ได้ นอกจากนั้นผลไม้ก็ยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิตได้
เป็นที่รู้กันดีในหมู่แพทย์ว่าผักผลไม้ช่วยได้ในโรคความดันสูง (DASH diet)
ผลไม้จึงเป็นพระเอกสำคัญในวงการสุขภาพ
ข้อเสียของผลไม้ต่อสุขภาพนั้นมีอยู่น้อยมาก อย่างหนึ่งที่อาจเกิดได้ก็คือ การแพ้ที่ถือเป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกับของกินอย่างอื่น ซึ่งถ้ามีประวัติการแพ้ผลไม้ชนิดใดก็ไม่ควรกินผลไม้นั้น
เรื่องแพ้ผลไม้นี้แม้จะพบไม่บ่อยแต่ก็ควรทราบไว้ว่า ผลไม้ที่เคยพบประวัติการแพ้ได้มี อาทิเช่น แอปเปิล, ลูกพีช, สาลี่, ลูกไหน, พืชตระกูลแตงต่างๆ และผลไม้ที่เดี๋ยวนี้บ้านเราเริ่มหาง่ายคือ กีวี ก็เคยมีรายงานแพ้ไว้ โดยในอาการหนึ่งของแพ้คือ ช่องปากบวม, คันยุบยิบ, ริมฝีปากบวม (Oral allergy syndrome) ซึ่งมักเกิดกับการบริโภคของสดมากกว่าผักผลไม้ที่ผ่านความร้อนจนสุกมาแล้ว
ย้ำอีกทีว่าไม่ได้พบบ่อย ไม่ต้องกังวลไปครับ
ส่วนเรื่องสุขภาพที่ต้องระวัง ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเรื่องของผลไม้ ที่มีประโยชน์มหาศาลแล้ว ก็ย่อมมีด้านที่เป็นโทษอยู่บ้างถ้ารับประทานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเท่าที่รวบรวมมาไม่ใช่เพื่อเป็นการ “ห้ามกิน” นะครับ แต่เพื่อให้เฝ้าระวังไว้อย่างเหมาะสมเท่านั้น
เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของท่านดังต่อไปนี้ครับ
1) ทุเรียน
มีแป้งและน้ำตาลสูงเรียกรวมๆ ว่าดัชนีน้ำตาลที่เข้าขั้น “หวานจัด” จึงขอให้ระวังในท่านที่มีปัญหาเมตาโบลิกซินโดรม,โรคเบาหวาน, ความดันสูง และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการคุมพลังงานในร่างกาย
แต่ทุเรียนลูกเดียวกันนี้ถ้าท่านรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะมีส่วนช่วยสุขภาพลำไส้, ช่วยไล่เชื้อโรค, ระบายท้อง แล้วยังมีส่วนช่วยลดไขมันได้ด้วย
2) กล้วย, ส้ม, สาลี่, มะเฟือง
เป็นราชาแห่ง “โพแทสเซียม” ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ แต่ถ้ามีมากไปในผู้ป่วย “โรคไต” ที่มีการทำงานของไตเสื่อมจะกลายเป็นโทษทันที เพราะโพแทสเซียมล้นมีผลให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ครับ
3) องุ่น, ลูกเกด, ลำไย, แตงโม
เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาล “ฟรุกโตส” สูง ควรระวังในท่านที่มี “เก๊าท์” เพราะมีการศึกษาว่าปริมาณน้ำตาลผลไม้ที่สูงมีส่วนเพิ่มระดับยูริกในเลือด ทำให้เสี่ยงอาการปวดจากโรคเก๊าท์กำเริบ
นอกจากนั้นการดื่มน้ำผลไม้ก็ไม่ควรมากไปด้วยครับ
4) สตรอเบอรี, บลูเบอรี, ราสเบอรี, บีทรู้ท, มะเฟือง, เปลือกส้ม-มะนาว
ลูกไม้เหล่านี้มีสาร “ออกซาเลต” มาก ซึ่งสารนี้มีผลกับสุขภาพไตและทางเดินปัสสาวะ โดยเมื่อเราพาผลไม้เหล่านี้ลงท้องไป ออกซาเลตจะถูกดูดซึมในทางเดินอาหารไปเต็มๆ แล้วไปโผล่อีกทีที่ไต ซึ่งเป็นหัวกรองของเราทำให้ไตทำงานหนัก
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เสี่ยงเกิด “นิ่ว” ที่มาจากออกซาเลตที่ตกผลึกได้
5) แอปเปิ้ล, สับปะรด, ราสเบอรี รวมถึงผลไม้ที่กินทั้งเปลือก
ขอให้บริโภคแต่พอดีในท่านที่มีปัญหาทางเดินอาหาร โดยเฉพาะท้องอืดง่าย, อึดอัดไปด้วยแก๊ส,ลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงผู้สูงวัยที่มีปัญหาย่อยยากหรือเคยผ่าตัดมีความเสี่ยงลำไส้อุดตัน
ผลไม้ในกลุ่มนี้มีกรด, ฟรุกโตส และที่สำคัญคือ “ไฟเบอร์” ที่ต้องย่อยมาก หากได้รับมากไปอาจทำให้ไม่สบายท้องได้
6) สับปะรด, มะนาว, เสาวรส
ไม่ควรรับประทานขณะเป็นแผลในปากหรือท้องว่างในท่านที่มีปัญหาแผลในกระเพาะอาหาร เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบระคายเคืองอักเสบ, แสบท้อง และท้องอืดได้จากกรดเปรี้ยวที่มีอยู่มากในผลไม้กลุ่มนี้
รวมถึงท่านที่นิยมน้ำมะนาวใส่โซดาต้องระวังจะไปกระตุ้นโรคกระเพาะ และกรดไหลย้อนแสบร้อนให้กลับมา
7) กล้วยดิบ
ควรระวังในท่านที่ “ธาตุแข็ง” มีปัญหาท้องผูกง่าย เพราะกล้วยดิบมีปริมาณของแป้งสูง การที่ได้แป้งมากแต่เส้นใยน้อยมีส่วนทำให้ย่อยยาก (Amylase-resistant starch) ถ่ายลำบากขึ้น
นอกจากนั้นในกล้วยดิบยังมีสารฝาด “แทนนิน” ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่มีในใบชา จึงรบกวนทางเดินอาหารและลำไส้มีปัญหาท้องผูกได้มากขึ้น
8) มะขาม
การรับประทานมะขามตามด้วยน้ำเปล่าเปรียบเสมือนยาถ่ายธรรมชาติ เช่นเดียวกับผลไม้อย่างลูกพรุนและส้มแขก
ดังนั้นในท่านที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวนค่อนไปทางระบายง่ายถ่ายคล่องจนเกินไปหรือท้องเสียอยู่ จึงควรเลี่ยงผลไม้ที่มีสารระบายลำไส้เหล่านี้ไปชั่วคราวก่อนครับ
9) ทุเรียนเทศ
ขอเล่าอีกสักหนเพราะคนรักสุขภาพสนใจกันมาก จากกระแสโซเชียลที่เชี่ยวกรากนี้ชี้ว่าทุเรียนเทศมีประโยชน์ ซึ่งเป็นดังนั้นเพราะมันมีสารดีอยู่ในตัวมันมาก
ทว่าสิ่งที่ต้องรู้คู่กับประโยชน์คือ โทษหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้คือ พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ที่มีชื่อน่ารักว่า “แอนโนนาซิน” ที่มีรายงานพบอาการเคลื่อนไหวผิดปกติในผู้บริโภคมันได้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ขอฝากไว้เผื่อให้ท่านผู้เป็นมนุษย์ชอบกินผลไม้ เพราะถึงอย่างไรก็ขอยืนยันว่าผลไม้ก็ยังทรงคุณค่าอุดมไปด้วยข้อดีมหาศาลต่อสุขภาพของเรา
ดังนั้นการกินผลไม้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และควรจะรับประทานอย่างสม่ำเสมอที่สุดด้วย เพราะมันช่วยระบบในร่างกายเราแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะสมอง,หัวใจ,หลอดเลือด, ทางเดินอาหาร, ภูมิคุ้มกัน ฯลฯ
ส่วนการรู้ทันว่าต้องระวังในโรคใดบ้างก็ถือเป็นเรื่อง “รู้ไว้ใช่ว่า” จะได้เลือกสิ่งที่เหมาะที่สุดกับสุขภาพของเราได้
ให้ท่านได้ประโยชน์แบบเต็มๆ คุ้มค่าที่สุดครับ
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
ผมเป็นมนุษย์ชอบกิน ผลไม้ ครับ
บางครั้งกินได้ไม่มีเบื่อ ถ้าเล่าให้ฟังแล้วเกรงท่านที่รักจะตกใจ ถึงปริมาณการกินที่ที่บ้านรับประทานกันทีละเป็นกิโล
อย่าเพิ่งทำตาโตคิดว่าอย่างนี้เลี้ยงไม่ได้นะครับ(แฮ่)
เรื่องความชอบผลไม้นี้ผมเองเชื่อว่าคงตกทอดมาจากคุณแม่และคุณยายที่ท่านรับประทานผลไม้เก่ง เพราะคุณยายท่านเป็นคน 4 แผ่นดินอยู่มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งสมัยนั้นท่านเป็นข้าหลวงถือหีบหมากตามเสด็จท่านหญิงพระธิดาเสด็จในกรมพระองค์หนึ่งอยู่
ผมเองเชื่อว่าพี่น้องคนไทยด้วยกันอีกมากก็ล้วนชอบผลไม้ไทยและรับประทานผลไม้เก่ง เพราะบ้านเมืองของเราอุดมสมบูรณ์ดีเหลือเกิน ซึ่งการกินผลไม้ที่เหมาะสมได้บ่อยนี้มีส่วนช่วยเราให้ไกลโรค ดังการศึกษาชิ้นเด่นๆ จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์เผยว่าการกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักผลไม้ช่วยให้ไกลจากโรคร้ายอย่างเก๊าท์ได้ นอกจากนั้นผลไม้ก็ยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิตได้
เป็นที่รู้กันดีในหมู่แพทย์ว่าผักผลไม้ช่วยได้ในโรคความดันสูง (DASH diet)
ผลไม้จึงเป็นพระเอกสำคัญในวงการสุขภาพ
ข้อเสียของผลไม้ต่อสุขภาพนั้นมีอยู่น้อยมาก อย่างหนึ่งที่อาจเกิดได้ก็คือ การแพ้ที่ถือเป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกับของกินอย่างอื่น ซึ่งถ้ามีประวัติการแพ้ผลไม้ชนิดใดก็ไม่ควรกินผลไม้นั้น
เรื่องแพ้ผลไม้นี้แม้จะพบไม่บ่อยแต่ก็ควรทราบไว้ว่า ผลไม้ที่เคยพบประวัติการแพ้ได้มี อาทิเช่น แอปเปิล, ลูกพีช, สาลี่, ลูกไหน, พืชตระกูลแตงต่างๆ และผลไม้ที่เดี๋ยวนี้บ้านเราเริ่มหาง่ายคือ กีวี ก็เคยมีรายงานแพ้ไว้ โดยในอาการหนึ่งของแพ้คือ ช่องปากบวม, คันยุบยิบ, ริมฝีปากบวม (Oral allergy syndrome) ซึ่งมักเกิดกับการบริโภคของสดมากกว่าผักผลไม้ที่ผ่านความร้อนจนสุกมาแล้ว
ย้ำอีกทีว่าไม่ได้พบบ่อย ไม่ต้องกังวลไปครับ
ส่วนเรื่องสุขภาพที่ต้องระวัง ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเรื่องของผลไม้ ที่มีประโยชน์มหาศาลแล้ว ก็ย่อมมีด้านที่เป็นโทษอยู่บ้างถ้ารับประทานอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเท่าที่รวบรวมมาไม่ใช่เพื่อเป็นการ “ห้ามกิน” นะครับ แต่เพื่อให้เฝ้าระวังไว้อย่างเหมาะสมเท่านั้น
เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของท่านดังต่อไปนี้ครับ
1) ทุเรียน
มีแป้งและน้ำตาลสูงเรียกรวมๆ ว่าดัชนีน้ำตาลที่เข้าขั้น “หวานจัด” จึงขอให้ระวังในท่านที่มีปัญหาเมตาโบลิกซินโดรม,โรคเบาหวาน, ความดันสูง และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการคุมพลังงานในร่างกาย
แต่ทุเรียนลูกเดียวกันนี้ถ้าท่านรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะมีส่วนช่วยสุขภาพลำไส้, ช่วยไล่เชื้อโรค, ระบายท้อง แล้วยังมีส่วนช่วยลดไขมันได้ด้วย
2) กล้วย, ส้ม, สาลี่, มะเฟือง
เป็นราชาแห่ง “โพแทสเซียม” ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ แต่ถ้ามีมากไปในผู้ป่วย “โรคไต” ที่มีการทำงานของไตเสื่อมจะกลายเป็นโทษทันที เพราะโพแทสเซียมล้นมีผลให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ครับ
3) องุ่น, ลูกเกด, ลำไย, แตงโม
เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาล “ฟรุกโตส” สูง ควรระวังในท่านที่มี “เก๊าท์” เพราะมีการศึกษาว่าปริมาณน้ำตาลผลไม้ที่สูงมีส่วนเพิ่มระดับยูริกในเลือด ทำให้เสี่ยงอาการปวดจากโรคเก๊าท์กำเริบ
นอกจากนั้นการดื่มน้ำผลไม้ก็ไม่ควรมากไปด้วยครับ
4) สตรอเบอรี, บลูเบอรี, ราสเบอรี, บีทรู้ท, มะเฟือง, เปลือกส้ม-มะนาว
ลูกไม้เหล่านี้มีสาร “ออกซาเลต” มาก ซึ่งสารนี้มีผลกับสุขภาพไตและทางเดินปัสสาวะ โดยเมื่อเราพาผลไม้เหล่านี้ลงท้องไป ออกซาเลตจะถูกดูดซึมในทางเดินอาหารไปเต็มๆ แล้วไปโผล่อีกทีที่ไต ซึ่งเป็นหัวกรองของเราทำให้ไตทำงานหนัก
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เสี่ยงเกิด “นิ่ว” ที่มาจากออกซาเลตที่ตกผลึกได้
5) แอปเปิ้ล, สับปะรด, ราสเบอรี รวมถึงผลไม้ที่กินทั้งเปลือก
ขอให้บริโภคแต่พอดีในท่านที่มีปัญหาทางเดินอาหาร โดยเฉพาะท้องอืดง่าย, อึดอัดไปด้วยแก๊ส,ลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงผู้สูงวัยที่มีปัญหาย่อยยากหรือเคยผ่าตัดมีความเสี่ยงลำไส้อุดตัน
ผลไม้ในกลุ่มนี้มีกรด, ฟรุกโตส และที่สำคัญคือ “ไฟเบอร์” ที่ต้องย่อยมาก หากได้รับมากไปอาจทำให้ไม่สบายท้องได้
6) สับปะรด, มะนาว, เสาวรส
ไม่ควรรับประทานขณะเป็นแผลในปากหรือท้องว่างในท่านที่มีปัญหาแผลในกระเพาะอาหาร เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบระคายเคืองอักเสบ, แสบท้อง และท้องอืดได้จากกรดเปรี้ยวที่มีอยู่มากในผลไม้กลุ่มนี้
รวมถึงท่านที่นิยมน้ำมะนาวใส่โซดาต้องระวังจะไปกระตุ้นโรคกระเพาะ และกรดไหลย้อนแสบร้อนให้กลับมา
7) กล้วยดิบ
ควรระวังในท่านที่ “ธาตุแข็ง” มีปัญหาท้องผูกง่าย เพราะกล้วยดิบมีปริมาณของแป้งสูง การที่ได้แป้งมากแต่เส้นใยน้อยมีส่วนทำให้ย่อยยาก (Amylase-resistant starch) ถ่ายลำบากขึ้น
นอกจากนั้นในกล้วยดิบยังมีสารฝาด “แทนนิน” ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่มีในใบชา จึงรบกวนทางเดินอาหารและลำไส้มีปัญหาท้องผูกได้มากขึ้น
8) มะขาม
การรับประทานมะขามตามด้วยน้ำเปล่าเปรียบเสมือนยาถ่ายธรรมชาติ เช่นเดียวกับผลไม้อย่างลูกพรุนและส้มแขก
ดังนั้นในท่านที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวนค่อนไปทางระบายง่ายถ่ายคล่องจนเกินไปหรือท้องเสียอยู่ จึงควรเลี่ยงผลไม้ที่มีสารระบายลำไส้เหล่านี้ไปชั่วคราวก่อนครับ
9) ทุเรียนเทศ
ขอเล่าอีกสักหนเพราะคนรักสุขภาพสนใจกันมาก จากกระแสโซเชียลที่เชี่ยวกรากนี้ชี้ว่าทุเรียนเทศมีประโยชน์ ซึ่งเป็นดังนั้นเพราะมันมีสารดีอยู่ในตัวมันมาก
ทว่าสิ่งที่ต้องรู้คู่กับประโยชน์คือ โทษหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้คือ พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ที่มีชื่อน่ารักว่า “แอนโนนาซิน” ที่มีรายงานพบอาการเคลื่อนไหวผิดปกติในผู้บริโภคมันได้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ขอฝากไว้เผื่อให้ท่านผู้เป็นมนุษย์ชอบกินผลไม้ เพราะถึงอย่างไรก็ขอยืนยันว่าผลไม้ก็ยังทรงคุณค่าอุดมไปด้วยข้อดีมหาศาลต่อสุขภาพของเรา
ดังนั้นการกินผลไม้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และควรจะรับประทานอย่างสม่ำเสมอที่สุดด้วย เพราะมันช่วยระบบในร่างกายเราแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะสมอง,หัวใจ,หลอดเลือด, ทางเดินอาหาร, ภูมิคุ้มกัน ฯลฯ
ส่วนการรู้ทันว่าต้องระวังในโรคใดบ้างก็ถือเป็นเรื่อง “รู้ไว้ใช่ว่า” จะได้เลือกสิ่งที่เหมาะที่สุดกับสุขภาพของเราได้
ให้ท่านได้ประโยชน์แบบเต็มๆ คุ้มค่าที่สุดครับ
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net