ทุกครั้งที่ปรากฏตัวในงานสังคม ผู้หญิงคนนี้ ซูซี่-หทัยเทพ (ศิริจรรยา) ธีระธาดา จะมาในชุดห่มเพชรเต็มตัวเสมอ หลายๆ คนจะรู้จักเธอในฐานะไฮโซสุดซ่าที่ร่ำรวยมหาศาล ขนาดแต่งลูกสะใภ้เวียดนาม เธอทุ่มเงินไปร้อยกว่าล้านบาท หรือแค่อยากเรียนศาสตร์ตบหน้าให้เด้ง เธอถึงกับยอมควักเงินถึง 20 ล้านบาทมาแล้ว
แต่ใครจะรู้บ้างว่า อีกมุมหนึ่งของผู้หญิงเก่งคนนี้ ก็กล้าควักเงินไม่อั้นหลายร้อยล้านเช่นกัน เพื่อทำบุญทำทานมาตั้งแต่เด็ก เส้นทางบุญของซูซี่จึงน่าสนใจพอๆ กับชีวิตที่โลดแล่นอยู่ในขณะนี้
ซูซี่-หทัยเทพ เซเลบริตีสาวที่คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นและความงามคนนี้ เปิดบันทึกความหลังครั้งวัยเยาว์ของเธอให้เราฟัง ด้วยความเป็นกันเองว่า เธอเป็นบุตรสาวของ ร้อยโทมั่น ศิริจรรยา (น้องหลวงศรีรัตนากร) กับ คุณแม่ประวัติ เป็นลูกคนที่ 8 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 10 คน และเป็นพี่สาวของอดีตพระเอกดัง นิรุตติ์ ศิริจรรยา ปัจจุบันใช้ชีวิตคู่กับหนุ่มที่มีอายุห่างกันถึง 24 ปี ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล
เส้นทางบุญของ “ซูซี่” แม้จะเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ที่มีโอกาสได้ติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปทำบุญในที่ต่างๆ แต่ได้มีโอกาสทำอย่างจริงจังด้วยเงินของตัวเอง ก็ในช่วงปี 2513 หลังจบปริญญาโทรัฐศาสตร์การทูต ที่ George Washington University สหรัฐอเมริกา และได้ทำงานที่ World Bank พร้อมเปิดร้านอาหารไทย SAFFRON และร้านอาหารฝรั่ง T.T.REYNOLD ในรัฐเวอร์จิเนีย และที่นั่น เธอได้สมรสกับ จิรทัต ธีระธาดา มีบุตร 2 คน คือ ดุ๊ก-ภารไดย และ ดอน-ภานุทัศน์ ธีระธาดา
“ตอนนั้นทำงานหนักนะคะ แต่ถ้าว่างก็จะพาลูกๆ ไปทำบุญที่วัดไทยที่นั่น ชอบสมทบทุนสร้างวัด กำแพงวัด ถวายค่าน้ำ-ค่าไฟ ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ถวายพระ ให้ทุนการศึกษาเด็ก เวลาที่วัดมีงานก็จะทำขนมไปขาย เพื่อนำเงินเข้าวัด ถึงวันคริสต์มาสก็ทำอาหาร ซื้อเครื่องกันหนาว อย่าง หมวก ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ จัดเป็นชุด ให้พวกไม่มีบ้านอาศัย ทำแบบนี้ทุกปีจนถึงเวลากลับไทย”
ซูซี่เป็นผู้หญิงเก่งและแกร่งมาก ความกล้าได้กล้าเสียนำพาให้เธอกลายมาเป็นตัวแทนค้าเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน เรือรบ และหัวขุดเจาะอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ช่วยสร้างฐานะให้ซูซี่ร่ำรวยมหาศาล รวมทั้งเป็นตัวแทนนำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจาก Bacelona สเปน พร้อมทั้งเปิดร้านทำผมที่ โรงแรม Hyatt Erawn แล้ว “ซูซี่” ยังทำธุรกิจ Investor ให้คำแนะนำวางแผนการลงทุน ให้กับผู้ลงทุนทำธุรกิจกับทางราชการอีกด้วย “เรื่องงานไม่นานก็เข้าที่เข้าทางค่ะ” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางตามที่ตั้งใจแล้ว ซูซี่ก็เริ่มเดินสายทำบุญของเธอต่อไป วัดแรกที่ทำให้อย่างจริงจังคือ วัดทุ่งเศรษฐี บางนา ซึ่งเธอไปพบและรู้จัก “หลวงพ่อเณร” เจ้าอาวาส ก็รู้สึกศรัทธา เธอเล่าว่า แต่เดิมวัดยังไม่มีอะไรเลย จึงตัดสินใจสร้างวิหารถวาย เป็นวิหารแรกของวัดนี้ ต่อจากนั้นหลวงพ่อเณรจะสร้างพระอุโบสถ เธอก็ช่วยสร้างพร้อมตกแต่งภายในและภายนอกพระอุโบสถ
วัดรอดประดิษฐ์ กุยบุรี จ.ประจวบฯ ก็เป็นอีกวัดที่อุโบสถเพิ่งเริ่มสร้าง ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ ไม่มีใครสร้างต่อ “ภูธฤทธิ์” ผู้เป็นสามีเห็นว่า “ซูซี่” สร้างโน่นสร้างนี่มามากแล้ว ทำไมไม่สร้างวัดนี้ให้จบเล่า! เมื่อได้รู้ได้เห็น เธอจึงสร้างพระอุโบสถ สร้างพระประธาน สร้างพระวิหาร กำแพงโบสถ์ “พอเสร็จแล้วได้เห็นชาวบ้านไปกราบไหว้พระที่นั่น แล้วมีความสุขมาก มันเป็นความสุขในแบบที่เราอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ค่ะ”
นอกเหนือจากการทำบุญเพื่อให้ใจสบายแล้ว อีกสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในตัวสาวเปรี้ยวที่มั่นใจในตัวเองสูง อย่าง “ซูซี่” คือ ความเชื่อเรื่องบุญ-กรรม “การที่คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน พี่เชื่อว่ามาจากชาติก่อนเราทำอะไรมาบ้าง ทุกอย่างเห็นผลในชาตินี้ พี่เองก็เจอกับตัวเองมาแล้ว เมื่อ 30 ปีก่อนขับรถไปพัทยา รถชนกับสิบล้อ รถพังทั้งคันต้องงัดร่างพี่ออกมา ปรากฏกระดูกไม่หักสักชิ้น มีแผลเล็กน้อยเท่านั้น ตรงนี้พี่เชื่อว่าบุญที่พี่สร้างสมมาช่วยให้พี่รอดตาย แต่เชื่อมั้ยหลังจากนั้น ทำอะไรๆ ก็ติดขัดไม่ประสบความสำเร็จเลย ตรงนี้เชื่อว่าบุญที่ทำมาหมดไปแล้ว แต่พี่ก็ไม่เคยถอดใจจากการทำบุญ ยังคงทำมากทำน้อยเรื่อยมา” ซูซี่เล่า
หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยกับเราต่อว่า บุญเปรียบเหมือนน้ำที่อยู่ในแก้ว ถ้าเราดื่มน้ำจากแก้วโดยไม่เติมน้ำ น้ำก็จะเหือดหายไป บุญที่มีก็หมด กรรมที่เราเคยมีในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติก็จะตามทัน “พี่สอนตัวเองและลูกเสมอ ให้เปรียบเทียบความสุขที่เราได้รับ กับความทุกข์ยากของผู้อื่น สอนให้ช่วยคนที่เดือดร้อนทุกข์ยากลำบาก คนที่ด้อยโอกาสกว่า เท่าที่เรามีความสามารถที่จะทำได้ ก็โชคดีที่ลูกพี่ทำตามที่สอนมาตลอด”
สำหรับการทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร แต่ละแห่งนั้น “ซูซี่” ยอมรับว่าใช้เงินจำนวนมาก แต่นั่นหมายถึงว่า ไม่มีผลกระทบต่อกระเป๋าเงินของเธอ โดยเซเลบริตีสาวสองพันปีคนนี้บอกว่า เมื่อจะทำอะไรก็จะดูงบของตัวเองให้แน่ใจว่า ไม่ให้ตัวแองมีความเดือดร้อน “เสียงรอบข้างใครจะว่าอย่างไรพี่ไม่ทราบนะ เพราะเราก็ไม่ได้ยิน พี่คิดว่าถ้าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดี พี่ไม่สนใจคำพูดจากใครทั้งนั้นค่ะ”
คนไม่เห็นแต่ฟ้าเห็น ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ในการทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทนของ “ซูซี่” หากนับเป็นจำนวนเงิน เมื่อนำมารวมกันก็ไม่ต่ำกว่า 300-400 ล้านบาท นอกจากความสุขสบายใจที่ได้รับแล้ว สิ่งที่ “ซูซี่” บอกว่าเหนือความคาดหมายคือ มีหนังสือจากสำนักพระราชวังมาถึงเธอ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นที่ 1 ชื่อ “ปฐมดิเรกคุณาภรณ์” ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
“เป็นความปลาบปลื้มใจที่สุดค่ะ ไม่คิด ไม่ฝัน และไม่เคยหวังว่า จะได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ท่านก็ทรงงานหนักอยู่แล้ว เราเป็นแค่ประชาชนตัวเล็กๆ พอได้รับเครื่องราชฯ ที่เป็นมงคลสูงสุดตรงนี้ ทำให้พี่มีพลังและกำลังใจเพิ่มมากขึ้นค่ะ”
และด้วยเวลาที่มีจำกัด...ก่อนจากกัน ซูซี่-หทัยเทพ ยังฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ว่า อยากให้ใส่ใจเรื่องการทำบุญ หรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องมีเงิน แค่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการจิตอาสา หรือมูลนิธิต่างๆ ที่ช่วยเหลือสังคมก็พอแล้ว ได้บุญแล้ว
“ถ้าเด็กๆ ได้ทำตรงนี้ เขาจะได้รู้สึกถึงความอิ่มใจ ได้ทราบคำที่ว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งตัดใบยิ่งผลิดอก แต่ไม่ว่าทำอะไรอย่าหวังผลตอบแทน ให้ทำด้วยใจอย่างแท้จริง ทุกท่านก็จะดื่มด่ำในสิ่งที่ได้ทำ”