>>หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเขาในฐานะอดีตนักการเมืองหนุ่มสายเลือดใหม่ แต่ก็มีบางคนที่คุ้นเคยกับนามสกุลของเขาในฐานะพี่ชายของอดีตนักแสดงพระเอกทางช่อง 7 สี แต่วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักตัวตนที่แท้จริงของหนุ่มเรียบเท่คนนี้กัน “เอ้-ภิมุข สิมะโรจน์” ปัจจุบันเป็นผู้บริหารบริษัทน้ำมัน SUSCO ที่วันนี้เปิดบ้านต้อนรับ Celeb Online ให้มาเยือนพร้อมพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตการทำงานและไลฟ์สไตล์สุดโปรด รวมไปถึงเปิดตัว 3 สาวสุดที่รักในดวงใจให้ได้ทำความรู้จักกัน
ตอนนี้ “คุณเอ้-ภิมุข สิมะโรจน์” รั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท SUSCO จำกัด (มหาชน) บริษัทเกี่ยวกับน้ำมัน ที่มีกิจการปั๊มน้ำมันทั่วประเทศกว่า 200 แห่ง ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวที่สานต่อมาจากรุ่นคุณพ่อ แต่ก่อนหน้านี้เขาได้ผ่านประสบการณ์การทำงานมาหลากหลาย ตามสไตล์ผู้ที่ไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ ในช่วงชีวิตหลุดลอยไป
“ที่จริงแล้วความฝันของผมตั้งแต่เด็กคือการทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะงานการเมือง อาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมได้เห็นคุณพ่อทำงานด้านการเมืองมาก่อน จึงเกิดซึมซับ แต่พอดีช่วงที่ผมเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ เป็นช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจน้ำมัน SUSCO ของครอบครัวผม ผมจึงต้องรีบเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เรียกว่าทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องทุกคนต้องเข้ามาช่วยกันกู้สถานการณ์ ทำงานหนักกันอยู่เป็นปี กว่าที่จะพาบริษัทพ้นวิกฤตกันมาได้
ตอนนั้นความสำคัญในเรื่องธุรกิจครอบครัวมันยิ่งใหญ่กว่าความฝันของผมจริงๆ ดังนั้น ความฝันที่อยากจะเข้าไปทำงานทางด้านการเมืองที่ผมตั้งใจไว้ต้องพับเก็บไว้ก่อน แต่พอหลังจากทุกอย่างเริ่มอยู่ตัว ราวปี 2540 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ทางการเมือง จึงเป็นจังหวะที่ดีเปิดกว้างให้ผมได้เข้าไปสู่เส้นทางการเมืองดังที่ตั้งใจไว้”
จังหวะชีวิตพลิกผัน
คล้ายกับว่าฟ้าลิขิตมา เพราะชีวิตคุณเอ้มักจะมีโอกาสดีๆ เข้ามาในจังหวะชีวิตได้อย่างพอดิบพอดี เพราะหลังจากทำงานด้านการเมืองอยู่หลายปี ด้วยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. 2 สมัย จนประเทศไทยมาประสบความวุ่นวายทางการเมืองอีกครั้ง เขาจึงขอเบรกเพื่อไม่ให้สถานการณ์นั้นบานปลายกันไปใหญ่
“การเมืองช่วงนั้นมันอยู่ในช่วงที่มีความขัดแย้งกันสูงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในประเทศไทย ผมอยู่วงในจึงมองเห็นแล้วว่าสถานการณ์ทางการเมืองไทยไม่น่าจะจบลงในระยะเวลาอันสั้น แต่คนนอกอาจจะมองว่าอีกไม่นานสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ ก็คงจะเรียบร้อยในเร็ววัน แต่ในความเป็นจริง เวลาผ่านมา 10 กว่าปีแล้วสถานการณ์ทางการการเมืองในประเทศไทยก็ยังไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผมมองว่าการเมืองแบบนั้นมันไม่ตรงกับความตั้งใจของผม ที่ต้องการให้ประเทศไทยสงบสุขและเดินหน้าไปได้ แถมช่วงนั้นภรรยาผมคลอดลูกคนเล็กพอดี จึงทำให้ผมตัดสินใจเร็วขึ้นว่าเราควรออกจากวงล้อมวิกฤตนั้น แล้วหันกลับมาบริหารธุรกิจและดูแลครอบครัวจะดีกว่า”
เมื่อกลับออกจากแวดวงการเมือง มาช่วยกิจการของครอบครัวอยู่ได้ไม่นาน คุณภิมุขก็ได้รับการเชื้อเชิญจากผู้ใหญ่ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เข้าไปช่วยงานอีกครั้ง
“ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติอยู่หลายปี และเป็นผู้อำนวยการสวนสัตว์อยู่ปีกว่า เป็นช่วงชีวิตการทำงานในกระทรวงที่สนุกมาก ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะประสบพบเจอมาทุกอย่าง ไม่ว่าจะต้องขึ้นเฮลิปคอปเตอร์ไปตรวจงานด่วนในบางพื้นที่ที่เกิดปัญหา บางครั้งต้องเดินป่า ขี่ข้าง หรืออุ้มแพนด้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของสวนสัตว์ ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติของชีวิตที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แถมยังมีโอกาสทำงานที่กระทรวงในช่วงที่น้ำท่วมใหญ่พอดี วันนั้นต้องช่วยเหลือประชาชนให้เอารถไปจอดที่สวนสัตว์ เพื่อหลบหนีน้ำ แต่รถตัวเองกลับถูกน้ำท่วมก็มี แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะผมถือว่าได้ช่วยเหลือสังคมส่วนใหญ่
ตอนนั้นผมไปกินนอนอยู่ที่เขาดิน ส่วนครอบครัวผมหนีไปอยู่ที่หัวหินกัน เพราะผมและทีมงานต้องเตรียมย้ายสัตว์ รวมทั้งตระเวนออกไปดูแลประชากรสัตว์ เพราะสัตว์ไม่เหมือนคนที่จะย้ายไปไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เราต้องดูแลเขา อย่างเสือ สิงโต เราต้องทำเตียง 2 ชั้นให้เขาอยู่ เราต้องเผื่อให้เขาอยู่ชั้น 2 ก่อน ทำเนินเตรียมไว ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าน้ำจะมาหรือไม่มาแน่
แต่พอน้ำไม่ท่วมเราก็ต้องไปเปิดองค์กรให้ความช่วยเหลือสัตว์อีก ช่วยกันคนละไม้ละมือ เพราะความจริงแล้วยังมีสัตว์ทั่วประเทศที่คนไม่รู้ข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น บ้านหลังหนึ่งที่แจ้งวัฒนะ โทรศัพท์มาแจ้งว่าเขาเลี้ยงหมีควายอยู่ตัวหนึ่ง ปรากฏว่าน้ำมา น้ำจะถึงแคร่ที่เขาอยู่แล้ว โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากเรา ผมก็รุดไปที่บ้านเขาพร้อมกับทีมงาน ครั้งแรกที่ไปกรงเล็กกว่าตัว ต้องกลับมาเอากรงใหม่ กว่าจะดึงขึ้นไปได้ เราต้องยิงยาสลบ ดึงขึ้นรถ กว่าจะเสร็จน้ำขึ้นมาถึงแคร่พอดี อีกเคสแถวกิ่งแก้ว บางนา ที่บ้านเลี้ยงกวาง 10 กว่าตัวในสวน เราก็ตกใจ ว่าทำไมถึงเลี้ยงกวางถึง 10 ตัวในบ้านได้ แต่เราก็ต้องไปช่วย บ้างก็มีข่าวประหลาดออกมาว่าเห็นงูกรีนแมมบ้าในเมืองไทย จนสร้างความตื่นกลัวแก่ประชาชนไปใหญ่ ช่วงนั้นจึงถือเป็นที่สุดของช่วงชีวิตการทำงาน”
ยักษ์เล็กในธุรกิจปั๊มน้ำมัน
เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้ง ขณะเดียวกันบริษัท SUSCO ได้เข้าไป Take Over ธุรกิจปั๊มน้ำมันของ Petronas ในเมืองไทย ชีวิตคุณเอ้จึงหันเหจากเส้นทางการเมืองกลับเข้ามาบริหารกิจการน้ำมันของครอบครัวอย่างเต็มตัวอีกครั้ง
“ต้องบอกว่ามันคือจังหวะชีวิตที่ลงตัวอย่างบังเอิญอีกครั้ง เพราะทางบริษัท SUSCO เองมีแต่ปั๊มน้ำมันในต่างจังหวัด และถนนสายรอง กำลังขยายหาปั๊มน้ำมันเพิ่มเติมในเมืองอยู่พอดี แต่มันเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะการหาทำเลสร้างปั๊มในเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พอดีทาง Petronas เขามีแต่ปั๊มที่อยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมือง กำลังหาใครมาซื้อกิจการต่อพอดี ความต้องการของทั้งสองฝ่ายตรงกันพอดี”
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา คุณเอ้ได้ทำหน้าที่เป็นหัวเรือหลักในการย้ายโอนธุรกิจปั๊มหลายสิบแห่งของ Petronas มาสู่การบริหารของ SUSCO ซึ่งกำลังจะเสร็จสิ้นลงในช่วงกลางปีนี้ นับจากนั้นไปจึงจะเป็นการเดินหน้าพัฒนากิจการน้ำมันของ SUSCO ให้มั่นคงยิ่งขึ้น
“การทำงานของเรา มันถูกบังคับด้วยโครงสร้างให้บริหารยาก เราอยู่ในธุรกิจที่มีบริษัทใหญ่ระดับประเทศอย่าง ปตท. ครองเจ้าตลาดอยู่ SUSCO ถือเป็นแค่ส่วนเสริมเล็กๆ จะไปแข่งขันกับเขามันเป็นไปได้ยาก อีกอย่างน้ำมันเป็นสินค้าถูกควบคุมด้านราคา ดังนั้น การแข่งขันจึงต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ แทนด้วย
จุดเด่นของ SUSCO อยู่ที่ทำเล เพราะเราอยู่ในธุรกิจนี้มานานเกือบ 30 ปีแล้ว เข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับชุมชนที่สุด แต่จะไม่เข้าไปแข่งขันบนถนนเส้นใหญ่ หรือพวก High Way ที่มีปั๊มขนาดใหญ่อยู่แล้ว แต่เราจะมาเสริมความต้องการตามแหล่งพื้นที่ชุมชนและถนนสายรอง ซึ่งยังไม่มีคู่แข่ง และตอนนี้ก็ได้เพิ่มเติมด้วยปั๊มเก่าของ Petronas ที่อยู่ตามทำเลงามใจกลางกรุงเข้ามาช่วยเสริมอีกด้วย”
อนาคตงานที่ใฝ่ฝัน
หลังจากที่มีประสบการณ์การทำงานหลายอย่าง ได้ลิ้มลองงานที่ตั้งใจและใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กอยู่หลายปี ก่อนจะกลับมาดูแลธุรกิจครอบครัวอย่างเช่นในปัจจุบัน เมื่อ Celeb Online ถามว่า จะกลับเข้าไปสานต่องานเพื่อสังคมหรือด้านการเมืองเหมือนอย่างที่วาดฝันไว้อีกหรือไม่ คุณภิมุขตอบว่า
“ผมไม่ปิดกั้นโอกาสนะครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ทางการเมือง ณ เวลานั้นเป็นอย่างไร เดินไปทิศทางไหน ไปทางเดียวกับที่เราตั้งใจไว้หรือเปล่า คือถ้าเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าได้ ผมก็พร้อมเสมอที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม
ไม่จำเป็นต้องอยู่ในฐานะผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. เท่านั้น แต่รวมถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองด้านต่างๆ ผมยินดีทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการทะเลาะกัน หรือต้องไปนั่งด่าทอ เถียงอย่างไม่มีจุดจบ แบ่งฝักแบ่งฝ่ายมันคงไม่ใช่แนวทางที่ดีในการทำงานด้านการเมือง เพราะการทำงานการเมืองมันคือการทำงานเพื่อสังคม เพื่อบ้านเพื่อเมือง ให้มีความสงบสุข ร่มเย็น ทำให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง แต่มันยากกว่าการทำธุรกิจส่วนตัวหลายเท่านักที่จะทำให้มันราบรื่นเช่นนั้นได้
เวลาที่คุณทำธุรกิจ สิ่งที่คุณรับผิดชอบ และผลกระทบที่ได้รับมันก็แค่ตัวเรา ครอบครัว บริษัทเรา แต่งานการเมืองหรืองานสาธารณะมันไม่ใช่แค่นั้น มันกระทบเป็นวงกว้างกว่า ความรับผิดชอบหนักกว่าหลายเท่า คนที่มาทำตรงนี้ต้องตั้งใจทำให้ดี ทำให้เต็มที่ที่สุด
ที่สำคัญอย่าไปคิดว่า เราเป็นฮีโร่ เรามีอำนาจ ให้คิดแค่ว่าเราเข้าไปช่วยเป็นส่วนหนึ่ง อย่าไปยึดติด ทำอะไรสำเร็จมันไม่ใช่เพราะเราคนเดียว เราไม่ได้มีพลังขนาดนั้น ห้ามคิดว่าพื้นที่นี้ของฉัน กระทรวงนี้ของฉัน ใครก็ห้ามยุ่ง อันนี้มันไม่ใช่ อย่างตอนผมเป็นผู้แทน ผมไม่เคยพูดนะว่า “ผมเป็นเจ้าของพื้นที่” พี้นที่มันไม่มีใครเป็นเจ้าของได้ มันอยู่ของมันมานานแล้ว เราแค่เป็นผู้แทนช่วยเป็นปากเป็นเสียง เรียกร้องสิทธิ์ให้คนในพื้นที่เท่านั้น อย่าไปสำคัญตัวผิด
ถ้าเราคิดว่าเราเป็นเจ้าของพื้นที่ มันคือการยึดติดว่าของเรา คิดซะว่าถ้ามีโอกาสได้รับหน้าที่ก็ทำให้เต็มที่เพื่อบ้านเมือง เพื่อท้องถิ่น เราแค่เข้าไปช่วย หมดจากเราเดี๋ยวก็มีคนอื่นมารับหน้าที่ต่อ อย่าไปคิดว่าต้องเป็นของเราไปตลอด พื้นที่ฉัน แพ้ไม่ได้ ถ้าหมดวาระแล้วก็ต้องส่งคนนั้นคนนี้มาจับจองต่อ อันนั้นมันไม่ใช่แล้ว”
ครอบครัวแสนสุข
หลังจากพูดคุยกับคุณเอ้มาพักใหญ่ ก็ถึงเวลาแนะนำให้รู้จักกับอีก 3 สาวสุดสวยของบ้าน คือ คุณอลิ หรือ อลิสา คุณแม่คนสวยที่ยังสาวและสดใสประหนึ่งเป็นพี่สาวคนโต กับ 2 พี่น้องวัยซน น้องเอแคล์-ภิรดา พี่สาวร่างสูงโปร่งวัย 12 ปี กับน้องแพนเค้ก-อลิณฎา ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านวัย 9 ขวบ
ปัจจุบันคุณอลิสามีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประกันกลุ่ม บริษัท เอไอเอ จำกัด ดูแลลูกค้าที่เป็นกลุ่มองค์กร โดยดูแลตั้งแต่พนักงานขาย ฝ่ายโอเปอเรชันทั้งหมด
“อลิเรียนจบทางด้านบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะไปเรียนต่อด้าน MBA ที่อเมริกา หลังจากนั้นกลับมาทำงานด้านไฟแนนซ์ เกี่ยวกับการบริหารกองทุน ซึ่งก็ผ่านประสบการณ์ทำงานมาหลากหลายบริษัท จนได้ย้ายมาทำที่ AIA ในส่วนของกองทุนเช่นกัน จนกระทั่งเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ได้รับมอบหมายให้มาดูแลในส่วนของประกันกลุ่ม เพราะทางผู้บริหารเขาเห็นว่าตลาดตรงนี้ของเมืองไทยยังโตได้อีกเยอะ และเขาเห็นศักยภาพเรา ก็เลยให้มารับผิดชอบในส่วนนี้
ต้องยอมรับว่าช่วงมารับหน้าที่แรกๆ เป็นอะไรที่เหนื่อยมากเลยค่ะ เพราะมันเหมือนเราต้องมาเรียนรู้งานใหม่หมดเลย มันเป็นสายงานที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็โชคดีที่ช่วงย้ายมาตรงนี้ ลูกๆ เราค่อนข้างโตแล้ว ก็เลยมีเวลาโฟกัสให้กับงาน ที่สำคัญตำแหน่งนี้เดินทางเยอะมาก มีประชุม สัมมนาที่นู่นที่นี่อยู่บ่อย ต้องบอกว่าจังหวะชีวิตมันลงตัวพอดี เพราะถ้าย้ายมาตอนที่น้องๆ ยังเล็กกว่านี้ ก็คงจัดสรรเวลาลำบาก”
อลิสานับได้ว่าเป็น Working Mom แบบเต็มตัว เธอทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด หยุดงานเพียงช่วงลาคลอดเท่านั้น
“เป็นเวิร์กกิ้งวูแมนค่ะ ให้มาดูแลลูก เป็นแม่บ้าน อยู่กับบ้าน ไม่ใช่สไตล์เลย ชอบทำงาน แล้วก็ทำงานหนัก แต่ก็แบ่งเวลานะคะ อย่างช่วงเวลาเย็นต้องกลับมาสอนการบ้านลูกๆ แล้วก็เอาเขาเข้านอนทุกวัน และช่วงวันหยุดก็ให้เวลาลูกๆ เต็มที่ พี่เอ้เขารู้อยู่แล้วว่าอลิชอบทำงาน เราหยุดไม่ได้หรอก คนแอกทีฟอย่างเรา เกิดให้ลาออกมาดูแลลูก แล้วพอลูกโตเข้าโรงเรียน ไปมีสังคมของเขาแล้ว เราจะทำอะไรละ เหงาแย่เลย ทำงานแบบนี้สนุกกว่าเยอะ
ก็โชคดีค่ะที่บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ และอยู่ใกล้ๆ กันหมด บ้านคุณปู่คุณย่าก็อยู่ถัดไป น้าๆ ก็อยู่ใกล้ๆ กันหมด แถมรุ่นลูกๆ ก็อายุไล่ๆ กันหมด และไม่ต้องกลัวเลยว่าเวลาเราไม่อยู่บ้าน เอแคลร์และแพนเค้กจะไม่อบอุ่น เพราะเขามีญาติๆ อยู่ด้วยตลอดเวลา”
ด้วยความรักความอบอุ่นในครอบครัวที่แสนจะเปี่ยมล้นแบบนี้ สมาชิกครอบครัวนี้จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และไม่แปลกใจเลยว่าในขณะที่ถ่ายทำคอลัมน์ในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าแดดจะเปรี้ยงอากาศจะร้อนขนาดไหน ทุกคนก็ยังดูสนุกสนานและอารมณ์ดีมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
นักกอล์ฟมือรางวัล
ถ้วยรางวัลที่เรียงรายอยู่ด้านหลังเป็นเครื่องการันตีฝีมือความยอดเยี่ยมในการตีกอล์ฟของคุณเอ้ นักกอล์ฟตัวยงที่สนุกสนานกับกีฬาชนิดนี้มาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งที่เห็นนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เนื่องจากชั้นวางไม่พอจึงทำให้มีรางวัลอีกหลายถ้วยที่ต้องกระจายไปอยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้าน
“เล่นกอล์ฟมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฝึกเล่นกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม 2-3 คน ตอนนั้นกอล์ฟถือเป็นกีฬาที่ค่อนข้างใหม่ ตอนแรกก็เล่นแค่สนุกๆ แล้วพอดีจังหวะคือกีฬามหาวิทยาลัยเขาเปิดให้มีการแข่งกอล์ฟพอดี ผมกับเพื่อนก็เลยรวมกลุ่มกันขอสมัคร ได้เป็นตัวแทนทีมมหาวิทยาลัย ไม่มีคู่แข่งเลยครับ เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครเขาเล่นกอล์ฟกันเลย (หัวเราะ) ก็ออกทุนกันเองทั้งหมด ทั้งค่าเสื้อผ้า อุปกรณ์การแข่งขัน ดูแลฝึกซ้อมกันเอง
ผลปรากฎว่าแข่งครั้งนั้นได้ที่ 3 ของประเทศ ก็เลยติดใจ ก็เลยเล่นมาตลอด แล้วก็แข่งมาเรื่อยๆ ชนะบ้าง ตกรอบบ้าง ไม่ได้ซีเรียส ผมเน้นที่ความสุขตอนเล่นมากกว่า ทุกวันนี้ไปออกรอบทุกอาทิตย์ เป็นทั้งการออกกำลังกายและงานอดิเรกของผม แถมทุกวันนี้นอกจากเล่นกับแข่งแล้ว ยังรับหน้าที่เป็นกรรมการกีฬากอล์ฟให้กับทางราชกรีฑาสโมสรด้วย ช่วยดูแลจัดการแข่งขันต่างๆ”
คุณเอ้เล่าถึงเสน่ห์ของกีฬาโปรดในดวงใจว่า “กอล์ฟก็คล้ายๆ การใช้ชีวิต มันเป็นกีฬาที่ทำให้คนเล่นได้เป็นนักวางแผน ตั้งแต่เริ่มเล่นเลย ต้องวางช็อตว่าจะตีไปตรงไหน เล่นหลุมนี้แบบไหนดี ซึ่งบางครั้งก็เป็นไปตามแผน แต่บางครั้งก็ไม่ ซึ่งเราต้องรู้จักที่จะแก้ปัญหา ต้องมีแผนสำรอง ต้องรู้ว่าจะปรับแผนอย่างไรให้ออกมาได้ผลดีที่สุด ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับชีวิตคนเรา ที่มักจะมีอะไรโผล่เข้ามาอย่างไม่คาดคิด ต้องอาศัยการรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้า และการปรับตัว เรียกได้ว่าฝึกให้เราได้ใช้สมอง ฝึกการแก้ปัญหา
ที่สำคัญคือการฝึกสมาธิ เป็นคนใจเย็น และการฝึกจิตใจตนเอง คนเล่นกอล์ฟต้องรู้จักซื่อสัตย์ในตนเอง เพราะกีฬาชนิดนี้แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีกรรมการ ไม่มีคนคอยมานั่งจ้องจับผิด ว่าเราทำอะไรผิดกฎต้องหักแต้มเท่าไร เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเราเอง ถ้าคุณไม่ได้แข่งระดับมืออาชีพที่มีกรรมการเดินตาม หรือกล้องตามถ่าย การแข่งแบบมือสมัครเล่น ไม่มีใครมาสนใจกันและกันหรอก ถ้าคุณตีไปตกน้ำ เข้าป่า หรือพลาดไปขยับลูก ถ้าไม่แจ้งไม่บอก ก็ไม่ใครรู้หรอก ดังนั้น เรื่องพวกนี้อยู่ที่นักกอล์ฟแต่ละคนว่าจะมีความซื่อสัตย์กับตัวเองขนาดไหน เราต้องยอมรับความผิดพลาด เคารพกฎและชนะใจตัวเองให้ได้”
ซัมเมอร์ของเอแคลร์
ช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ นับเป็นครั้งแรกของสาวน้อยเอแคลร์ ลูกสาวคนโตวัย 12 ปี ที่จะได้โบยบินออกจากอกคุณพ่อคุณแม่ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างแดนด้วยตนเอง
“ก็คุยกันมานานแล้วว่า อยากลองส่งเขาไปต่างประเทศ ให้เขาได้ไปลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองดู ให้ไปเรียนพวกภาษาอยู่กับโฮสต์แฟมิลีสักเดือนสองเดือน แล้วปีนี้ทางโรงเรียนเขาจัดโครงการพาไปซัมเมอร์ที่เมืองบริสเบน ออสเตรเลีย เป็นระยะเวลา 1 เดือน ช่วงปิดภาคเรียนนี้ ก็เลยจังหวะลงตัวพอดี คือไปกับทางโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ เป็นสิบคน ไปเรียนด้วยกัน แต่แยกกันไปอยู่กับครอบครัวคนออสเตรเลีย ก็ดีเลยคือเขาได้ไปฝึกการใช้ชีวิตด้วยตนเอง และไม่ต้องเป็นห่วงกังวลมาก เพราะมีเพื่อนมีครูช่วยดูอยู่ไม่ห่าง
ที่จริงเราก็มองกันไว้อยู่แล้วว่า อยากให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ก็ปรึกษากันอยู่ว่าจะเป็นช่วงไหนดี คือด้านพ่อเขาอยากให้เรียนจบไฮสคูลเมืองไทยแล้วค่อยไปต่อมหาวิทยาลัยที่นั่น แต่อลิอยากให้เรียนจบปริญญาตรีที่ไทยก่อนแล้วค่อยไป เพราะลูกเราเป็นผู้หญิง ก็เป็นห่วง อยากให้เขาโตก่อน ซึ่งนั่นเป็นแค่ความตั้งใจของเรา แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องแล้วแต่การตัดสินใจเขา ถ้าเกิดอยากไปก่อนหน้านั้นหรือไม่อยากไปเลย ก็ต้องมาคุยกันอีกที เพราะเราอยากให้มันเป็นความสมัครใจของเขา ชีวิตเขาและความสุขเขา บ้านเราไม่บังคับลูก
ไม่แน่ว่าไปแล้วทริปนี้อาจจะติดใจก็ได้นะคะ นี่ก็ดูตื่นเต้นสนใจอยู่ อย่างตอนแรกพี่ก็ออกไอเดียว่าให้บินไปล่วงหน้ากัน ไปเที่ยวแบบเป็นครอบครัวก่อน แล้วค่อยไปจอยกับทริปโรงเรียน คืออยากไปส่งเขาถึงที่นั่นไง แต่เอแคล์เขาปฏิเสธเสียงแข็งเลยนะ บอกไม่เอา อยากนั่งเครื่องบินไปพร้อมๆ กับเพื่อน อยากไปลุยเอง ก็รู้สึกดีที่เขาไม่กลัว กล้าที่จะไปเปิดรับประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะอยู่บ้านมีคนดูแลตลอด ก็หวังว่า 1 เดือนนี้เขาจะได้โตขึ้น ได้เรียนรู้อะไรเยอะขึ้น รู้จักช่วยตัวเอง และเข้าสังคมกับคนอื่นได้” :: Text by FLASH
Credit
นายแบบ & นางแบบ ::: ภิมุข, อลิสา, ภิรดา และอลิณฎา สิมะโรจน์
แต่งหน้า ::: ภาวิณี ปัดตาลาคะ จากแบรนด์เครื่องสำอาง ทู เฟซ (Too Face)
ช่างภาพ & สไตลิสต์ ::: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ