คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เย็นนั้น..
ฉันเดินไปมาอยู่บนทางเดินที่ขนานคู่ไปกับร่องน้ำ เสียงซู่ๆ ของน้ำไหลทำให้บรรยากาศที่เย็นอยู่แล้วกลับยิ่งเย็นฉ่ำซ้ำลงไปอีก บ้านหลายต่อหลายหลังปลูกตระหง่านงามอยู่บนที่ดินไปทั่วบริเวณ ห่างบ้างใกล้บ้าง ลดหลั่นกันไปตามแต่ใจและจริตของผู้เป็นเจ้าของ แต่ทว่าเมื่อฉันทอดสายตาไปพบกระต๊อบไม้ปุปะหลังหนึ่ง
ฉันกลับต้องหยุดยืนมองอยู่เสียเป็นนาน กระท่อมเศษไม้ที่ปะติดปะต่อกันจนเป็นทรงของห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อันไร้ซึ่งประตู พื้นนั้นต่ำเตี้ยติดกับดินมันคงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่เก็บพักสัมภาระอันใดสักอย่าง ฉันหยุดยืนมองกระท่อมนั้นด้วยความนิ่งและเงียบงัน นิ่งจนในความรู้สึกนั้นเหมือนราวกับว่าฉันได้หยุดลืมการหายใจไปชั่วขณะ
เพียงสายตาสัมผัสภาพตรงหน้า ความทรงจำเก่าๆ ที่ถูกฝังจมไปกับอดีตก็พร่างพรูขึ้นมา ฉันคิดถึงบ้านไม้อันปุปะหลังหนึ่งที่ตนเองเคยอยู่อาศัย ไร้ความสะดวกสบายเต็มไปด้วยอันตรายและโพยภัย ฉันคิดถึงตัวของตัวเองในวันนั้น และตัวฉันเองซึ่งกำลังยืนอยู่ ณ ที่นี่ในวันนี้
นี่ฉันเดินตามลำพังมานานเท่าไรแล้วหนอ ไม่สิ!!! เราทุกๆ คนต่างเดินตามลำพังด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตเรามีการพลัดพรากอยู่ตลอดเวลา ฉันพยายามคิดแย้งในความคิดของตัวเองขึ้นมา เพื่อเป็นการรักษาใจและปลอบใจของตัวเอง
เหมือนโลกทั้งใบเวลานั้นมีเพียงฉันยืนอยู่คนเดียว ฉันรู้สึกรักและสงสารตัวเองอย่างจับใจ ฉันไพล่สายตาผาดๆ ไปมองมือมองแขนและปลายเท้าของตัวเอง แล้วบอกกับตัวเองเป็นภาษาข้างในใจว่า ฉันจะรักตัวของฉันเองฉันจะกอดตัวของตัวเอง
เพราะนี่คือเพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งฉัน ไม่ว่าจะสุขจะเศร้า ฉันก็มีเพียงแต่ตัวของฉันเองนี้ที่คอยรับรู้และเผชิญ แล้วฉันจะไม่รักตัวเองได้อย่างไร น้ำตาที่กำลังไหลเอ่อล้นขอบตาค่อยๆ ไหลกลับลงไป และมันคงไหลย้อนกลับลงไปในหัวใจดวงน้อยๆ ของฉัน ฉันทิ้งทุกอย่างที่รู้สึกไว้ตรงนั้นพร้อมๆ กับการถอนหายใจ แล้วเดินจากมา
ภาพงานกอดตัวเองผ่านเข้ามาในโสตสำนึก ฉันปั้นมันขึ้นมาเมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว
แต่เรื่องราวชีวิตและเรื่องราวในใจ ของตนเองนั้นก็ยังคงไม่เลือนหายไป ทว่ามันถูกบดบังด้วยสิ่งต่างๆ ที่ฉันดึงเอามาเป็นเกราะกำบังเป็นต้นว่าความดีงาม การให้อภัยและความรัก แต่กระนั้นมันก็ถูกกระเทาะออกด้วยบางสิ่งที่มากระทบ และเมื่อนั้นความรู้สึกที่ปิดซ่อน ความรู้สึกที่ไม่น่าปรารถนาใยดีจึงเปิดเผยตัวตนออกมาให้ได้รู้สึก
กระต๊อบไม้อันปุปะหลังนั้นช่างเปรียบเหมือนกับตัวของฉัน ถ้าตัวฉันเป็นวัตถุสิ่งของมันก็คงทรุดโทรมพอๆ กัน แต่นี่ฉันยังมีชีวิตและจิตใจจึงรู้จักที่จะดูแลตัวของตัวเอง
ฉันจึงยังมีสภาพภายนอกที่ดูดีกว่านั้น ทั้งที่่ความเป็นจริงนั้นได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านทุกข์ผ่านสุขอันกัดกร่อนชีวิตไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ
เพราะชีวิตประกอบไปด้วยสิ่งที่เรารับรู้และเผชิญ เพราะความทรงจำคือการมีอยู่ของสิ่งที่ผ่านมา ไม่ว่าฉันหรือใครๆ ก็ต่างมีความทรงจำ แล้วฉันจะไม่ให้โอกาสคนอื่นได้มีความเศร้าโศกเสียใจในความพลัดพรากจากสิ่งที่เขารักได้อย่างไร
เมื่อความรู้สึกของตัวของฉันเองเดินมาถึงจุดที่สะดุดให้ตัวเองคิดและรู้สึกได้เช่นนี้ฉันก็กลับมีความเห็นใจในคนผู้มีความทุกข์อันเกิดจากความหลังและความทรงจำของเขา ขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ
"การรับรู้ในสิ่งอันเป็นความทุกข์นั้นว่ายากแล้ว การประคองตนให้เป็นคนมีสติยิ่งยากกว่า"
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
เย็นนั้น..
ฉันเดินไปมาอยู่บนทางเดินที่ขนานคู่ไปกับร่องน้ำ เสียงซู่ๆ ของน้ำไหลทำให้บรรยากาศที่เย็นอยู่แล้วกลับยิ่งเย็นฉ่ำซ้ำลงไปอีก บ้านหลายต่อหลายหลังปลูกตระหง่านงามอยู่บนที่ดินไปทั่วบริเวณ ห่างบ้างใกล้บ้าง ลดหลั่นกันไปตามแต่ใจและจริตของผู้เป็นเจ้าของ แต่ทว่าเมื่อฉันทอดสายตาไปพบกระต๊อบไม้ปุปะหลังหนึ่ง
ฉันกลับต้องหยุดยืนมองอยู่เสียเป็นนาน กระท่อมเศษไม้ที่ปะติดปะต่อกันจนเป็นทรงของห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อันไร้ซึ่งประตู พื้นนั้นต่ำเตี้ยติดกับดินมันคงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่เก็บพักสัมภาระอันใดสักอย่าง ฉันหยุดยืนมองกระท่อมนั้นด้วยความนิ่งและเงียบงัน นิ่งจนในความรู้สึกนั้นเหมือนราวกับว่าฉันได้หยุดลืมการหายใจไปชั่วขณะ
เพียงสายตาสัมผัสภาพตรงหน้า ความทรงจำเก่าๆ ที่ถูกฝังจมไปกับอดีตก็พร่างพรูขึ้นมา ฉันคิดถึงบ้านไม้อันปุปะหลังหนึ่งที่ตนเองเคยอยู่อาศัย ไร้ความสะดวกสบายเต็มไปด้วยอันตรายและโพยภัย ฉันคิดถึงตัวของตัวเองในวันนั้น และตัวฉันเองซึ่งกำลังยืนอยู่ ณ ที่นี่ในวันนี้
นี่ฉันเดินตามลำพังมานานเท่าไรแล้วหนอ ไม่สิ!!! เราทุกๆ คนต่างเดินตามลำพังด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตเรามีการพลัดพรากอยู่ตลอดเวลา ฉันพยายามคิดแย้งในความคิดของตัวเองขึ้นมา เพื่อเป็นการรักษาใจและปลอบใจของตัวเอง
เหมือนโลกทั้งใบเวลานั้นมีเพียงฉันยืนอยู่คนเดียว ฉันรู้สึกรักและสงสารตัวเองอย่างจับใจ ฉันไพล่สายตาผาดๆ ไปมองมือมองแขนและปลายเท้าของตัวเอง แล้วบอกกับตัวเองเป็นภาษาข้างในใจว่า ฉันจะรักตัวของฉันเองฉันจะกอดตัวของตัวเอง
เพราะนี่คือเพื่อนที่ไม่เคยทอดทิ้งฉัน ไม่ว่าจะสุขจะเศร้า ฉันก็มีเพียงแต่ตัวของฉันเองนี้ที่คอยรับรู้และเผชิญ แล้วฉันจะไม่รักตัวเองได้อย่างไร น้ำตาที่กำลังไหลเอ่อล้นขอบตาค่อยๆ ไหลกลับลงไป และมันคงไหลย้อนกลับลงไปในหัวใจดวงน้อยๆ ของฉัน ฉันทิ้งทุกอย่างที่รู้สึกไว้ตรงนั้นพร้อมๆ กับการถอนหายใจ แล้วเดินจากมา
ภาพงานกอดตัวเองผ่านเข้ามาในโสตสำนึก ฉันปั้นมันขึ้นมาเมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว
แต่เรื่องราวชีวิตและเรื่องราวในใจ ของตนเองนั้นก็ยังคงไม่เลือนหายไป ทว่ามันถูกบดบังด้วยสิ่งต่างๆ ที่ฉันดึงเอามาเป็นเกราะกำบังเป็นต้นว่าความดีงาม การให้อภัยและความรัก แต่กระนั้นมันก็ถูกกระเทาะออกด้วยบางสิ่งที่มากระทบ และเมื่อนั้นความรู้สึกที่ปิดซ่อน ความรู้สึกที่ไม่น่าปรารถนาใยดีจึงเปิดเผยตัวตนออกมาให้ได้รู้สึก
กระต๊อบไม้อันปุปะหลังนั้นช่างเปรียบเหมือนกับตัวของฉัน ถ้าตัวฉันเป็นวัตถุสิ่งของมันก็คงทรุดโทรมพอๆ กัน แต่นี่ฉันยังมีชีวิตและจิตใจจึงรู้จักที่จะดูแลตัวของตัวเอง
ฉันจึงยังมีสภาพภายนอกที่ดูดีกว่านั้น ทั้งที่่ความเป็นจริงนั้นได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านทุกข์ผ่านสุขอันกัดกร่อนชีวิตไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ
เพราะชีวิตประกอบไปด้วยสิ่งที่เรารับรู้และเผชิญ เพราะความทรงจำคือการมีอยู่ของสิ่งที่ผ่านมา ไม่ว่าฉันหรือใครๆ ก็ต่างมีความทรงจำ แล้วฉันจะไม่ให้โอกาสคนอื่นได้มีความเศร้าโศกเสียใจในความพลัดพรากจากสิ่งที่เขารักได้อย่างไร
เมื่อความรู้สึกของตัวของฉันเองเดินมาถึงจุดที่สะดุดให้ตัวเองคิดและรู้สึกได้เช่นนี้ฉันก็กลับมีความเห็นใจในคนผู้มีความทุกข์อันเกิดจากความหลังและความทรงจำของเขา ขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ
"การรับรู้ในสิ่งอันเป็นความทุกข์นั้นว่ายากแล้ว การประคองตนให้เป็นคนมีสติยิ่งยากกว่า"
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews