>>ว่ากันว่าคนเราในวัยเลข 2 คืออายุที่กำลังก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ชีวิตจะเต็มไปด้วยไฟแห่งการเรียนรู้ แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ มาท้าทายความสามารถ สิ่งเหล่านี้เราสามารถสัมผัสและรู้สึกได้ทันทีที่มีโอกาสจับเข่าคุยกับ "พิม-อัญญดา อัศวโภคิน"
“อัญญดา อัศวโภคิน” หรือ “พิม” สาวน้อยวัย 22 ปี เป็นลูกสาวคนโตของ “อนุพงษ์ อัศวโภคิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศไทย และ “เพียงพิมพ์ อัศวโภคิน” โดยจำนวนพี่น้อง 2 คน เธอยังมีน้องชายอีกคนหนึ่งที่อายุห่างกัน 3 ปี ถึงแม้จะเป็นเพียงลูกสาวคนเดียวของครอบครัวและเติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ คุณพ่ออนุพงษ์ก็ไม่ได้เข้มงวดกับลูกสาวคนนี้สักเท่าไรนัก ปล่อยให้เลือกทางเดินของตัวเอง ซึ่งพิมเลือกที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับชีวิต ด้วยการทำกิจกรรมมากมาย โดยให้เหตุผลว่าเป็นการฝึกฝนตัวเอง
“คุณพ่อไม่ดุนะ เราเหมือนเพื่อนกันมากกว่า คุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ก็เลี้ยงให้เราอยู่ในกรอบมากกว่า สิ่งที่พิมซึมซับมาจากครอบครัวมากๆ เลย คือความรับผิดชอบ คุณพ่อมักบอกอยู่เสมอว่าหน้าที่ของพ่อคือส่งเสียให้เราเรียนจนจบ ให้โอกาสเราเลือกเรียนอย่างที่อยากเรียน หลังจากนั้นคุณต้องหางาน หาเงินเลี้ยงตัวเอง”
ด้วยนิสัยของพิมเป็นคนรักความท้าทาย ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชีวิตวัยเรียนของเธอจึงเป็นนักกิจกรรมตัวยงมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม พิสูจน์ได้จากการเป็นประธานสภานักเรียน โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2553, เป็นเชียร์ลีดเดอร์สมัยศึกษาปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปจนถึงเป็น 1 ใน 10 คนสุดท้ายผู้เข้าประกวด KPN Award ครั้งที่ 21
“พิมคิดว่าถ้าเรามีความสามารถอะไร เราไม่ควรเก็บไว้กับตัว แต่อยากนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพื่อว่าเวลาเราโตแล้วมองย้อนกลับมา จะได้ไม่รู้สึกเสียดายว่าเรายังไม่ได้ทำอะไร ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างสนับสนุนในสิ่งที่เราชอบ ให้อิสระในการใช้ชีวิต แล้วพิมเป็นคนประเภทถ้าตัดสินใจทำ จะทำให้เต็มที่ถึงที่สุด บางทีอาจจะนอนน้อยลง สละเวลาไปเที่ยวบ้าง แต่เราเอาเวลามาทำอะไรที่รู้สึกว่าจะติดตัวเราไปตลอดดีกว่า”
“อย่างตอนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ก็ซ้อมจนแทบไม่ได้เรียนเลยอยู่เดือนหนึ่ง หลังเสร็จกิจกรรมมีเวลาเรียนแค่เดือนเดียว พิมก็ตะลุยอ่านๆๆๆ กลายเป็นว่าเราเกรดดีกว่าเพื่อนที่ไม่ได้ทำกิจกรรมเสียอีก (หัวเราะ) อาจเพราะว่ามีหลายอย่างเข้ามาบีบ เข้ามากดดัน ทำให้เราใช้ทุกเวลาให้มีค่ามีประโยชน์มากที่สุด”
แม้จะจบปริญญาตรีภาควิชาอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถมยังคว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 มาครอง แต่งานที่เธอสนใจและเลือกทำ กลับเป็นงานด้านคอนซัลติ้ง โดยตอนนี้เธอกำลังมุ่งมั่นกับงานในตำแหน่ง Associate Consultant ในทีม Strategy Innovation ในบริษัทที่ปรึกษาด้านพัฒนาองค์กรและพัฒนาบุคลากร เอพีเอ็ม กรุ๊ป ซึ่งด้วยตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำให้เธอต้องประสานงานกับลูกค้าในหลายระดับตั้งแต่ระดับซีอีโอ ระดับปฏิบัติการ ไปจนถึงพนักงานในสายการผลิต ฯลฯ เรียกว่าเป็นเนื้องานท้าทายความสามารถน้องใหม่เช่นเธอ แต่พิมกลับบอกว่าเป็นการทำงานที่สนุกและถูกจริตเธออย่างที่สุด
“ส่วนที่พิมรับผิดชอบคือเรื่อง Strategy Innovation เป็นการกำหนดกลยุทธ์ ยกตัวอย่างองค์กรที่มีความเป็นแฟมิลีบิสซิเนสมากๆ และวันหนึ่งถ้าเขาอยากจะโตขึ้นในอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า เขาควรจะเดินไปในทิศทางไหน ควรจะใช้กลยุทธ์อะไรในการขับเคลื่อนองค์กรของเขา หน้าที่ของพิมคือเข้าไปช่วยทำเวิร์กชอป ทำกิจกรรม ช่วยเปิดมุมมองของเขาให้มองในมุมกว้าง และนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดกลยุทธ์ไปจนถึงปรับปรุงกระบวนการทำงาน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น” พิมเกริ่นถึงงานที่เธอทำ
“ส่วนใหญ่ลูกค้ามีปัญหาและรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่ด้วยความที่เขาทำงานตรงนั้นทุกวัน อยู่กับปัญหาทุกวัน มันทำให้เขามีความคิดวนอยู่กับปัญหา เราเพียงแค่ไปช่วยกะเทาะความคิดเขาออกมา คือเขามีความรู้มากกว่าเราแน่ๆ ในเรื่องงานประจำวันของเขา แต่เราจะเป็นตัวช่วยในการดึงข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ในหัวของเขาออกมาใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหามากขึ้น มันเป็นงานที่ท้าทาย สนุกตรงที่ไม่ได้ทำงานซ้ำเดิมทุกวัน บางทีพิมไปเจอพนักงานในสายการผลิต พิมก็ต้องไปด้วยมู้ดหนึ่ง แต่อีกวันคุณไปทำเซสชันกับผู้บริหาร ก็ต้องทำงานอีกแบบ คือเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ใช้จินตนาการตลอดเวลา เวลาเปลี่ยนโปรเจกต์ เปลี่ยนลูกค้าก็เหมือนเปลี่ยนงาน”
ด้วยลักษณะเนื้องานที่เป็นการให้คำปรึกษาประหนึ่งพี่อ้อยพี่ฉอดเวอร์ชันบิสซิเนส ทำให้เราอดถามไม่ได้ถึงส่วนที่ยากที่สุด เธอตอบแทบจะทันทีว่า “เรื่องของคนนี่ล่ะค่ะ” แต่โชคดีที่เธอไม่ได้เดินไปข้างหน้าคนเดียว เพราะได้ระบบงานและทีมงานที่ดีคอยเป็นแบ็กอัพ รวมถึงมีกุนซือส่วนตัวอย่างคุณพ่อคอยเป็นกำลังใจ
“บ่อยครั้งเราต้องเจอลูกค้าอาวุโส ในขณะที่เราเด็กกว่า เราก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยนวิธีการนำเสนอ ต้องบอกก่อนว่าที่ เอพีเอ็ม กรุ๊ป มีเครื่องมือหลายอย่างเอาไว้ใช้เพื่อให้ลูกค้าเปิดใจกับเรามากขึ้น ที่ผ่านมาพิมเองก็ต้องเข้าคอร์สฝึกอบรมของบริษัทค่อนข้างเยอะ เป็นการทำการบ้าน เช่น เรียนวิธีการถามคำถามเพื่อให้คู่สนทนาได้คำตอบด้วยตัวเอง หรือคอร์สบิสซิเนสติงกิ้ง อยู่ที่นี่เหมือนเราได้เรียนหนังสือใหม่ๆ ทุกวัน เวลามีโปรดักต์ใหม่ๆ เข้ามาเราก็ต้องเรียนรู้ เพื่อหาวิธีในการเข้าไปสอนลูกค้า”
“บางทีพิมก็โทร.หาคุณพ่ออยู่เรื่อยๆ อาจจะไม่ได้ปรึกษาเรื่องเนื้อหา เพราะมันเป็นความลับของลูกค้า แต่จะปรึกษาคุณพ่อเรื่องวิธีการทำงานบ้าง เช่น การจัดเวลาชีวิต วิธีการมองคน การทำงานกับคน เพราะบางทีเราเป็นเด็ก เราก็อยากจะหาวิธีเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในตัวเรามากยิ่งขึ้น”
ไม่เพียงแต่เรื่องงานเท่านั้น แม้แต่งานอดิเรกของสาวไฮเปอร์คนนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่รักความท้าทาย เพราะยามว่างของพิมชื่นชอบการท่องเที่ยว เล่นเวกบอร์ด โยคะฟลาย และแน่นอนการร้องเพลง ซึ่งเธอเคยผ่านเวทีการประกวดระดับมืออาชีพมาแล้ว
“เรื่องร้องเพลงนี่ได้มาจากคุณแม่เลย เพราะคุณแม่เล่นเปียโนและบังคับให้พิมเรียนตอนเด็กๆ ด้วย ซึ่งตอนนั้นเราก็จะไม่เข้าใจ แต่พอโตขึ้นรู้สึกขอบคุณมาก ขณะที่คุณพ่อชอบฟังเพลงมากตั้งแต่เพลงคลาสสิกอย่าง Bee Gees ไปจนถึง เลดี้ กาก้า ตอนตัดสินใจประกวดคิดว่าสนใจ ชอบ และอยากลองความสามารถของตัวเองว่าจะไปได้ถึงขั้นไหน อีกอย่างคุณแม่ยุด้วยเหตุผลว่า “พิม ถ้าเราอายุขึ้นเลข 2 มันจะดูไม่น่ารักแล้วนะเวลามาประกวดอะไรแบบนี้ เลข 1 นี่ละลูกโค้งสุดท้ายแล้ว” (หัวเราะ) พิมก็ไปสมัครในสภาพกางเกงขาสั้น เสื้อเชิ้ต หน้าไม่แต่ง แล้วก็แบกหนังสือฟิสิกส์ไป 3 เล่ม เพราะกำลังอยู่ในช่วงสอบ พิมก็ไปนั่งอ่านอยู่หน้าห้องออดิชัน รู้สึกตัวอีกทีก็เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายแล้ว ทั้งที่เราไม่เคยคาดหวังด้วยซ้ำ ตอนนั้นพิมแค่รู้สึกชีวิตหนึ่งอยากขึ้นไปอยู่บนเวทีและได้ถ่ายทอดสด มีอัดวิดีโอเก็บไว้ ก็พอใจแล้ว”
นอกเหนือจากการร้องเพลงแล้ว อีกหนึ่งงานอดิเรกของพิมที่ออกจะผิดไปจากความชอบของสาวๆ ทั้งหลาย คือกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างเวกบอร์ด ที่เจ้าตัวก็ออกตัวว่าเป็นกิจกรรมหนักที่สุดเท่าที่เคยเล่นแล้ว จับพลัดจับผลูไปเล่นได้ เพราะเพื่อนๆ ไปเล่นกัน ก่อนจะดึงเธอไปแจม
“พิมชอบเล่นอะไรที่ท้าทายอยู่แล้ว เมื่อก่อนเคยเล่นอีกอย่าง คือ โต้คลื่นที่ Flow House แล้วตอนหลังก็มาเล่นเวกบอร์ด ช่วงนั้นก็ตัวดำ แขนล่ำไปเลย พิมว่ามันสนุกดีนะ เวลาตัวเราไหลไปเรื่อยๆ จะรู้สึกว่าผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก และมันก็จะมีบททดสอบให้เราลอง เช่น เราจะยืนบนบอร์ดได้หรือยัง ลองทำท่านี้ได้หรือยัง คือพิมก็พอเล่นได้ ยืน บังคับให้ไปซ้ายขวา แต่ถ้าจะให้กระโดด หรือเทกตัวบนแท่น นี่ยังไม่ถึงขนาดนั้น”
“เคยลองเทกตัวบนแท่นครั้งหนึ่ง รู้สึกได้เลยว่าร่างกายต้องเกร็งตัวมากๆ ซึ่งเราไม่ได้แข็งแรงและบาลานซ์ตัวเองได้ดีขนาดนั้น ตอนนั้นหน้าฟาดกับน้ำจนแดงชาไปเลย เมื่อก่อนเล่นทุกอาทิตย์ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเล่นเท่าไรแล้ว เพราะอยากโฟกัสกับงานมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ทิ้งซะทีเดียว พยายามกลับมาออกกำลังกายให้มากขึ้น เพราะว่ายิ่งเราทำงาน ยิ่งต้องดูแลสุขภาพมากกว่าตอนเรียน นี่ก็เพิ่งไปสมัครคอร์สโยคะฟลายกับเพื่อน คือพิมไม่ค่อยเล่นกีฬาที่คนทั่วไปเขาเล่นกันน่ะค่ะ”
เหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของมุมมอง ชีวิต ความคิด ของสาวน้อยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งการเรียนรู้คนนี้ ก่อนลาจากกันเธอเผยถึงเส้นทางอนาคตอันใกล้ที่วางแผนไว้แล้วว่า หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีก 2-3 ปีก็จะบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ว่าจะเลือกเรียนสาขาอะไร เชื่อแน่ว่าเธอต้อง “สนุก” และ “ประสบความสำเร็จ” อย่างแน่นอน :: Text by FLASH
5 Must Have in my bag
1.ปากกา : Montblanc Collection Princesse Grace de Monaco คุณลุง (อนันต์) ซื้อให้ตอนเริ่มงานใหม่ๆ บอกว่าพิมทำงานแล้ว ควรมีปากกาดีๆ สักแท่ง
2.กระเป๋าตังค์ : ใบนี้แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดปีล่าสุด เพราะใบเก่าของพิมใช้มานานกว่า 5 ปีแล้ว
3.กุญแจบ้าน : จะมีพวงกุญแจรูปพาสปอร์ตห้อยคู่กัน เพื่อนสนิทซื้อให้ เพราะเห็นว่าพิมชอบท่องเที่ยว
4.ลิปสติก : เป็นแฟนเครื่องสำอางยี่ห้อ Tom Ford โดยเฉพาะลิปสติกเนื้อดีมาก
5.ยาดม : เป็นคนไม่ดื่มกาแฟ ฉะนั้น นี่คืออุปกรณ์เรียกสติให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
Special Thanks : Manhattan Bar ณ โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2656-7700 เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ