>>ถ้าจะถามว่าเน็ตไอดอลคือใคร?? คงจะนิยามได้สั้นๆ ว่า “เป็นบุคคลที่หน้าตาดี มีคนติดตาม” ซึ่งเน็ตไอดอลส่วนใหญ่มักจะมีกลุ่มติ่งคอยสนับสนุนหรือติดตามเรื่องราวของเขาและเธออยู่เสมอ โดยกลุ่มที่ชื่นชอบเน็ตไอดอลส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มคนที่สนใจความเคลื่อนไหวของโลกตลอดเวลา
จะว่าไปแล้วคำว่า “เน็ตไอดอล” นั้นเป็นที่คุ้นหูมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว ที่มาก็มาจากเว็บไซต์และเว็บบอร์ดดัง จนกระทั่งการเข้ามาของโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เติบโตอย่างเต็มที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เน็ตไอดอลเป็นกระแสความแรงและมีอิทธิพลกับสังคมในยุคโซเชียลมีเดียนี้เป็นอย่างมาก เห็นได้จากหลายๆ ครั้ง แบรนด์สินค้าต่างๆ เลือกที่จะให้เน็ตไอดอลช่วยโปรโมตสินค้าของพวกเขาด้วยเห็นผลที่ว่าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
แม้ว่า “เน็ตไอดอล” อาจจะไม่โด่งดังเหมือนดารา แต่หลายๆ คนก็มียอดฟอลโลว์หลักแสนเฉียดๆ ดาราเลยทีเดียว และตำแหน่ง “เน็ตไอดอล” นี้ อาจจะเป็นประตูสู่เส้นทางบันเทิงในอนาคตได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับสองสาวคู่แฝดที่เรามีนัดมาพูดคุยด้วยในวันนี้ เธอกลายเป็นฝาแฝดดาวรุ่งที่น่าจับตามอง “มิลลี่-คามิลลา กิตติวัฒน์” เจ้าของไอจี Camillakittivat และ “นิกกี้-นิโคล กิตติวัฒน์” เจ้าของไอจี Nicolekittivat
สองสาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน สวยใสไฮโซ ลูกสาวฝาแฝดคนสวยของอดีตนางแบบ รุ่งนภา กิตติวัฒน์ จากเน็ตไอดอลที่มีฟอลโลว์หลักแสน ได้ตามรอยคุณแม่เข้าสู่วงการบันเทิง ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่กลายเป็นนางเอกใหม่แกะกล่องของช่อง 7 กำลังจะมีผลงานละครเรื่อง “บ้านศิลาแดง” ที่จะออกอากาศในเดือนมกราคมนี้
จะว่าไปแล้วทั้งสองก็มีใบหน้าที่คล้ายกัน แต่ก็มีจุดแยกออกว่าคนไหนคือ คามิลลา? คนไหนคือ นิโคล? โดยเจ้าตัวทั้งสองบอกกับเราว่า
“เราเป็นแฝดไข่คนละใบ หน้าเหมือนกันมากก็จริงแต่ก็มีจุดที่แยกออกค่ะ อย่างเพื่อนๆ ที่สนิทแล้วเขาก็จะรู้ แต่จุดสังเกตที่ชัดที่สุดก็คือ นิโคลมีไฝใต้ตาและตรงปาก ซึ่งเล็กมากอาจมองไม่ค่อยชัด แต่คามิลลาไม่มี” คามิลลาแฝดผู้พี่อธิบายให้เราจดจำลักษณะเธอทั้งสองคนอย่างง่ายๆ
สองสาวเฟรชชี่
“คามิลลาและนิโคล กิตติวัฒน์” สองสาวเฟรชชี่แห่งรั้วแม่โดม หลังเรียนจบจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ทั้งสองสาวสอบเข้าเรียนต่อที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่คนละสาขา โดยคามิลลาเรียนอยู่ในสาขาอังกฤษ-อเมริกันศึกษา (British and American Studies-BAS) ส่วนนิโคลเรียนสาขาการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจ (The Business English Communication - BEC) หลักสูตรอินเตอร์กันทั้งคู่
“ตั้งแต่เกิดเรียนมาด้วยกัน อยู่โรงเรียนเดียวกันตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันอีก แต่คนละสาขา แม้ว่าเราอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่ได้ชอบเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง ถ้าพูดถึงเรื่องวิชาเรียนที่ชอบทั้งนิโคลและคามิลลาเราชอบด้านศิลปะ หรือภาษามากกว่า เพราะถ้าเป็นเรื่องคำนวณนี่ไม่ไหวเลยค่ะ (หัวเราะ)”
แม้ว่าในช่วงที่ต้องเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นช่วงที่เธอทั้งสองเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงแล้วนั้น อาจทำให้ต้องจัดสรรเวลาเรียนกับเวลาในการถ่ายละคร แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะงานนี้เพื่อนๆ ในคลาสเดียวกันต่างให้ความช่วยเหลือทั้งสองคนเป็นอย่างดี
“เพื่อนน่ารักมาก เขาก็จะช่วยเก็บงานให้ หรืออัปเดตตลอดว่ามีสอบ มีเรียนเสริมตอนไหน บางทีก็เรียกไปติว เพราะเราต้องไปทำงาน แต่ทั้งนิโคลและคามิลลาไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมกับมหาวิทยาลัยเพราะไม่ค่อยว่าง แล้วก็เป็นคนชิลๆ ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว แต่ก็ร่วมบางอย่าง เช่น กีฬาสี เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เน้นเรียนและสนุกๆ ตามประสาของเรามากกว่า”
จากการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกนั้น ทั้งสองสาวก็มีบ่นถึงเรื่องความยากที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตที่โตขึ้นอีก 1 สเต็ป
“เรียนมหา’ลัยก็ยากนิดหนึ่งเพราะเราต้องตั้งใจมาก ต้องจดเลกเชอร์ถึงจะรู้เรื่อง บางทีไม่ได้ไปเรียนเพื่อนก็อัดเสียงมาให้ หรือไม่ก็เอาชีตมาติวกัน แต่เราก็ยังต้องพยายามทำความเข้าใจเรียนให้ทันเพื่อนอยู่ดี”
ชิมลางวงการบันเทิง
อีกเรื่องที่เราต้องทำความรู้จักและพูดคุยกับเธอก็คือเรื่องของการทำงานในวงการบันเทิง แม้ว่าตอนเด็กๆ ทั้งสองคนจะเคยผ่านงานเล็กๆ น้อยๆ ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ และมิวสิกวิดีโอมาบ้าง แต่ในศักราชใหม่นี้เองที่เราจะได้คุ้นหน้าคุ้นตาของเธอมากขึ้นกว่าเดิมในบทบาทของดาราจอแก้ว
“ความที่คุณแม่เป็นนางแบบมาก่อน ตอนเด็กๆ ก็มีถ่ายแบบ ถ่ายสัมภาษณ์นิตยสารกับคุณแม่บ้าง หรือบางครั้งก็มีเดินแฟชั่นโชว์ที่เป็นงานของเพื่อนๆ คุณแม่ อาจเพราะคุณแม่มีคอนเนกชันเยอะ คนรู้จักที่เขาเห็นเราโตขึ้นมาจึงเรียกไปแคสต์ จากนั้นงานก็ค่อยๆ เข้ามาเอง บางครั้งก็มีเล่นเอ็มวีบ้าง”
ตอนนี้ทั้งสองสาวกลายเป็นดาวรุ่งที่มีสังกัดแล้วเรียบร้อย โดยน้องคามิลลาเป็นดาราเซ็นสัญญากับช่อง 7 และนิโคล เซ็นสัญญากับค่ายโพลีพลัส
“เด็กๆ ไม่คิดว่าจะเข้ามาในวงการบันเทิง เมื่อเข้ามาแล้วก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี คามิลลาก็ชอบด้วย เรารู้สึกตื่นเต้นเวลาที่เราได้เล่นละคร ได้ทำงาน สนุกควบคู่ไปกับงาน ไม่ค่อยเบื่อเลยเวลาที่ต้องไปทำงาน” คามิลลา แฝดคนพี่เล่าถึงความรู้สึกกับการทำงานในวงการบันเทิงให้เราฟัง
ส่วนนิโคล แฝดคนน้องมีอีกมุมมองที่เพิ่มขยายอนาคตในวงการบันเทิงของเธอ “ตอนเด็กเฉยๆ กับงานในวงการบันเทิงเพราะเราก็เห็นการทำงานของคุณแม่มาบ้าง แต่พอตอนนี้เข้ามาแล้ว คิดว่าอนาคตเราก็อยากทำงานในวงการนี้ให้ดีๆ หรือถ้ามีโอกาสก็อาจจะขยับขยายไปทำงานด้านอื่นในวงการบันเทิงที่นอกจากการเป็นนักแสดงได้อีก ซึ่งอนาคตก็ไม่รู้ เมื่อเวลาเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน ความชอบ ความสนใจของเราก็อาจจะเปลี่ยน แต่ตอนนี้เราก็เอนจอยกับงานแสดงค่ะ”
ผลงานเรื่องแรก
สำหรับผลงานเรื่องแรกที่ทั้งสองมีโอกาสเล่นด้วยกันนั้น ถือเป็นความลงตัวพอดี เพราะเป็นละครที่ทางโพลีพลัสผลิตให้กับทางช่อง 7 และบทบาทของทั้งสองยังต้องเล่นเป็นฝาแฝดที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกัน ในละครเรื่อง “บ้านศิลาแดง”
“บทบาทเรื่องนี้เป็นคู่แฝด คนหนึ่งเปรี้ยวจี๊ด ขณะที่อีกคนน่าสงสาร ถูกกลั่นแกล้ง จากนั้นก็มีการสลับตัวกันเพื่อสืบเรื่องของคุณพ่อที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ แล้วก็มีเรื่องราวเข้าใจผิดกันไปกันมา เป็นเรื่องละครที่ครบทุกรสค่ะ ทั้งบู๊ ตลก ดราม่า อยากให้ติดตามกันค่ะ”
แน่นอนว่าละครเรื่องนี้ถือเป็นละครเรื่องแรกที่ทั้งสองได้เล่นจึงยังมีความยากอยู่ ทั้งคู่จึงต้องหาประสบการณ์เพิ่มเติมและตั้งใจมากกว่าคนอื่นๆ
“ปกติเคยแต่ดูละคร พอต้องมาเล่นเองก็ตื่นเต้น กังวลว่าจะออกมาดีมั้ย ยิ่งเราต้องมาเจอคนที่เล่นเก่งๆ ผู้กำกับเก่งๆ เลยรู้สึกว่าเรื่องแรกอาจจะดูแข็งไปบ้าง แต่ทุกคนก็ช่วยมิลลี่และนิกกี้มาก มีเรียนเพิ่มเติมเวิร์กชอปกับนักแสดงก่อนด้วย”
คุณแม่เทรนมาดี
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ระหว่างการถ่ายภาพในวันนี้คือ เด็กทั้งสองคนมีความอ่อนน้อมเป็นอย่างมาก ทุกคนที่ถ่ายภาพเสร็จ 1 โพส เธอจะยกมือไหว้ขอบคุณช่างภาพของเราทุกครั้ง นั่นเป็นเพราะการอบรมอย่างดีจากคุณแม่แต้ม-รุ่งนภา กิตติวัฒน์ อดีตนางแบบที่คนที่ติดตามวงการแฟชั่นของยุค 70’s ถึงช่วงยุค 80’s นั้นต้องรู้จักเธอ ซึ่งวันนี้เธอเป็นซิงเกิลมัมที่ดูแลลูกสาวทุกคนอย่างดี ถึงขนาดลูกๆ ยกให้เธอเป็นไอดอล
“เรียกได้ว่าคุณแม่เป็นไอดอลเลย แม้ว่าคุณพ่อเสียไปนานแล้ว แต่คุณแม่ก็เลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนอย่างดี คามิลลาและนิโคลค่อนข้างจะสนิทกับแม่มาก มีอะไรก็จะคุยกันทุกเรื่อง ปรึกษากันตลอดเวลา เพราะคิดว่ามีเรื่องอะไรบอกเขาดีกว่า เช่น เวลาจะไปไหนก็บอกเวลา เผื่อถ้าหากเราหายไปเขาก็จะรู้ว่าเราอยู่ไหน หรือรู้ว่าอยู่กับใคร
อย่างไรก็ดี ตอนนี้คุณแม่เป็นคนรับ-ส่งตลอด จะว่าไปคุณแม่ค่อนข้างดุนะ ดุในสิ่งที่เราทำไม่ดีทั่วไป เช่นเรื่องมารยาทหรือชอบไปเที่ยวกับเพื่อนมากเกินไป” คามิลลากล่าว
“แต่คุณแม่ก็มีโมเมนต์ที่เข้าใจว่าเรากำลังโต เลยชอบเจอเพื่อนฝูง แต่ถ้าโอเวอร์ลิมิตมากไป เขาก็จะพูด ซึ่งเราก็ต้องทำตัวให้ดีขึ้น ส่วนที่คุณแม่ซีเรียสเรื่องมารยาทคงเป็นเพราะว่าเราอยู่เมืองไทย วัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่เราต้องรู้
หรืออย่างเรื่องการทำงานในวงการบันเทิงคุณแม่จะเป็นคนดูแล คอยสอนเทคนิคต่างๆ เช่น เวลาถ่ายแบบคุณแม่จะคอยดูว่ามุมไหนที่เราดูดีและให้แนะนำโพสที่จะทำให้ดูสง่างามด้วย” นิโคลกล่าวชื่นชมคุณแม่
นอกจากเรื่องมารยาทและสัมมาคารวะแล้ว อีกเรื่องคือคุณแม่แต้มพยายามสอนทั้งสองคนก็คือเรื่องของการทำบุญ เพราะคุณแม่แต้มมักจะทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเพื่อให้ลูกๆ ปฏิบัติตาม
“คุณแม่เป็นคนชอบทำบุญ ทำทาน แต่จะชอบเรื่องของการทำทานซะมากกว่า เพราะคุณแม่บอกว่าการทำทานเห็นผลเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ใช่เห็นผลกับตัวเอง แต่เห็นผลกับผู้รับ เพราะว่าเขาทุกข์อยู่ เขาต้องการความช่วยเหลือ คุณแม่จะสอนว่าไม่ต้องรอให้ร่ำรวยก่อนแล้วค่อยให้ มีน้อยก็ให้น้อย มีมากก็ให้มาก”
การใช้ชีวิตของสองสาวฝาแฝด
คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแทบจะ 24 ชั่วโมง มีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน พบเจอสิ่งเหมือนกัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน และบางครั้งก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กๆ ที่เก็บมาเมาท์กันได้เหมือนกัน
“เราสองคนใช้ชีวิตเหมือนกัน ทำทุกอย่างเหมือนกัน แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ตอนเด็กๆ คุณแม่จับแต่งตัวเหมือนกัน แต่พอโตขึ้นมาก็เริ่มต่างกัน ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันตลอดก็จะมีสไตล์คล้ายๆ กัน ซื้อเสื้อผ้ามาก็แบ่งกันใส่ แต่เราอาจจะแตกต่างกันในเรื่องของอารมณ์ที่เป็นตัวกำหนดการแต่งตัวในแต่ละวัน เช่น บางวันก็อยากน่ารัก อยากหวาน หรืออยากเท่ๆ ฮิปฮอป” คามิลลาเล่าให้เราฟังถึงความเหมือนและการใช้ชีวิตของพี่น้องโดยมีนิโคลช่วยเสริมเรื่องไลฟ์สไตล์ของสองสาว
“เราสองคนชอบทานอาหารญี่ปุ่นค่ะ ชอบมาก (ลากเสียงยาว) ชวนกันไปทานอาหารอร่อยๆ ถ้าให้นึกถึงเรื่องที่ชอบไม่เหมือนกัน นึกดูแล้วแทบจะไม่มี หรือถ้ามีนิดหน่อยๆ เราก็คุยกันลงตัว เมื่อเร็วๆ นี้เราเพิ่งฮิตไปต่อยมวย อยากให้ฟิตบ้าง เพราะเรากินเยอะ (หัวเราะ) สนุกดีค่ะ รู้สึกว่าเบิร์นเร็วและเฟิร์มจริงๆ ไม่เหมือนการออกกำลังกายอื่นๆ เพราะอันนี้เรารู้สึกสนุกไปด้วย”
ส่วนเรื่องกุ๊กกิ๊กหัวใจของสาวๆ นั้น ทั้งสองสาวพูดพร้อมกันอย่างเต็มปากเลยว่า “ไม่มีค่ะ” อาจเป็นเพราะทั้งสองคนยังเด็ก ยังมีโอกาสได้เจอคนอีกมากมาย จึงไม่รีบร้อน แม้จะมีหนุ่มๆ เข้ามาคุย แต่ก็เป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น
2 เน็ตไอดอลตัวแรง
อีกบทบาทหนึ่งที่เราคงอดพูดถึงเธอทั้งสองคนไม่ได้ก็คือ การเป็นเน็ตไอดอลที่มีคนฟอลโลว์เป็นหลักแสน แต่ทั้งสองกลับไม่คิดว่าตัวเองจะมีคนติดตามเยอะขนาดนั้นและต้องขอบคุณทุกฟอลโลว์ของเธอ
“อาจเป็นเพราะเรามีกลุ่มเพื่อน และรู้จักคนเยอะ หลายครั้งเวลาเจอเพื่อนๆ หรือพี่ๆ นักแสดง แล้วได้ถ่ายรูปกับเขาคนเห็นก็เลยมาฟอลโลว์ต่อ จำนวนก็เลยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลาโพสต์อะไรไปคนก็ชอบ อาจเป็นเพราะเขาชอบรูปที่เราถ่าย ไม่ว่าจะเป็นสีสัน หรือมุม ไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมายเลย คงเป็นเพราะความเป็นธรรมชาติของเรา”
ไม่ใช่แค่ยอดจำนวนฟอลโลว์หลักแสนที่การันตีว่าเธอคือเน็ตไอดอลที่คนสนใจ เธอทั้งสองคนยังมีแฟนคลับ ที่มักจะติด #Camillanicolefans เพื่อแบ่งปันความน่ารักของทั้งสองสาวนี้
“บ้านในไอจีและเฟซบุ๊กมีคนสร้างเพจให้เรา เขาเป็นเหมือนกลุ่มแฟนคลับเล็กๆ ที่น่ารัก ไม่ได้เป็นแนวคลั่งไคล้ แต่เป็นแนวชื่นชอบในความใสๆ แบ๊วๆ ของเรามากกว่า ถ้าถามว่าการที่เรามีคนชอบอย่างนี้แล้วเราเหลิงมั้ย ไม่นะคะ ทั้งมิลลี่และนิกกี้ มองว่าเป็นลักษณะของการเป็นกำลังใจให้เรามีความมั่นใจที่จะทำงานในวงการนี้ต่อไป”
ส่วนเหตุการณ์แปลกๆ หรือการโดนก่อกวนจากผู้ติดตามในไอจีนั้น ทั้งสองบอกว่าก็ยังไม่เคยเจอพวกโรคจิตหรือก่อกวน จะเจอก็เพียงแต่พวกแม่ค้าออนไลน์ที่ชอบมาฝากร้าน เหมือนดาราคนอื่นๆ เท่านั้น
คาดว่าหลังจากที่ละครเรื่อง บ้านศิลาแดง ออกอากาศไปแล้ว 2 สาวฝาแฝดเน็ตไอดอลจะกลายเป็นดาราที่เปล่งจรัสแสงเต็มตัว และที่แน่ๆ ต้องมีคนมาติดตามความน่ารักของเธอทั้งสองเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ :: Text by FLASH