>>ต้องมนต์เสน่ห์เมืองมรดกโลก ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังทั้งสถาปัตยกรรมแบบบาโร้ค เฟลมิช และเรอเนสซองส์ รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายเฉพาะตัว ละเลียดไปพร้อมกับการดื่มเบียร์ที่มีให้เลือกกว่า 600 ยี่ห้อ และลิ้มลองช็อกโกแลตเลิศรสอันเลื่องชื่อลือชา ท่ามกลางลมหนาวที่เข้ายึดทุกอณูของร่างกาย
บินโฉบไปมาแถบนี้หลายครั้งแต่ไม่เคยมีโอกาสมาเยือนประเทศเบลเยียมสักหน ฤดูหนาวนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้มาสัมผัสดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป โดยมี “กรุงบรัสเซลส์” เป็นเมืองหลวง มีอาณาเขตติดกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภาษาเป็นอย่างมาก ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาดัตช์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ซึ่งจะมีการแบ่งเขตของการใช้ภาษาอย่างชัดเจน
เช่น ภาษาดัตช์จะใช้กันทั่วไปทางตอนเหนือ ภาษาฝรั่งเศสจะใช้กันทางตอนใต้ และภาษาเยอรมันใช้กันทางตะวันออก ส่วนภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการนั้นใช้ได้ทั้งสองภาษา คือ ดัตช์ และฝรั่งเศส สถานที่ท่องเที่ยวในเบลเยียมนั้นมีมากมาย อีกทั้งยังเป็นดินแดนแห่งศิลปินที่มีศิลปะและสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่น่าสนใจไม่น้อยหน้าประเทศอื่นในยุโรปเลยทีเดียว
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ากรุงบรัสเซลส์ เป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยียมที่มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก เรียกว่าเดินทางวันเดียวก็สามารถไปได้เกือบทุกเมืองในประเทศแล้ว แต่เป็นประเทศที่เมืองเก่าแก่อันมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี อีกทั้งเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการที่มีความสำคัญของสหภาพยุโรป อย่างเช่น สำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป (EU) และองค์การนาโต (Nato) เป็นต้น โดยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลมาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้เป็นจำนวนมาก รวมถึงเป็นดินแดนอันเลื่องชื่อเกี่ยวกับช็อกโกแลตและเบียร์อีกด้วย
สำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจไทย การเดินทางมายังประเทศเบลเยียมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะสายการบินไทย (Thai Airways) บินตรงสู่เมืองบรัสเซลส์สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiairways.com) ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 777 ประกอบด้วยที่นั่งชั้นธุรกิจ จำนวน 30 ที่นั่ง และชั้นประหยัด จำนวน 262 ที่นั่ง ซึ่งติดตั้งจอทีวีส่วนตัวพร้อมระบบสาระบันเทิงภายในเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดในทุกที่นั่งทุกชั้นโดยสาร
และเมืองที่ผมนึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อมาเยือนประเทศเบลเยียม นั่นก็คือ “บรูจส์” ภาษาอังกฤษเขียนว่า Bruges แต่ภาษาดัตช์เขียนว่า “บรูกเค่อ” (Brugge) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลานเดอร์ตะวันตกในบริเวณเฟลมิช (Flemish) ในประเทศเบลเยียม ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศเนเธอร์แลนด์ ดังนั้น ภาษาดัตช์จึงค่อนข้างมีอิทธิพลในเขตนี้
เมื่อนั่งเครื่องบินจากสายการบินไทยมาลงที่กรุงบรัสเซลส์ ก็เดินทางต่อไปยังเมืองบรูจส์ได้ไม่ยาก และใช้เวลาในการเดินทางไม่เกินชั่วโมงก็ถึง ตัวเมืองตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ โดยศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกของยูเนสโก ด้วยตัวเมืองที่มีรูปไข่ขนาดเนื้อที่ประมาณ 430 เฮกตาร์ ซึ่งเนื้อที่ทั้งหมดของตัวเมืองมีประมาณกว่า 13,840 เฮกตาร์ รวมทั้งอีก 1,075 เฮกตาร์ริมฝั่งทะเลที่เซบรึกเคอ (Zeebrugge) บริเวณตัวเมืองและปริมณฑลมีเนื้อที่ 616 ตารางกิโลเมตร
ทางตอนเหนือของเมืองมีลำน้ำที่ใช้ในการคมนาคมรอบๆ ได้ ทำให้บรูจส์เป็นที่รู้จักกันในนาม “เวนิสเหนือ” เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเคยเป็นเมืองท่าและมีความสำคัญทางด้านศิลปะ ยุคจิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เฟื่องฟูตอนต้น ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16
ในอดีตเมืองบรูจส์เคยเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญมากของยุโรป เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพ่อค้าและเศรษฐี แต่เมื่อเกิดภัยธรรมชาติทำให้คลองต่างๆ ที่เชื่อมออกสู่ทะเลเริ่มตื้นเขิน เรือใหญ่ๆ จึงไม่สามารถเข้ามาเทียบท่าได้เหมือนเดิม แต่พ่อค้าในเมืองนี้ก็ยังยืนหยัดทำการค้าขายโดยอาศัยเมืองท่าใกล้ๆ ในการทำธุรกิจต่อไป พอช่วงศตวรรษที่ 14-15 เกิดปัญหาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาจลาจล สงคราม และการปฏิรูปการปกครอง ทำให้เมืองบรูจส์ค่อยๆ ซบเซาลง แล้วพ่ายตำแหน่งเมืองท่าสำคัญให้กับเมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) ไปในที่สุด
จนกระทั่งต่อมาราวปี ค.ศ. 1850 บรูจส์กลายเป็นเมืองที่ยากจนที่สุด แต่ปลายศตวรรษที่ 19 บรูจส์กลับกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง เพราะเป็นแหล่งรวมสถานที่ทางประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง โดยสหภาพยุโรปได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อบูรณะบรูจส์ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว จนเวลานี้บรูจส์กลายเป็นเมืองที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาสัมผัสมากที่สุด เพราะมีความโรแมนติกและมีชีวิตชีวา บรูจส์จึงกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่ถูกฝังไว้กับอดีตนานเกือบ 5 ศตวรรษ
บรูจส์ถูกล้อมรอบด้วยคูเมืองถึง 2 ชั้น ซึ่งส่วนหนึ่งในอดีตใช้เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู แต่ปัจจุบันบ้านเรือน อาคาร และโบสถ์ ยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม นั่นคือ เฟลมิช และเรอเนสซองส์ ที่ดูวิจิตรสวยงามดุจดั่งมนต์ขลัง ตึกรามบ้านช่องดูเป็นระเบียบ ถนนหนทางก็ดูสะอาดตา นั่นเป็นเพราะผู้คนที่นี่มีระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก และยังสามารถรักษาเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงทางการพาณิชย์และวัฒนธรรมเมืองหนึ่งของยุโรป บรูจส์จึงพัฒนาสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับส่วนต่างๆ ของโลก และมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับงานจิตรกรรมสายพริมิทีฟ เฟลมิช (School of Flemish Primitive Painting)
พวกเฟลมิช เบกีนาจ (Flemish Béguinages) คือสตรีที่อุทิศชีวิตให้กับพระเจ้าโดยมิได้ละทิ้งทางโลก ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 (พุทธศตวรรษที่ 18) พวกเธอได้สร้างเบกีนาจ คือชุมชนที่มีอาณาเขตปิดล้อม ออกแบบให้เหมาะแก่ความต้องการทางจิตวิญญาณและทางวัตถุของกลุ่ม ซึ่งเฟลมิช เบกีนาจ ประกอบด้วยบ้านพักอาศัย โบสถ์ อาคารประกอบและพื้นที่สีเขียว มีผังที่มีที่มาจากชุมชนเมืองหรือชนบท และก่อสร้างขึ้นในรูปแบบเฉพาะของพื้นที่วัฒนธรรมของเฟลมิช สถานที่เหล่านี้เป็นสิ่งเตือนให้ระลึกถึงประเพณีของกลุ่มเบกีนที่พัฒนาขึ้นในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือในยุคกลาง
จากโรงแรมที่พัก “Grand Hotel Casselbergh Brugge” ซึ่งเป็นโรงแรมสุดคลาสสิกที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เดินออกมาไม่นานก็ถึงลานกว้างที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง ที่ผสมผสานศิลปะทั้งโกธิกและเรอเนสซองส์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ด้านข้างอีกมุมเป็นที่ตั้งของมหาวิหารโฮลี บลัด (Holy Blood) หรือ “บาซิลิกาแห่งพระโลหิต” ซึ่งเป็นที่เก็บกระบอกที่เชื่อกันว่าภายในบรรจุหยดพระโลหิตพระเยซู ที่ครูเสดนำมาราวปลายศตวรรษที่ 12
เดินถัดออกไปก็พบกับจัตุรัสกลางเมืองที่เรียกว่า “มาร์เกต สแควร์” (Market Square) ซึ่งมีหอระฆัง ป้อมปราการประจำเมือง สร้างขึ้นที่จัตุรัสตลาดหลักราวปี ค.ศ. 1240 แม้ว่าส่วนใหญ่ถูกทำลายด้วยไฟแล้วสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1280 และพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง รวมถึงตลาด ร้านขายของที่ระลึก และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สินค้าเลื่องชื่อของเบลเยียม อย่าง “ช็อกโกแลต” นั่นเอง
โบสถ์ในเมืองบรูจส์ค่อนข้างมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะที่โบสถ์พระแม่มารีแห่งนี้มีประติมากรรมหินอ่อนชื่อว่า Madonna & Child ที่งดงาม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมือง เมื่อเดินเข้าไปภายในจะพบกับความมหัศจรรย์ของประติมากรรมหินอ่อนอันเลื่องชื่อที่ดูอ่อนช้อยงดงาม ซึ่งเป็นผลงานแกะสลักจากฝีมือศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง “มิเคลันเจโล”
ที่จัตุรัสใจกลางเมืองนี้ หลายคนต่างออกมายืดเส้นยืดสายสัมผัสภูมิเมืองสุดอลังการ พร้อมกับนั่งจิบกาแฟรับแดดรับลมตามร้านอาหารที่มีอยู่รอบจัตุรัส แต่บางวันในช่วงฤดูหนาวอากาศไม่เป็นใจจึงมีเมฆฝนสลับกับแสงแดดบ้างเป็นบางครั้ง แต่กิจกรรมต่างๆ มากมายบริเวณจัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้ก็แทบจะไม่ว่างเว้น อย่างเทศกาลเบียร์ ก็จะมีขบวนพาเหรดยกมาอวดโฉมแสดงถึงความเป็นมาแบบดั้งเดิม ผู้คนก็แต่งตัวแบบชาวพื้นเมือง เป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวต่างเมืองเป็นอย่างมาก
ด้วยความที่เมืองมีขนาดกะทัดรัด การเดินทางด้วยเท้าหรือจักรยานจึงสะดวกที่สุด พื้นที่ท่องเที่ยวหลักส่วนใหญ่จะเป็นรถฟรีทำให้ยิ่งพอใจมากขึ้นในการสำรวจถนนของเมือง ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่มีการประกาศกับยูเนสโกมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2000 ในการรับรู้ของนักท่องเที่ยวยังคงรักษาความสวยงามอาคารยุคกลาง
วันหนึ่งผมมีโอกาสได้นั่งเรือชมเมืองบรูจส์ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไม่ควรพลาดจริงๆ เพราะการล่องเรือในบรูจส์จะทำให้คุณได้เห็นมนต์ขลังของสถาปัตยกรรมทั้งแบบบาโร้ค เฟลมิช และเรอเนสซองส์ ผ่านตัวอาคารบ้านเรือน โบสถ์ รวมถึงบ้านที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์และสวยงาม โดยมีพลขับเรือซึ่งทำหน้าที่เป็นไกด์ด้วยอธิบายความเก่าแก่ของอาคารแต่ละหลังทั้งโบสถ์ที่มีหน้าต่างที่เล็กที่สุดในโลก
สุดทางน้ำใกล้ๆ กันเป็นทะเลสาบเล็กๆ ย่านใจกลางเมืองที่เรียกว่า “ทะเลสาบแห่งความรัก” (The lake of love) มีบรรยากาศร่มรื่นชวนฝัน รอบๆ สวนสาธารณะค่อนข้างเงียบสงบทำให้ผู้คนที่มาเยือนรู้สึกเหมือนออกห่างจากความเร่งรีบและละทิ้งทุกสิ่งจากความวุ่นวาย ที่สำคัญเวิ้งทะเลสาบเล็กๆ นี้ เป็นที่อาศัยของหงส์สุดสง่างามที่มักจะอยู่กันเป็นคู่ๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศโรแมนติกมากยิ่งขึ้นไปอีก บริเวณนี้จึงเป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมากในช่วงวันหยุด
จากคลองสายสำคัญ ผมขึ้นฝั่งเพื่อไปเยือนพิพิธภัณฑ์เบียร์ ด้วยความที่เบลเยียมขึ้นชื่อในเรื่องประเทศที่ผลิตและจำหน่ายเบียร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเบียร์จำหน่ายมากกว่า 600 ยี่ห้อ จึงมีพิพิธภัณฑ์โรงเบียร์หลายแห่ง แต่ครั้งนี้มีโอกาสมาเยือนพิพิธภัณฑ์โรงเบียร์เฮนรี แมส์ (Henri Maes) อันเก่าแก่ของตระกูลแมส์ ที่ดำเนินกิจการสืบต่อกันมาถึง 6 ชั่วอายุคน ปัจจุบันบริหารงานโดย “Xavier Vanneste” ที่สืบต่อกิจการจากมารดา “เวโรนิก แมส์” (Veronique Maes) ทายาทรุ่นที่ 5 ของตระกูล ที่นี่มีทั้งเบียร์ให้ดื่มและมีรายละเอียดบอกเล่าเรื่องราวของเบียร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของบรูจส์
ที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนเบลเยียม นั่นก็คือ “ช็อกโกแลต” เพราะเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องช็อกโกแลต ทั้งยังได้รับการยกย่องจากปรมาจารย์ด้านช็อกโกแลตหลายๆ ท่านว่า ลูกกวาด (Bonbons) และช็อกโกแลตสอดไส้ (Pralines) ของประเทศนี้อร่อยที่สุดในโลก ซึ่งในเมืองบรูจส์สุดโรแมนติกนี้ก็มีร้านขายช็อกโกแลตอยู่กว่า 40 แห่งเลยทีเดียว บางร้านตกแต่งสไตล์โบราณพร้อมกลิ่นจรุงของเมล็ดโกโก้และช็อกโกแลตรูปแบบต่างๆ เรียงรายอยู่ในร้านคอยยั่วน้ำลายผู้มาเยือน บางร้านทำช็อกโกแลตกันแบบสดๆ กับมือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าเยี่ยมยอดทั้งในเรื่องคุณภาพของรสชาติและกระบวนการผลิต
วัตถุดิบที่มีคุณภาพคือปัจจัยสำคัญในการปรุงช็อกโกแลตชั้นยอด ด้วยการใช้ช็อกโกแลตสดใหม่ที่มาจากแหล่งปลูกจริงๆ ซึ่งในแต่ละปีจะมีการเก็บเกี่ยวเมล็ดโกโก้กัน 2 ครั้ง และของที่ดีที่สุดจะมาจากประเทศไอวอรีโคสต์, กานา และปาปัวนิวกินี บางครั้งก็มี “ตองกา” (Tonka) ที่ทำจากช็อกโกแลตขาวผสมครีมข้น (White Ganache) กะทิ วานิลลาเบอร์เบิน และเมล็ดโกโก้พันธุ์ตองกาจากประเทศเวเนซุเอลา หรือ “ฮาวานา” (Havana) ที่ทำจากอัลมอนด์บดผสมน้ำตาล (Marzipan) และเหล้าลิเคียวร์จากใบยาสูบพันธุ์คิวบา หมักในเหล้ารัมและคอนยัคอย่างละครึ่ง ความพิเศษของช็อกโกแลตชนิดนี้จึงอยู่ที่รสชาติที่ผสมผสานกันหลากหลาย กับไส้ในสุดเซอร์ไพรส์ที่ใครๆ ก็นึกไม่ถึง
สำหรับชาวเบลเยียมแล้ว ช็อกโกแลต คือ ความคลั่งไคล้ที่ห้ามใจไม่ได้ มันเป็นเสมือนสิ่งเสพติดที่แสนหวาน และเป็นความภูมิใจของประเทศเขา และส่วนใหญ่ทำด้วยมือทุกขั้นตอน และส่งออกไปขายยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ส่วนใครที่อยากเจาะลึกเรื่องราวของช็อกโกแลตอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่ควรพลาด “ช็อกโก สตอรี-เดอะ ช็อกโก มิวเซียม” (The Choco Story - The Choco Museum) ซึ่งเป็นบ้านยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดหลังหนึ่งในเมืองบรูจส์ ในอาคารนำเสนอเรื่องราวของช็อกโกแลตเมื่อ 2,600 ปีก่อนจนถึงยุคปัจจุบัน เช่น เรื่องการค้นพบเมล็ดโกโก้ของชาวเผ่ามายา ผู้นำโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่ม รวมทั้งใช้เป็นเงินตราด้วย และกระบวนการผลิตช็อกโกแลตตั้งแต่ขั้นตอนแรกขณะยังเป็นเมล็ดโกโก้ เป็นต้น
ที่นี่ยังมีการสะสมกล่องและแม่พิมพ์แบบช็อกโกแลตไว้จำนวนหนึ่ง บางชิ้นเจ้าของสะสมของมาตั้งแต่ยุคก่อนโคลัมเบียน พวกเขาจึงเริ่มต้นตั้งแต่จุดนั้น เพื่อต้องการให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งความรู้ และต้องการให้แฟนพันธุ์แท้ของช็อกโกแลตเบลเยียมรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเวลาที่พวกเขามาที่นี่ และวันนั้นผมมีโอกาสทำช็อกโกแลต อาจารย์ผู้สอนให้ออกแบบง่ายๆ โดยการใช้ช็อกโกแลตมาเขียนเป็นลวดลายตามสไตล์ของแต่ละคน และวันนั้นผมได้ออกแบบคำว่า Celeb Online โดยปล่อยช็อกโกแลตเหลวออกมา จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จ พร้อมกับเสียงภูมิใจที่แต่ละคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่า Celeb Online ได้มาสัมผัสและเยือนดินแดนแห่งนี้แล้ว
เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสลิ้มรสช็อกโกแลตสลับกับเบียร์ท้องถิ่น ท่ามกลางลมหนาวในช่วงวินเทอร์ที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป และนี่คือ “บรูจส์” ดินแดนที่สุดแห่งความโรแมนติก :: Text by FLASH
Flight File
สายการบินไทยบินตรงไป-กลับ กรุงเทพฯ-บรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ซึ่งจะออกเดินทางจากทั้งกรุงเทพฯ และบรัสเซลส์ โดยเที่ยวไป เที่ยวบินที่ TG 934 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 00.30 น. ถึงบรัสเซลส์ เวลา 07.00 น. และเที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ TG 935 ออกจากบรัสเซลส์ เวลา 13.30 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 06.20 น. ของวันรุ่งขึ้น ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ประกอบด้วยที่นั่งชั้นธุรกิจ จำนวน 30 ที่นั่ง และชั้นประหยัดจำนวน 262 ที่นั่ง ซึ่งติดตั้งจอทีวีส่วนตัวพร้อมระบบสาระบันเทิงภายในเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดในทุกที่นั่งทุกชั้นโดยสาร
การบินไทยถือเป็นสายการบินแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้บริการบินตรงเส้นทางระหว่างประเทศไทย และราชอาณาจักรเบลเยียม ซึ่งการเปิดเส้นทางบินไป-กลับเส้นทางใหม่นี้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารในการเดินทางจากกรุงบรัสเซลส์ ของราชอาณาจักรเบลเยียม ไปยังประเทศใกล้เคียง อาทิ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก และสาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารจากประเทศเหล่านี้ในการเดินทางมายังประเทศไทย เชื่อมต่อไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ facebook : www.facebook.com/ThaiAirways ; twitter: @ThaiAirways ; http://www.thaiairways.com หรือโทรศัพท์ 0-2356-1111