>>ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเฟื่องฟูทำให้คนทุกเพศทุกวัยเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย มีส่วนช่วยทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและเพลิดเพลินยิ่งขึ้น แต่ใครจะไปคิดว่าปัจจุบันมีสาวสวยคนหนึ่งที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับไอทีได้อย่างฉะฉานไม่ต่างจากผู้ชายที่เชี่ยวชาญด้านไอที นั่นคือ “ซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์” ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการเกี่ยวกับไอที จนได้รับฉายาว่า “เจ้าหญิงแห่งวงการไอที”
ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการเกี่ยวกับไอที “ซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์” เล่าให้ Celeb Online ฟังว่า เธอใฝ่ฝันอยากทำงานเป็นผู้สื่อข่าวมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งความน่าสนใจของอาชีพนี้อยู่ที่การได้แสดงความสามารถด้านภาษาและไหวพริบปฏิภาณของตัวเอง เพราะเธอชื่นชอบด้านภาษาต่างประเทศมาตั้งแต่ชั้นประถม พอขึ้นมัธยมปลายจึงเลือกเรียนสายศิลป์ภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่เซนต์โยเซฟคอนเวนต์ จากนั้นเธอก็สามารถสอบเข้าเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบเกียรตินิยมอันดับ 2 สาขาวารสารสนเทศและสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งในระหว่างที่เธอเรียนในรั้วจามจุรีนั้น ก็มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ด้านการแสดง ทั้งภาพยนตร์, มิวสิกวิดีโอ และพิธีกรรายการวัยรุ่นมากมาย นอกจากนี้เธอยังทำตามความฝันในวัยเด็กด้วยการฝึกงานที่หนังสือพิมพ์ Bangkok Post และสำนักข่าว AP ประจำประเทศไทย ทั้งยังไปฝึกงานเป็นผู้สื่อข่าวสายโทรทัศน์อีกด้วย
“ซีเข้าวงการตั้งแต่ปี 1 ทำมาเกือบจะทุกอย่างทั้งงานโฆษณา งานพิธีกร เล่นหนัง และเล่นมิวสิกวิดีโอ ถามว่าไม่เคยทำอะไรดีกว่า สมัยเรียนปี 1 ปี 2 ก็จะมีไปแคสต์งานบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ แคสต์ไป 100 งาน ได้อยู่ 2 งาน (หัวเราะ) ส่วนมิวสิกวิดีโอที่เล่น รุ่นพี่ที่ทำงานอยู่แกรมมี่จะชวนไปเล่น ส่วนหนังก็เล่นเรื่อง 5 แพร่ง เล่นตอน แดน D2B เป็นตัวเอก แต่คนก็จำไม่ค่อยได้ เพราะเป็นบทรับเชิญ ไม่ได้เป็นตัวหลัก ซีว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตด้วย แต่พออยู่ปี 3 มีโอกาสเรียนด้านวารสารศาสตร์ จึงไปฝึกงานที่หนังสือพิมพ์ Bangkok Post และสำนักข่าว AP ประจำประเทศไทย ปรากฏว่าได้รับประสบการณ์ที่ดีเยอะมาก จึงขอไปฝึกงานเป็นผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ดูบ้าง ไปหมดแทบจะทุกช่อง ยกเว้นเพียงช่อง 7 แห่งเดียวที่ไม่มีโอกาสได้ไปทำงาน”
โอกาสกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต
แต่แล้วจุดพลิกผันในชีวิตของเธอก็เกิดขึ้น สิ่งที่เคยคิดเคยวาดฝันไว้ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อเธอมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งที่เราเรียกมันว่า “เทคโนโลยี” ในห้วงที่เธอเรียนอยู่ปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งในสมัยนั้น มันคือสิ่งที่ใหม่มากๆ สำหรับคนโดยทั่วไป ความคุ้นเคยและความเข้าใจในสิ่งนี้ถือว่าน้อยมาก แต่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธอ สิ่งนี้กลับกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของเธอ พร้อมจุดประกายความรู้สึกหลงใหลอยากรู้ขึ้นมาทันทีที่ได้สัมผัส นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อนาคตผู้สื่อข่าวสาวในวันนั้น ผันเปลี่ยนมาเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการเทคโนโลยีในวันนี้ จนมีผู้คนรู้จักและให้การยอมรับอย่างกว้างขวาง
“พอเรียนปีสุดท้ายซีค้นพบว่า จริงๆ แล้วตัวเองชอบทางด้านไอทีมากกว่าการเป็นผู้สื่อข่าว ก็เลยทำงานด้านไอทีมาจนถึงปัจจุบัน และซีจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ งานที่ทำตอนนี้ก็มีงานพิธีกร ผู้ประกาศ และโปรดิวเซอร์รายการด้านไอที ซีทำงานที่บริษัทโซเชียล แลป ที่รับทำงานไอทีโปรโมเตอร์ โปรโมตสินค้าและบริการด้านไอทีดิจิตอลให้กับทุกๆ สื่อ
...สำหรับการทำงานของซีทุกอย่าง ซีคิดว่ามันเป็นการก้าวขึ้นบันได ไม่ได้ขึ้นลิฟต์ และไม่ได้มีอะไรมาแบบฟลุกๆ แต่ซีพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่แบบนี้ เพราะไม่ชอบอะไรที่หวือหวา แม้ว่าจะเป็นคนที่ชอบอะไรที่ท้าทายตัวเองก็ตาม เพราะฉะนั้น ซีจะค่อยๆ ทำในสิ่งที่ชอบ อย่างน้อยเราดังหรือไม่ดังไม่รู้ หรือมันจะเป็นแค่ผลพลอยได้ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งคือต้องเคารพในสิ่งที่ทำและเลือก แต่ถ้าบังเอิญได้รับการยอมรับจากทุกคนก็เหมือนเป็นความโชคดีของเราเองค่ะ”
เจ้าหญิงวงการไอที และวลีติดหู “Ceemeagain”
พอเธอได้ยินคำถามจากเราในฐานะที่เธอเป็น “เจ้าหญิงวงการไอที” เธอรีบปฏิเสธโดยทันทีว่า เธอไม่ได้เป็นเจ้าหญิงของวงการไอที แต่เธอยังคงเป็นตัวเธอที่เคยเป็นและเป็นมาตลอด เพียงแต่บางครั้งการได้รับคำชื่นชม ก็ยังคงเป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นเตือนให้ตัวเองพัฒนาอยู่เสมอและนำมาเป็นกำลังใจในการทำงานให้ดีที่สุด
ด้วยความตั้งใจในการทำงานของเธอจึงมีผลงานหลายด้าน ทั้งผู้ประกาศข่าว พิธีกรรายการด้านไอที และการมีส่วนร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ผลิตรายการไอทีทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์จำนวนมาก ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จัก และมีชื่อเรียกในออนไลน์อย่างติดหูว่า Ceemeagain จากเว็บไซต์ที่ผลิตรายการออนไลน์ของตัวเอง ชื่อ Ceemeagain.com เว็บทีวีออนไลน์นำเสนอรายการแนวเทคโนโลยี-บันเทิงเชิงสาระบนเว็บไซต์กว่า 7 รายการ ภายใต้แนวคิดที่จะนำเสนอรายการที่มีสาระ เพิ่มลูกเล่นสร้างความสนุกให้กับรายการ สร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่รับชมทุกเพศทุกวัย
“สำหรับการยกย่องให้เป็นเจ้าหญิงไอที ซียอมรับว่าเป็นคำที่น่าชื่นใจและน่าภูมิใจมาก เพราะการมีคนนิยมชมชอบตัวซีแล้วเขาให้เกียรติเรามันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก แต่ลึกๆ แอบคิดมากเกี่ยวกับเรื่องการคาดหวังในตัวเอง เพราะโดยส่วนตัวแล้วซีเป็นคนง่ายๆ สบายๆ รู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นและต้องทำให้สุดความสามารถเท่าที่จะทำได้ พอมีการตอบรับที่ดีจากคนทั่วไป มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มความสุขในการดำเนินชีวิต เพราะการที่เราเป็นตัวเราเองในวันนี้ มันเป็นอะไรที่มีความสุขและรู้สึกวิเศษมาก”
ไอดอลคนรุ่นใหม่ แรงบันดาลใจคนรุ่นหลัง
นอกเหนือจากการทำหน้าที่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแล้ว เธอยังทำหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อเยาวชนรุ่นหลังได้อย่างดีอีกด้วย เธอมีแง่คิดดีๆ หลายต่อหลายอย่างในการแนะแนวทางในการใช้ชีวิตตลอดจนการแสดงตัวอย่างให้เห็นจากวิถีชีวิตของเธอเอง
“มีน้องบางคนยกให้ซีเป็นไอดอล เดินเข้ามาหาด้วยแววตาที่ชื่นชม อยากให้สอน อยากให้ช่วยชี้แนะผลักดัน ซีก็จะสอนแนะนำเขา เพราะไม่ได้เป็นคนหวงวิชา ซีคิดว่าคนเรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน กับงานที่เราทำ กับคนที่เราเจอ แค่นี้มันก็ดีที่สุดแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เธอจะบอกตัวเองและคนรอบๆ ตัวเสมอก็คือ “ยังไงเราก็เป็นตัวเรา อย่าไปลืมตัวในสิ่งที่เราเคยเป็นในวันที่เราไม่ได้มีอะไร
...เรื่องการมีไอดอลหรือมีใครสักคนเป็นต้นแบบ อยากให้ทุกคนเคารพตัวเองในสิ่งที่เป็น เรามีคนอื่นเป็นไอดอลเป็นต้นแบบได้ แต่อย่าพยายามเป็นเหมือนคนอื่น จะเกลียดก็ให้เกลียดในสิ่งที่เราเป็น อย่าใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะไม่นานคุณก็จะเหนื่อย และคุณไม่มีทางเป็นเหมือนเขาได้โดยเด็ดขาด ฉะนั้น ซีก็จะพยายามช่วยแนะแนวทางให้เขาค้นหาตัวเองให้เจอ เพราะซีจะถนัดเรื่องการให้แรงบันดาลใจ เพราะในวันที่ท้อแท้อ่อนแอ ซีก็ต้องการกำลังใจหรือแรงบันดาลใจ และต้องการให้ใครสักคนเข้ามาจุดประกายให้ เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเราทุกคนจะทำได้ แค่เพียงเราต้องทำอย่างมีทิศทาง ทำให้ถูก รู้จักตัวเอง แล้วมันก็จะดีเองในแบบของตัวเรา”
เทคโนโลยีในอนาคตกับทิศทางของสังคมไทย
มุมมองของเธอที่มีต่อวงการไอทีในบ้านเรานั้น ค่อนข้างที่จะทะลุปรุโปร่ง น้อยคนนักที่จะมาสนใจหรือใส่ใจกับความเคลื่อนไหวหรือความเป็นไปของโลกไอที นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัวเธอเป็นที่ยอมรับของคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งเธอได้สื่อความหมายและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของโลกไอทีในอนาคตได้อย่างน่าฟัง และทำให้เราครุ่นคิดตามว่า
“ยุคต่อไปในอนาคต อีก 3-4 ปีข้างหน้า ซีจะเรียกมันว่าเป็นยุค Internet of Things ที่ทุกๆ คนจะรู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตคือสิ่งที่จำเป็นต้องมี ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างก็เริ่มลามเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาข้อมือ แว่นตา สิ่งเหล่านี้จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของคน จะทำให้เราเป็นประเภทเบื่อไม่เป็น เมื่อใดก็ตามที่เกิดความเบื่อ สมองก็จะสั่งการให้หยิบโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ไอทีขึ้นใช้งาน แล้วความเบื่อในตัวเราก็จะหายไป
...เพราะฉะนั้น ยุคต่อไปจะเป็นยุคที่น่าเป็นห่วงในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่จะเติบโตมาในยุคต่อไป พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรในขณะที่พ่อแม่ยังติดเทคโนโลยีอยู่แบบนี้ ยิ่งประเทศไทยของเราเป็นประเทศผู้ใช้ ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิต การที่เราตามกระแสมากจนเกินไป อาจส่งผลเสียในระยะยาว เพราะฉะนั้น ซีคิดว่าผู้ใหญ่น่าจะเริ่มคิดในเรื่องพวกนี้แล้วส่งผ่านไปยังเด็กรุ่นใหม่ ซีจะพูดคำนี้ตลอดว่า “ไม่ต้องฉลาดมากก็ได้ขอแค่ใช้ให้เป็น”
เพราะในความคิดคนยุคก่อนเขาฉลาดมากตรงที่เขาอ่านตำราแล้วสามารถจดจำได้เลย แต่เด็กยุคนี้ไม่ต้องพึ่งตำราแล้วแค่เปิดจอแล้วรู้ว่าต้องหาคำว่าอะไร ตรงไหน เช่น ต้องการอะไรก็ไปค้นที่ Google เช่นครั้งหนึ่งซีไปร่วมงานกับคุณแม่ของ ก๊อต จิรายุ ปรากฏว่า ท่านเปิดรูปให้ดูว่าทำโยคะแบบไหนบ้าง แต่ทั้งหมดเรียนมาจาก Youtube หมดเลย อาจารย์ที่สอนก็คือคลิปใน Youtube ซีเห็นแล้วซีอ้าปากค้างเลย ฉะนั้น สำหรับซีแล้ว วันนี้เราจะเป็นอะไรก็ได้ เราอยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้ แต่คุณอยากรู้หรือเปล่าแค่นั้นเอง ก็เป็นยุคของความรู้จริงๆ อยู่ที่คุณจะอยากได้หรือเปล่าเท่านั้น”
ส่องกล้องมองไอทีสไตล์ Ceemeagain
ด้วยความที่เธอทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสายไอที ที่จะต้องเกาะติดกระแส ล้วงลึกข้อมูล ตลอดจนวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ออกมาเป็นข้อมูลเพื่อนำเสนอสู่สายตาประชาชนโดยทั่วไป ทำให้เธอได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมีวิวัฒนาการ ทั้งในแง่ลบและแง่บวก ซึ่งเราขอให้เธอช่วยวิเคราะห์สื่อออกมาเป็นคำอธิบายที่ง่ายต่อการเข้าใจ ซึ่งเธอก็ไม่อิดออดหรือมีท่าทีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ตรงกันข้าม คำถามของเรากลับเหมือนประกายไฟที่ไปจุดชนวนกระบวนการความคิดของเธอ ให้พรั่งพรูข้อมูลดีๆ มากมาย ที่น่าเรียนรู้และน่าศึกษาติดตามยิ่งนัก
“เทรนด์การตลาดในประเทศไทยกับทั้งโลกอาจไม่เหมือนกัน คนไทยเก่งมากในทางนี้ สมเป็นประเทศผู้ใช้ คือ มีอะไรหลายอย่างที่น่าประหลาดใจ เช่น การแท็กฝากร้าน เป็นอะไรที่ครีเอตสุดๆ อีกอย่างก็คือการเปิดร้านค้าใน IG ที่เป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อยและมียอดขายดีมาก เพราะโลกไอทีตรงนี้มันเปิดกว้าง บางคนที่เห็นและมีโอกาสสัมภาษณ์ พูดตรงๆ เลยว่าต้องปรบมือให้ เพราะอายุน้อยมาก แต่มีความคิดที่สวนทางกับอายุ สามารถโฟกัสธุรกิจได้ตรงจุด และใช้การสื่อสารผ่านโลกไอทีเป็น เลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกกับธุรกิจของตัวเอง”
...แต่ในบางครั้งก็จำเป็นต้องระมัดระวังในเรื่องของมารยาทในการใช้สื่อออนไลน์ด้วย ต้องประเมินคนอื่นที่ต้องสัมผัสกับสื่อของเราด้วยว่าเข้าใจภาพธุรกิจได้เท่าเราหรือไม่ เพราะถ้าไม่เป็นแบบที่พูด ก็จะกลายเป็นผลเสียต่อธุรกิจมากกว่าผลดี บางบริษัทสั่งคนอัปเดตทุกเรื่อง มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อธุรกิจตัวเอง บางครั้งข้อมูลความลับบริษัทมันต้องจัดการวางแผนและบริหารเพื่อให้เหมาะสม ส่วนบริษัทเล็ก อาจไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนี้ เจ้าของธุรกิจสามารถลงมาบริหารจัดการเองได้ เพราะไม่ได้มีงบเยอะ และไม่มีช่องทางการตลาดให้เลือกเยอะมากนัก สิ่งที่ทำจึงมีโอกาสส่งผลดีมากกว่าผลเสีย”
สิ่งที่อยากฝากถึงผู้อ่านทุกท่าน
แม้ว่าเธอจะมีความสุขกับการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผู้ผลิตรังสรรค์ขึ้นมาให้พวกเราได้ใช้งานกัน แต่เธอก็ยังคงไม่ลืมที่จะมองย้อนกลับถึงมุมที่อาจเกิดปัญหาหรือสร้างความเสียหายให้กับวิถีชีวิตอันเป็นปกติของเรา หลายต่อหลายครั้งที่เธอได้อ่านข่าวเกี่ยวกับภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้เธอย้อนคิดและมองหาต้นเหตุของภัยร้ายเหล่านั้น และอยากสะท้อนมุมมองตัวเองผ่านเราไปถึงผู้อ่านทุกคนให้รู้เท่าทันมัน ดังบทหนึ่งในการสนทนา
“ถ้าจะพูดถึงข้อเสียของเทคโนโลยีก็มีเยอะนะ แต่ที่สำคัญก็คือ เรื่องความไม่รู้ เป็นข้อเสียที่แย่ที่สุด เพราะบางคนบอกว่าแก่แล้วไม่ต้องรู้ก็ได้ ไม่ต้องอัปเดตหรอกให้ลูกทำ แต่ความไม่รู้นี่แหละที่จะทำให้คุณโดนหลอกลวง หรือว่าโดนแอบอ้าง ไม่ได้แปลว่าคุณไม่เล่น facebook วันนี้คุณจะรอด หลายคนเพราะไม่เล่นนี่แหละโดนแอบอ้างรูปและชื่อ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว รู้อีกทีนี่ก็เอาไปก่อกิจกรรมบางอย่างกับคนอื่น ไม่ได้ก่อกับเรา แต่ก็เอาไปก่อกับคนอื่นก็เลยอยากให้ผู้ใหญ่หลายคนสมัคร facebook ไว้กันตัวเอง อย่าให้ใครเอาไปแอบอ้างได้
...กรณีพวกแอบอ้างนี่ฟ้องร้องกันบ่อยสุดแล้ว ซีพูดถึงความไม่รู้มันก็ตีความได้หลายอย่างนะ เพราะว่าทุกอย่างที่เราใช้มันไปได้หลายทิศทางที่เราไม่รู้ อย่างเช่น ปักหมุดในพิกัด foursquare ไปเรื่อยๆ โจรผู้ร้ายเห็นที่อยู่เราแล้วเอามาดักปล้นเราได้ มันก็มีเกิดขึ้นในหลายๆ ที่แล้ว ความไม่รู้มันน่ากลัวค่ะ เพราะซีก็เป็นคนที่ไม่รู้มาก่อน แล้วซีคิดว่ามันไม่ดีเลย โลกมันกำลังจะเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีโดยดิจิตอล และมันก็เปลี่ยนทุกวงการนะไม่ใช่แค่เฉพาะวงการไอที ฉะนั้น รู้เถอะ ไม่ใช่ไม่รู้ไม่ได้ แต่จะใช้ไม่ใช้นั่นอีกเรื่องนึง”
“ส่วนเรื่องการเสพติดไอที ซีว่ามันเป็นเรื่องที่ห้ามกันยากนะ เพราะอย่างตัวซีเองก็เล่นเองบางครั้ง เอาเป็นว่าควรจะมีวิจารณญาณในการพิจารณาใช้ให้เหมาะสม แล้วหันมาใช้ชีวิตบ้าง เพราะอย่างตัวซีเอง ซีทำงานแบบนี้ แต่ว่าวันไหนที่ซีหยุดทำงาน หมายถึงหมดเวลาทำงานหรือทำงานเสร็จแล้ว และซีตัดสินใจไปใช้ชีวิตกับเพื่อนหรือกับครอบครัวหรืออะไรก็ตาม ซีจะไม่ค่อยหยิบมือถือมาใช้เลยค่ะ มองคนรอบข้าง มองตาคุณพ่อดูว่าวันนี้คุณพ่อผมหงอกเยอะขึ้นไหม คุณแม่ขมวดคิ้วกี่ครั้ง ดูว่าวันนี้เขามีความสุขกับชีวิตเขาไหม เราอยากจับมือมองตากับคนที่เรารัก
แทนที่จะมองแต่จอ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ซีก็จะไม่พยายามไปเล่น เราต้องให้เกียรติกับคนที่เราอยู่ด้วย ซีจะมีชั้นลำดับการสื่อสารของซีอยู่ อย่างเช่น ถ้าต้องการส่งข้อความสำคัญจริงๆ ต้อง SMS สำคัญรองลงมาก็เป็น Line สำคัญขึ้นมาหน่อยอยากคุยให้รู้เรื่องไป WhatApp หรือถ้านัดงานหรือข้อความที่สำคัญต้อง SMS เท่านั้น ส่วนการคอนเฟิร์มคิวหรือจะคุยธุระก็โทร.มาเท่านั้น เพราะเราจะมีลำดับความสำคัญอยู่ ”
นี่ก็คือบทสนทนาของเรากับ “ซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์” ที่เธอแสดงให้เราเห็นตลอดการสนทนาว่า ชื่อเสียงและการยอมรับจากผู้คนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่ความคิดและสิ่งที่เธอลงมือทำในทุกๆ วันต่างหาก คือเครื่องบ่งชี้ความเป็นคนสำคัญของวงการโลกไอทีในเมืองไทย ฉะนั้นแล้ว คำว่า “เจ้าหญิงแห่งวงการไอที” คงไม่ใช่สิ่งที่เกินความจริงในการให้เกียรติหญิงสาวที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่ออนาคตของวงการไอทีบ้านเรา :: Text by FLASH
10 แอปพลิเคชัน ที่น่าสนใจและควรมีไว้
เราจึงขอให้เธอแนะนำ 10 แอปพลิเคชันที่น่าสนใจและควรมีไว้ เพื่อแชร์ให้กับผู้อ่านของเรา พอสิ้นคำถาม เธอล้วงเอาอุปกรณ์มือถือหลากหลายยี่ห้อจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 เครื่องออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ เธอให้เหตุผลว่า เพราะต้องศึกษาเรียนรู้เทคโนโลยีที่มากับอุปกรณ์ไอทีใหม่ๆ โดยตลอด ทำให้เธอมีอุปกรณ์พวกนี้จำนวนมาก เพราะอุปกรณ์แต่ละชิ้นแต่ละอัน ผู้ผลิตก็ต้องการที่จะสร้างจุดเด่นและความแตกต่างให้กับอุปกรณ์ของตัวเอง ซึ่งเธอแบ่งแอปพลิเคชันที่เราร้องขอตามระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยม นั่นก็คือ ระบบ IOS จากค่าย APPLE และระบบปฏิบัติการ ANDRIOD จากฝั่งคู่แข่ง อย่างละ 5 แอปพลิเคชัน
โดยภาพรวม ซีคิดว่าคนเราควรจะมีความชำนาญในอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะปัจจุบันอุปกรณ์ส่วนมากราคาแพง ราคาพอๆ กับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ฉะนั้น การศึกษาและใช้งานจนถนัดเป็นอย่างๆ ไป จะมีประโยชน์มากกว่าการใช้สลับไปมา
:: ในส่วนของ IOS ขอแนะนำ
1.Adobe Ideas เป็นโปรแกรมที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบการวาดเขียน เพราะใช้งานง่ายมาก สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เราคิดออกมาเป็นภาพทำให้คนอื่นเห็นและเข้าใจในแบบเดียวกัน
2.Google Drive สามารถใช้จัดเก็บข้อมูลออนไลน์และให้คนอื่นสามารถเข้ามาแก้ไขข้อมูลให้เราได้ด้วยโดยไม่ต้องรอเรา
3.Dropbox การใช้งานก็จะคล้ายๆ กันกับ Google Drive ที่ซีใช้แบ็กอัพข้อมูลที่เป็นรูปภาพ คลิปวิดีโอต่างๆ มีประโยชน์ในการแชร์ข้อมูลให้คนอื่นนำมาใช้ประโยชน์
4.Eraser โปรแกรมในการลบแบ็กกราวนด์ข้างหลังภาพ ใช้ง่ายและเร็ว มีประโยชน์มากๆ
5.Music Playlist เป็นแอปที่เขาเซ็นสัญญากับ Youtube โดยที่เราสามารถเลือกฟังเพลงโดยไม่ต้องโหลดเก็บไว้ในเครื่องให้หนักเครื่อง
:: ในส่วนแอปของ Android ขอแนะนำ
1.InstaFontMaker เป็นแอปที่ให้เราเขียน A-Z ด้วยลายมือของตัวเอง เมื่อมีการใช้งาน ข้อความก็จะถูกแทนที่ด้วยตัวอักษรที่เรากำหนดไว้
2.Magisto ใช้ในการตัดต่อวิดีโอ ข้อดีของมันคือ แอปนี้มันฟรี และใช้งานง่ายมากๆ ทำให้หมดเลย
3.Houzz แอปนี้เป็นแอปแต่งบ้านคล้ายๆ นิตยสารดูภาพบ้าน ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องรับแขกและห้องนอน
4.Google ระบบการสั่งการของ Google ตอนนี้มันไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะฟังก์ชันในการสั่งการภาษาไทย ต้องไปลองเล่นดู ซีว่าดีที่สุดแล้วตอนนี้
5.SnapTee เป็นโปรแกรมออกแบบเสื้อยืด ใช้ง่ายมากค่ะ แล้วก็น่าจะเป็นโปรแกรมออกแบบเสื้อยืดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็น
สิ่งที่ตรงข้ามกับไอที
เธอบอกกับเราว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ หนังสือแนวปรัชญา หนังสือพลังจิตหรือหนังสือเหนือธรรมชาติ และหนังที่ชอบดูก็จะเป็นแนวไซไฟ เช่น เรื่องลูซี่ฯ
ถ้าหมดยุคไอทีเธอจะทำ...?
หากวันใดหมดยุคไอทีหรือไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยีแล้ว เธอจะเข้าป่าปลูกต้นไม้ที่เธอชอบหรือทำสวนสมุนไพรที่เธอรัก