คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
หนาวนี้ มีงานบรอนซ์เต็มบ้าน เนื่องจากสาวน้อยดินเผาทั้งหลายที่ได้เดินทางสู่โรงหล่อเมื่อเดือนที่แล้ว ได้ผ่านกรรมวิธีและขั้นตอนต่างๆ นานา อันมีรายละเอียดมากมาย จนกลายมาเป็นงานบรอนซ์สีสวยๆ มาวางเด่นอวดโฉมเรียงรายกันอยู่ภายในบ้านของฉัน
เมื่อคิดย้อนไปแล้วฉันก็อดนึกภูมิใจไม่ได้ ว่าในสมัยก่อนที่ยังทำงานเป็นดินปั้นอย่างเดียวนั้น ความฝันที่จะมีงานของตัวเองเป็นงานหล่อ ดูมันช่างไกลแสนไกลเสียเหลือเกิน ด้วยค่าหล่อที่แพงแสนแพง และประกอบกับในใจก็คิดแต่ว่างานหล่องานบรอนซ์ต่างๆ เหล่านั้น มักมีแต่งานของครูบาอาจารย์ที่มีฝีมือเก่งฉกาจฉกรรฉ์ และมีแต่งานที่มีความงดงามสมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่เขาจะนำมาหล่อกัน
งานหญิงสาวตะล๊อกต๊อกแต๊กแบบงานของฉันไม่เคยเห็นปรากฏมีใครเขาทำและหล่อกันออกวางเลย
ฉันคิดถึงวันแรกที่ได้นำงานเดินเข้าไปในโรงหล่อ สอบถามราคาค่าหล่ออย่างพินอบพิเทาเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่สุด ฉันพบกับเจ้าของโรงหล่อที่แสนใจดี บอกราคามาในประมาณที่ฉันรับได้ไม่แพงอย่างที่ฉันคิดมาก่อนในตอนแรก และจากวันนั้นจนถึงวันนี้นับเป็นเวลาร่วมสิบปีมาแล้ว ฉันจึงมีงานบรอนซ์หลายต่อหลายชิ้น หลายต่อหลายแบบเริ่มปรากฏขึ้นในงานแสดง งานแสดงร่วมกับศิลปินอื่นๆ บ้าง งานแสดงเดี่ยวเล็กๆ ของตนเองบ้าง
ฉันคิดถึงวันแรกที่ได้ลองเอ่ยปากถามต่อเจ้าของแกลเลอรี่แห่งหนึ่งที่มาซื้องานของฉัน ว่าอยากขอนำงานไปฝากวางขายด้วยบ้างได้หรือไม่
ฉันก็ได้รับคำตอบรับด้วยความยินดี นับแต่นั้นมา งานบรอนซ์ของฉันจึงเดินทางไปวางอวดโฉมอยู่ ณ.แกลเลอรี่แห่งนั้น และนับเป็นเวลานานแรมปีอีกเช่นกันกว่าจะมีคนผู้ผ่านมาพบและถูกชะตากับงานเหล่านั้น จนกระทั่งยอมควักเงินในกระเป๋าซื้อมันไป นานเท่าใด ฉันก็เพียงแต่รอ
ในการทำงานนั้น ฉันทำและไม่รั้งรอใครนอกจากตัวของตัวเอง แต่เมื่องานออกไปสู่สายตาคนแล้วนั้น เป็นหน้าที่ของงานเอง ที่จะเป็นที่ถูกตาต้องใจของใครซักคนที่หลงรักมัน และซื้อมัน ฉันทำงานด้วยตัวและใจของฉัน แต่ฉันปล่อยให้งานขายตัวของมันเอง ฉันทำเช่นนั้นเสมอ และตลอดมา
ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องยกยองานของตัวเองเพื่อให้ใครชอบมันและซื้อ สิ่งที่ฉันทำเมื่อมีโอกาสอยู่ต่อหน้าคนซื้องาน นั้นคือการเล่าเรื่องอันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานเท่านั้นนั่นเอง
ในการขายงานบรอนซ์กับแกลเลอรี่ในระยะแรกๆ นั้น เริ่มจากหนึ่งปีมีคนซื้อ สองปีมีคนซื้อ แม้นานๆ จะขายงานออกไปได้สักชิ้นหนึ่ง มันก็ไม่ทำให้ฉันหมดกำลังใจเลย
ฉันรู้สึกถึงแต่ความดีใจที่มีคนมาซื้อไปเท่านั้น และเจ้าของแกลเลอรี่นั้นก็ได้พูดให้กำลังใจกับฉันด้วยเช่นกัน ในทุกๆ ครั้งที่ขายงานได้และเขาโอนเงินมาให้ฉัน ฉันจึงจะได้รับโทรศัพท์สักครั้งบอกเล่าถึงจุดด้อยจุดเด่นของงาน บอกเล่าถึงอุปสรรคในการขายการซื้อของคน และสิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่แกลเลอรี่มีและพบเจอ เล่าสู่กันฟังกับฉัน
ฉันเพียงรับรู้ทางปลายสาย และทำงานอยู่นิ่งๆ ยังบ้านของฉันอย่างนั้นเสมอมา
แต่ในตอนนี้ที่บ้านของฉันนั้นมีงานบรอนซ์วางเต็มไปหมดเสียทุกตู้ ช่องโน้นก็มีงาน ช่องนี้ก็มีงาน สองวันมาแล้วที่ฉันเฝ้าแต่สาละวนอยู่กับการจัดบ้าน
จัดงานลงในตู้ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบที่มีแต่เสียงนกร้อง บรรดารูปปั้นนางเล็ก นางน้อย งานบรอนซ์ฝีมือฉัน ต่างนั่งลอยหน้าลอยตา บ้างก็นอนเอกเขนกหลังอยู่บนพื้นตู้ สีเขียวสดนั้นดูทันสมัยแปลกตา สีไข่ไก่ราวกับสีของดินเผานั้นเล่าก็ดูอบอุ่นนุ่มนวล ส่วนสีน้ำผึ้งเป็นมันวาวนั้นก็ดูสวยงามแบบลุ่มลึกเปี่ยมพลังของหญิงสาว
งานแบบละสามสี ต่างถูกใจฉันไปเสียทั้งหมด ถูกใจไปคนละแบบ การมีงานอยู่เต็มตู้ในฤดูหนาวนี้นั้น ช่างเป็นความสมบูรณ์ของบ้าน บ้านของฉันดูไม่มีช่วงเวลาใดจะมีงานเต็มสมบูรณ์เกินไปกว่าช่วงเวลานี้
ฉันเดินดูไปมาอยู่บนบ้าน มองในตู้ ขยับแล้วขยับอีก เปลี่ยนอันนั้นมาวางตรงนี้ เปลี่ยนอันนี้ไปวางตรงนั้น งานปั้นของฉันดูเป็นส่วนประกอบเดียวกันไปกับบ้าน
ไม่มีแท่นแสตนด์วางงาน แต่ฉันวางมันไว้ในตู้ บนโต๊ะหัวเตียง หน้ากระจก ทุกอย่างดูเป็นชีวิตที่กลมกลืนกัน ของหญิงสาวคนเดียวกัน แต่ต่างอิริยาบท ต่างอารมณ์ที่ฉันปรุงแต่งลงไปในงาน
ฉันเดินไปที่ใต้ถุนบ้าน ต้นแบบดินเผาที่วางเรียงรายบ้างหัวขาด แขนขาด ขาขาด ไม่มีชิ้นใดสมบูรณ์พร้อมเมื่อนำกลับมาจากการทำต้นแบบที่โรงหล่อ
ฉันค่อยๆ ขนงานต้นแบบดินเผาที่แตกพังเหล่านั้น เดินไปยังท่าน้ำหน้าบ้าน แล้วโยนมันลงไปในแม่น้ำทีละชิ้น ทีละชิ้น หลายเที่ยวต่อหลายเที่ยว แล้วฉันก็กวาดบ้านในที่นั้นจนสะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยของที่แตกหักให้เห็นอีกต่อไป ต้นแบบนั้นเป็นสิ่งที่ศิลปินต้องเก็บ แต่ฉันไม่มีห้องเก็บสิ่งเหล่านี้ซึ่งนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ
การโยนลงไปในแม่น้ำ จึงเป็นการคืนดินให้กับแผ่นดินของฉัน
ฉันย้อนนึกไปถึงวันเวลาแห่งความเป็นเด็ก ที่เคยเดินลัดเลียบริมตลิ่ง แม่น้ำในยามฤดูแล้งนั้นมีเศษซากกระเบี้องลายดอกสีสวยผุดขึ้นมาให้เห็น
เด็กน้อยเช่นฉันหยิบมันขึ้นมาจากพื้นน้ำที่เคยอยู่ใต้ดินด้วยความรักและสนใจ สนใจในเศษซากที่มีสีและลวดลายดอกไม้ที่สวยงาม สนใจในที่มาว่า "เหตุใดหนอ
เศษกระเบื้องสีสวยเหล่านี้จึงได้มาตกอยู่กลางแม่น้ำเช่นนี้ และในอีกร้อยปีข้างหน้า อาจมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนอื่น ที่พบเจอเศษศรีษะรูปปั้นหญิงสาวที่มีใบหน้ายิ้มละไม จมอยู่ในพื้นดินเบื้องล่าง และเกิดความสงสัยใคร่รู้เช่นเดียวกันกับฉัน
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
หนาวนี้ มีงานบรอนซ์เต็มบ้าน เนื่องจากสาวน้อยดินเผาทั้งหลายที่ได้เดินทางสู่โรงหล่อเมื่อเดือนที่แล้ว ได้ผ่านกรรมวิธีและขั้นตอนต่างๆ นานา อันมีรายละเอียดมากมาย จนกลายมาเป็นงานบรอนซ์สีสวยๆ มาวางเด่นอวดโฉมเรียงรายกันอยู่ภายในบ้านของฉัน
เมื่อคิดย้อนไปแล้วฉันก็อดนึกภูมิใจไม่ได้ ว่าในสมัยก่อนที่ยังทำงานเป็นดินปั้นอย่างเดียวนั้น ความฝันที่จะมีงานของตัวเองเป็นงานหล่อ ดูมันช่างไกลแสนไกลเสียเหลือเกิน ด้วยค่าหล่อที่แพงแสนแพง และประกอบกับในใจก็คิดแต่ว่างานหล่องานบรอนซ์ต่างๆ เหล่านั้น มักมีแต่งานของครูบาอาจารย์ที่มีฝีมือเก่งฉกาจฉกรรฉ์ และมีแต่งานที่มีความงดงามสมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่เขาจะนำมาหล่อกัน
งานหญิงสาวตะล๊อกต๊อกแต๊กแบบงานของฉันไม่เคยเห็นปรากฏมีใครเขาทำและหล่อกันออกวางเลย
ฉันคิดถึงวันแรกที่ได้นำงานเดินเข้าไปในโรงหล่อ สอบถามราคาค่าหล่ออย่างพินอบพิเทาเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่สุด ฉันพบกับเจ้าของโรงหล่อที่แสนใจดี บอกราคามาในประมาณที่ฉันรับได้ไม่แพงอย่างที่ฉันคิดมาก่อนในตอนแรก และจากวันนั้นจนถึงวันนี้นับเป็นเวลาร่วมสิบปีมาแล้ว ฉันจึงมีงานบรอนซ์หลายต่อหลายชิ้น หลายต่อหลายแบบเริ่มปรากฏขึ้นในงานแสดง งานแสดงร่วมกับศิลปินอื่นๆ บ้าง งานแสดงเดี่ยวเล็กๆ ของตนเองบ้าง
ฉันคิดถึงวันแรกที่ได้ลองเอ่ยปากถามต่อเจ้าของแกลเลอรี่แห่งหนึ่งที่มาซื้องานของฉัน ว่าอยากขอนำงานไปฝากวางขายด้วยบ้างได้หรือไม่
ฉันก็ได้รับคำตอบรับด้วยความยินดี นับแต่นั้นมา งานบรอนซ์ของฉันจึงเดินทางไปวางอวดโฉมอยู่ ณ.แกลเลอรี่แห่งนั้น และนับเป็นเวลานานแรมปีอีกเช่นกันกว่าจะมีคนผู้ผ่านมาพบและถูกชะตากับงานเหล่านั้น จนกระทั่งยอมควักเงินในกระเป๋าซื้อมันไป นานเท่าใด ฉันก็เพียงแต่รอ
ในการทำงานนั้น ฉันทำและไม่รั้งรอใครนอกจากตัวของตัวเอง แต่เมื่องานออกไปสู่สายตาคนแล้วนั้น เป็นหน้าที่ของงานเอง ที่จะเป็นที่ถูกตาต้องใจของใครซักคนที่หลงรักมัน และซื้อมัน ฉันทำงานด้วยตัวและใจของฉัน แต่ฉันปล่อยให้งานขายตัวของมันเอง ฉันทำเช่นนั้นเสมอ และตลอดมา
ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องยกยองานของตัวเองเพื่อให้ใครชอบมันและซื้อ สิ่งที่ฉันทำเมื่อมีโอกาสอยู่ต่อหน้าคนซื้องาน นั้นคือการเล่าเรื่องอันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานเท่านั้นนั่นเอง
ในการขายงานบรอนซ์กับแกลเลอรี่ในระยะแรกๆ นั้น เริ่มจากหนึ่งปีมีคนซื้อ สองปีมีคนซื้อ แม้นานๆ จะขายงานออกไปได้สักชิ้นหนึ่ง มันก็ไม่ทำให้ฉันหมดกำลังใจเลย
ฉันรู้สึกถึงแต่ความดีใจที่มีคนมาซื้อไปเท่านั้น และเจ้าของแกลเลอรี่นั้นก็ได้พูดให้กำลังใจกับฉันด้วยเช่นกัน ในทุกๆ ครั้งที่ขายงานได้และเขาโอนเงินมาให้ฉัน ฉันจึงจะได้รับโทรศัพท์สักครั้งบอกเล่าถึงจุดด้อยจุดเด่นของงาน บอกเล่าถึงอุปสรรคในการขายการซื้อของคน และสิ่งต่างๆ อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่แกลเลอรี่มีและพบเจอ เล่าสู่กันฟังกับฉัน
ฉันเพียงรับรู้ทางปลายสาย และทำงานอยู่นิ่งๆ ยังบ้านของฉันอย่างนั้นเสมอมา
แต่ในตอนนี้ที่บ้านของฉันนั้นมีงานบรอนซ์วางเต็มไปหมดเสียทุกตู้ ช่องโน้นก็มีงาน ช่องนี้ก็มีงาน สองวันมาแล้วที่ฉันเฝ้าแต่สาละวนอยู่กับการจัดบ้าน
จัดงานลงในตู้ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบที่มีแต่เสียงนกร้อง บรรดารูปปั้นนางเล็ก นางน้อย งานบรอนซ์ฝีมือฉัน ต่างนั่งลอยหน้าลอยตา บ้างก็นอนเอกเขนกหลังอยู่บนพื้นตู้ สีเขียวสดนั้นดูทันสมัยแปลกตา สีไข่ไก่ราวกับสีของดินเผานั้นเล่าก็ดูอบอุ่นนุ่มนวล ส่วนสีน้ำผึ้งเป็นมันวาวนั้นก็ดูสวยงามแบบลุ่มลึกเปี่ยมพลังของหญิงสาว
งานแบบละสามสี ต่างถูกใจฉันไปเสียทั้งหมด ถูกใจไปคนละแบบ การมีงานอยู่เต็มตู้ในฤดูหนาวนี้นั้น ช่างเป็นความสมบูรณ์ของบ้าน บ้านของฉันดูไม่มีช่วงเวลาใดจะมีงานเต็มสมบูรณ์เกินไปกว่าช่วงเวลานี้
ฉันเดินดูไปมาอยู่บนบ้าน มองในตู้ ขยับแล้วขยับอีก เปลี่ยนอันนั้นมาวางตรงนี้ เปลี่ยนอันนี้ไปวางตรงนั้น งานปั้นของฉันดูเป็นส่วนประกอบเดียวกันไปกับบ้าน
ไม่มีแท่นแสตนด์วางงาน แต่ฉันวางมันไว้ในตู้ บนโต๊ะหัวเตียง หน้ากระจก ทุกอย่างดูเป็นชีวิตที่กลมกลืนกัน ของหญิงสาวคนเดียวกัน แต่ต่างอิริยาบท ต่างอารมณ์ที่ฉันปรุงแต่งลงไปในงาน
ฉันเดินไปที่ใต้ถุนบ้าน ต้นแบบดินเผาที่วางเรียงรายบ้างหัวขาด แขนขาด ขาขาด ไม่มีชิ้นใดสมบูรณ์พร้อมเมื่อนำกลับมาจากการทำต้นแบบที่โรงหล่อ
ฉันค่อยๆ ขนงานต้นแบบดินเผาที่แตกพังเหล่านั้น เดินไปยังท่าน้ำหน้าบ้าน แล้วโยนมันลงไปในแม่น้ำทีละชิ้น ทีละชิ้น หลายเที่ยวต่อหลายเที่ยว แล้วฉันก็กวาดบ้านในที่นั้นจนสะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยของที่แตกหักให้เห็นอีกต่อไป ต้นแบบนั้นเป็นสิ่งที่ศิลปินต้องเก็บ แต่ฉันไม่มีห้องเก็บสิ่งเหล่านี้ซึ่งนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ
การโยนลงไปในแม่น้ำ จึงเป็นการคืนดินให้กับแผ่นดินของฉัน
ฉันย้อนนึกไปถึงวันเวลาแห่งความเป็นเด็ก ที่เคยเดินลัดเลียบริมตลิ่ง แม่น้ำในยามฤดูแล้งนั้นมีเศษซากกระเบี้องลายดอกสีสวยผุดขึ้นมาให้เห็น
เด็กน้อยเช่นฉันหยิบมันขึ้นมาจากพื้นน้ำที่เคยอยู่ใต้ดินด้วยความรักและสนใจ สนใจในเศษซากที่มีสีและลวดลายดอกไม้ที่สวยงาม สนใจในที่มาว่า "เหตุใดหนอ
เศษกระเบื้องสีสวยเหล่านี้จึงได้มาตกอยู่กลางแม่น้ำเช่นนี้ และในอีกร้อยปีข้างหน้า อาจมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนอื่น ที่พบเจอเศษศรีษะรูปปั้นหญิงสาวที่มีใบหน้ายิ้มละไม จมอยู่ในพื้นดินเบื้องล่าง และเกิดความสงสัยใคร่รู้เช่นเดียวกันกับฉัน
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews