xs
xsm
sm
md
lg

ดร.ศิริภัทรา (ณ ระนอง) คูสุวรรณ ความสุขคือ”การให้”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดร.ศิริภัทรา (ณ ระนอง) คูสุวรรณ
 
“มีความสุขที่ได้ให้ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา อยากเห็นเด็กมีคุณภาพการศึกษามาตรฐานเดียวกัน อยากเป็นอย่างคุณยายคือทำธุรกิจควบคู่ไปกับการช่วยเหลือสังคม แม้งานจะมากกว่าคนอื่นก็มีความสุขที่ได้ทำ” นั่นคือเป้าหมายชีวิตของ ดร.ศิริภัทรา (ณ ระนอง) คูสุวรรณ ทายาทรุ่น 3 กลุ่มบริษัท เพิร์ล จำกัด ที่เข้ามาสานต่อของธุรกิจครอบครัว

ชื่อของเธอหลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหู แต่หากบอกเธอคือหลานสาวคนสวยของคุณหญิงกาญจนา ณ ระนอง เจ้าของเหมืองแร่ผู้มั่งคั่งเมืองภูเก็ตหลายคนคงร้องอ๋อ..ทันที เพราะนอกจากจะร่ำรวยแล้ว ตระกูลนี้ยังสร้างประโยชน์ให้ภูเก็ตมากมาย

 
กลุ่มบริษัท เพิร์ล จำกัด เป็นของคุณหญิงกาญจนา ณ ระนอง ที่จัดตั้งขึ้นหลังจากครอบครัวยุติการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ โดยผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจหลากหลาย อาทิ กิจการโรงแรม อันได้แก่ โรงแรมเพิร์ล ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกในอ.เมือง ภูเก็ต และโรงแรมอินนิโก้ เพิร์ล หาดไนยาง รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และดีลเลอร์รถยนต์โตโยต้า รายใหญ่ในภูเก็ต

ดร.กิ๊ฟ - ศิริภัทรา (ณ ระนอง) คูสุวรรณ สาวเก่งวัย 36 ปี เป็นลูกสาวคนเล็กของสมศักดิ์ กับ วิภาพรรณ และเป็นหลานสาวคุณหญิงกาญจนา ณ ระนอง ที่เข้ามาช่วยครอบครัวกุมบังเหียนธุรกิจของตระกูล บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเธออย่างเรียบง่ายว่า หลังจากจบชั้น ม.2 ที่โรงเรียนสตรีภูเก็ต ก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่อที่ Headington School ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำผู้หญิงล้วน ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ พอจบมัธยมปลาย ก็สอบเข้าเรียนต่อด้านชีวเคมี(Biochemistry) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด จนจบปริญญาเอก

แม้จะไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาโดยตรงในการทำงาน แต่ดร.กิ๊ฟบอกว่า ไม่ใช่ปัญหา เพราะความรู้ที่เรียนมาบางเรื่องก็สามารถประยุกต์ใช้กับการทำงานในปัจจุบันได้เช่นกัน โดยเธอบอกว่าที่เลือกเรียนชีวเคมี เพราะชอบเรื่องวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ และตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะมาทำงานกับครอบครัวเลย

เมื่อพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด เธอก็ยื่นใบสมัครงานเป็นคอลซัล (ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ) บริษัท แมคคินซี่แอนด์คอมพานี ที่ลอนดอน ปรากฏว่าผ่านการคัดเลือก เธอจึงทำเรื่องขอย้ายมาประจำที่ประเทศไทย

“ช่วงนั้นเดินทางเยอะมาก เพราะต้องไปดูแลให้คำปรึกษาลูกค้าที่ส่วนใหญ่ตั้งในโซนเอเชีย ว่าธุรกิจของเขาเดินมาถึงขนาดนี้แล้วควรขยายธุรกิจทำอะไรต่อไปดี กิ๊ฟว่างานคอลซัลเป็นงานที่สนุก ทำให้ได้คิดและได้เรียนรู้ธุรกิจหลายอย่าง กิ๊ฟทำตรงนั้น 5 ปีก็รู้สึกว่าเรียนรู้ทุกอย่างเต็มที่แล้ว ประกอบกับตอนนั้นธุรกิจครอบครัวมีการขยับขยาย ก็ตัดสินใจมาช่วยงานด้านการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ของคุณแม่ที่ภูเก็ตค่ะ”

และอาจเป็นเพราะสายเลือดแห่งการ "ให้" ที่คุณทวด และคุณหญิงกาญจนาผู้เป็นยายปลูกฝังไว้แต่เล็กแต่น้อยนั้น ได้ซึมซับโดยไม่รู้ตัว หลังทำงานที่ภูเก็ตเพียงไม่กี่ปี เธอก็มีความคิดและทนไม่ได้ที่เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคม เธอจึงเดินตามรอยคุณยายด้วยการทำธุรกิจของครอบครัวควบคู่กับการช่วยเหลือสังคม นับเป็นสาวรุ่นใหม่ในจำนวนไม่กี่คนในยุคนี้ที่หันมาให้ความสนใจสังคม

“กิ๊ฟโตมาในครอบครัวที่ทำงานให้สังคม ได้เห็นคุณทวด คุณยาย บริจาคที่ดินให้กับองค์กรการศึกษาหลายแห่งแล้วก็รู้สึกภูมิใจ คุณยายเป็นไอดอลที่กิ๊ฟอยากทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดอย่างนั้นเช่นกัน”

ดร.กิ๊ฟยังแสดงมุมมองเรื่องการให้ว่า คนที่มีโอกาสทางสังคม หากสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ก็จะมีผลต่อสังคมให้เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยโครงการดีๆ ของเธอเน้นไปที่ การให้ทุนการศึกษาเด็กทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ให้เด็กที่สนใจเรียนจริงๆ เพื่อให้ทุนการศึกษาเกิดประโยชน์สูงสุด

สำหรับเรื่องทุนการศึกษานั้น กิ๊ฟบอกว่าให้กันมาตั้งแต่สมัยคุณทวดแล้ว โดยเธอเป็นหลานที่เข้ามาสานต่อกิจกรรมนี้ ส่วนตัวเธอแล้ว สิ่งที่อยากทำคือการพัฒนาการศึกษาของเยาวชนไทย เพราะเมื่อได้สัมผัสเด็กๆที่ใกล้ชิดทำให้รู้ว่าการศึกษาของไทยมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะโรงเรียนอินเตอร์และโรงเรียนของรัฐบาล โดยด๊อกเตอร์สาวยกตัวอย่างที่เคยได้เจอกับตัวเอง

“ตอนนั้นกิ๊ฟได้เล่นกับเด็กๆ ที่เป็นลูกของพนักงานในบริษัท คนหนึ่งเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ส่วนอีกคนหนึ่งเรียนโรงเรียนรัฐบาล คนที่เรียนโรงเรียนรัฐบาลเป็นเด็กที่ครูชื่นชมว่าเรียนดี ได้รับทุนการศึกษา ขณะที่เด็กโรงเรียนอินเตอรืเป็นเด็กที่เรียนได้เกรดเฉลี่ยปานกลาง เมื่อให้เขียนภาษาอังกฤษแข่งกัน ปรากฏเด็กโรงเรียนอินเตอร์ที่เรียนปานกลางทำได้ดีกว่ามาก ทำให้รู้ว่ากระบวนเรียนการสอนของเด็กนั้นแตกต่างกันมาก ตรงนี้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้ชัด เพราะหากเขาจบมาตรฐานกระบวนการความคิดก็แตกต่างกันแน่นอน”

ดร.กิ๊ฟยังบอกอีกว่า ความคิดที่อยากจะพัฒนาเรื่องการศึกษานี้ เธอได้ทดลองทำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยได้รับการสนับสนุนแนวคิดจาก "เน็กซ์ซัส ไทยแลนด์” ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้มีจิตอาสาเพื่อสังคม มาร่วมแชร์ความคิดและประสบการณ์ในการช่วยเหลือสังคม

“กลุ่ม "เน็กซ์ซัส ไทยแลนด์” ที่ดร.กิ๊ฟเข้าไปร่วมด้วยจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจหน้าใหม่ สมาชิกทุกคนสามารถเสนอแผนช่วยเหลือสังคมได้ ซึ่งตรงนี้เธอก็เสนอไอเดียอยากผลักดันเรื่องการศึกษาของเด็กไทยให้มีความเท่าเทียมกันระหว่างเด็กโรงเรียนอินเตอร์กับเด็กโรงเรียนทั่วไป ซึ่งจากการมาเป็นสมาชิกกลุ่มเน็กซ์ซัส ทำให้มีโอกาสได้ไปดูงานหลายแห่ง ได้เห็นตัวอย่างการช่วยเหลือสังคมหลายอย่างที่ประทับใจคือที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ที่ช่วยให้อาชีพคน สอนให้คนอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ได้พึ่งแค่เงินบริจาค แนวคิดนี้ทำให้เธอคิดว่าสามารถนำมาต่อยอดช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้

ปัจจุบันแม้กิจกรรมช่วยเหลือสังคมของดร.กิ๊ฟจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นจุดเล็กๆที่ยังไม่มีใครกล่าวชื่นชม แต่เธอก็พอใจที่ได้ทำ “กิ๊ฟไม่ได้คิดอยากให้คนมายกย่องหรือชื่นชม แต่ที่ทำเพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ถ้าทำตรงนี้สำเร็จ เด็กๆก็จะเติบโตแบบมีคุณภาพ และสามารถเป็นประชากรที่ดีของสังคม สามารถช่วยพัฒนาประเทศชาติได้” ดร.ศิริภัทรา (ณ ระนอง) คูสุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น