คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ชีวิตประกอบด้วยการงานอันเป็นสิ่งสำคัญ และการมีชีวิตนั้นก็คืองาน
"ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" คำๆนี้ฉันเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จวบจนปัจจุบันนี้และในเวลานี้ ฉันได้เห็นสัจจะความจริงจากอำอันเป็นอมตะคำนี้อย่างชัดแจ้ง..เป็นเพราะฉันสร้างงานและงานของฉันได้นำพาบุคคลต่างๆ ให้ได้เข้ามารู้จักมาคบหาสมาคม มาสู่ชีวิตของฉัน มันเกิดขึ้นเพราะการงานแทบทั้งสิ้น
เคยมีบุคคลผู้หนึ่งซึ่งได้เคยกล่าวกับฉันว่า "ผมกับคุณ ถ้าไม่มีเรื่องงานของคุณนั้น เราก็ไม่มีอะไรที่จะคบจะคุยกันได้เลย"
ด้วยสถานะทางสังคมและวัยอันแตกต่างกันนั่นเอง น่าจะเป็นสาเหตุให้เขาพูดอย่างนี้ ฉันได้ยินคำคำนี้มานานแล้ว และมันก็ยังอยู่ในความทรงจำของฉัน มันผุดขึ้นมาในบางครั้งบางหนราวกับเป็นสิ่งเตือนใจแก่ฉันอย่างนั้น
การที่ฉันได้ทำงานอันเป็นงานส่วนตัวของตัวเองเช่นนี้ดูเหมือนกับว่าจะมีแต่อิสระและความสุข ในสายตาคนอื่นๆ แต่ทว่าในความอิสระนั้นฉันก็มีตัวบทกฏเกณฑ์ที่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยพฤติกรรมของตนเองให้ตัวเองได้ปฏิบัติด้วยเช่นกัน หาใช่จะมีอิสระแบบปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปวันๆ ตามอำเภอใจไม่
มีการวางแผนชีวิตล่วงหน้าเอาไว้บ้าง และมีการจัดการชีวิตและการงานโดยระบบอันเกิดขึ้นตามธรรมชาติที่เคยชินของตัวเอง แม้ไม่มีนาฬิกาข้อมือมีขีดคั่นเวลาให้ต้องทำงานตามเวลาที่เดินไปตามเข็ม แต่มีเวลาในความรู้สึกที่จะคอยบอกกับตัวเองว่า ..ถึงเวลาที่ต้องทำงานแล้วนะ งานชิ้นนี้ควรจะใช้เวลาซักกี่วันนะ และเมื่อใดควรจะเริ่มทำงานใหม่นะ อะไรควรทำก่อนทำหลัง
สิ่งเหล่านี้ความรู้สึกจะคอยบอกและเป็นตัวกำหนดให้ต้องดำเนินตามอยู่เสมอ และหากยังฝืนในความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้นอันเป็นการบอกกับตัวเองโดยตรงแล้วละก็..จะเกิดความรู้สึกผิดๆ แย่ๆ กับตัวเองขึ้นมาในทันที
การงานที่ฉันได้กระทำอยู่ในชีวิตนั้น แรกอาจจะเกิดด้วยความรัก แต่ต่อจากนั้นคือการต้องสานต่อของตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยความมานะพยายาม ที่จะสร้างทำแม้บางครั้งคราจะมีความหวั่นไหวต่ออุปสรรค แต่เมื่อจริงใจกับงานและทำออกมาจนเป็นผลสำเร็จ การงานเหล่านั้นจะกลับมาเป็นพลังใจให้กับเราไม่มากก็น้อย
ความสำเร็จหรือสิ่งตอบแทนอาจมาในรูปของเงินทอง อาจมาในรูปของความชื่นชมยินดีจากผู้อื่น อาจเป็นความสุขของตัวเราเอง หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้แล้วนั้น ฉันถือว่านั่นคือการงานที่ประเสริฐสำหรับเราผู้ที่เกิดมาเป็นเพียงแค่มนุษย์เล็กๆคนหนึ่งบนโลกนี้ ที่ได้พบวิธีการดำรงชีพอย่างเช่นนี้แล้ว คำว่า ค่าของคนอันเกิดจากผลของงาน ไม่ได้อยู่ห่างไกลเกินไปจากเราๆ เป็นแน่แท้
เมื่อมีคนถามฉันว่า งานของฉันสร้างมาจากแรงบันดาลใจอะไร ฉันตอบออกไปโดยไม่ลังเลว่า ฉันสร้างมันมาจากความรัก ความรู้สึกหลงรัก และความสุขกับสิ่งที่มากระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ในขณะของการสร้างงานนั้นแม้จะดูเป็นเรื่องปัจเจกเป็นเรื่องส่วนตน แต่เมื่องานสำเร็จเสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้น ถ้ามันสามารถทำให้ผู้พบเห็นมีความสุขใจ สุขตาเคลิ้มฝัน หรือแม้แต่จะเกิดแรงบันดาลใจอันสวยงามขึ้นแก่ใจของเขาผู้สพย์งานได้แล้วนั้น นั่นคือคุณค่าที่ยิ่งใหญ่อันตอบสนองแก่ใจของฉัน
ถึงแม้มันจะไม่เกิดขึ้นในงานทุกๆ ชิ้นที่ได้สร้าง และแม้จะไม่ได้เกิดกับใจของคนทุกๆ คนที่ได้พบเห็นงาน แต่เพียงแค่เกิดกับใจบางใจของคนบางคน กับงานชิ้นใดบางชิ้น นั่นก็ถือว่าไม่เสียแรงของฉันแล้ว
ในวันนี้ฉันก็ยังอยู่ในอาการของคนที่ไม่สบาย หลายโรครุมเร้าฉัน ในเวลาดึกดื่นฉันมักจะตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกำลังเหนื่อยอ่อน และนอนหายใจเข้าออกลึกๆ..
ยิ่งไปกว่านั้นไข้หวัดที่มาจากฤดูกาลและลมฟ้าอากาศก็เข้าเล่นงานฉันจนงอมแงม ทั้งยังใบหน้าที่เป็นผื่นแพ้จากอะไรบางอย่าง ก็คันยุบๆยิบๆ และส่งผลให้ฉันต้องกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ฉันรู้ว่ามันเกิดขึ้นด้วยตัวฉันเองที่พักผ่อนน้อย ฉันเดินทางออกจากบ้านไปทำงานที่โรงหล่อหลายต่อหลายวันติดต่อกัน
แต่ในเวลาที่ฉันออกไปข้างนอกแม้ฉันอาจจะบอกใครว่าฉันไม่ค่อยสบาย แต่ฉันก็ครองตัวครองกายเอาไว้อย่างเป็นปกติ ยิ้มแย้มในแบบที่ฉันเป็น ฉันไม่อยากให้คนที่พบเห็นฉันตกใจหรือไม่สบายใจ
จนเมื่อกลับถึงบ้านและก่อนเข้านอนนั่นแหละ ที่ฉันจะยกมือพนมขอพรจากพระว่าขอให้ฉันปลอดภัยอยู่เสมอ
เพราะในกลางดึกของหลายต่อหลายคืนที่ผ่านมา นับแต่ออกจากโรงพยาบาล ฉันจะตื่นขึ้นมาและเหนื่อยอ่อนที่หัวใจ ฉันเอายาขึ้นมาวางไว้ใกล้ตัวเตรียมน้ำพร้อมไว้เสมอ ที่จะกินมัน เมื่อเกิดอาการเหนื่อยมากๆ ที่หัวใจหรือใจสั่นมากๆ ขึ้นมาเมื่อใด
แต่ทว่าจนแล้วจนรอดฉันก็ยังมิได้กินมันสักเม็ด...ฉันแอบมีความคิดเล็กๆ ว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันจะไม่กินมัน เพื่อฉันจะได้รู้ร่างกายของตัวเองว่ามันไปถึงไหนแล้ว หากฉันกินมันพร่ำเพรื่อยานั่นอาจจะไปบดบังทำลายการรับรู้ของฉัน ให้ฉันไม่รับรู้ในสิ่งที่ร่างกายกำลังเตือนแล้วฝืนทำอะไรที่ไม่ดีแก่ร่างกายต่อไป
สิ่งที่ฉันทำคือการพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่ย่างนั้นจนกระทั่งหลับไปและตื่นขึ้นมาในอาการที่ดีขึ้นเล็กน้อยในตอนเช้า
แต่ฉันก็รู้ว่า ร่างกายกำลังเตือนฉัน บอกกับฉันว่า "ร่างกายนี้ต้องการการพักผ่อนนะ ร่างกายนี้จะใช้ชีวิตสมบุกสมบันอดหลับอดนอนและเครียดไม่ได้นะ ถ้ายังฝืนทำอยู่ละก็จะไม่ยอมต่อไปนะ ร่างกายพร้อมจะป่วยในทันใดนะ..."
เพราะเดี๋ยวนี้แม้เพียงการเดินขึ้นลงบันไดก็ทำให้ฉันเหนื่อยเสียแล้ว ยิ่งเดินไปพูดไปยิ่งทำให้ฉันถึงกับหอบหัวใจเต้นแรง..ดูเหมือนร่างกายจะอนุญาตให้ฉันกระทำได้แต่เพียงการคิด และต้องการเป็นการคิดอย่างสร้างสรรค์เท่านั้น ที่จะไม่ทำร้ายตัวเองหรือไม่ทำให้ป่วยไข้.....
ในเช้าของวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการหลายอย่าง ฉันเข้าห้องน้ำเปิดน้ำอุ่นๆ สระผมแต่เช้าตรู่เพื่อให้หายจากอาการปวดหัวที่แสนทรมาน ฉันคงโดนละอองฝนตั้งแต่เมื่อวานแล้วมิได้สระผม ฉันต้มน้ำทำการดีท๊อกซ์ล้างสารพิษออกจากร่างกายตามวิธีของธรรมชาติบำบัด และจากสิ่งนี้ทำให้ผื่นแพ้บนใบหน้าของฉันเริ่มทุเลาลง
ฉันเช็ดผมให้แห้งแต่งตัวอยู่กับบ้านอย่างสบายๆ ทาวิคส์ที่คอ..หน้าอกและฝ่าเท้าทั้งสองแล้วสวมถุงเท้าไว้ให้อบอุ่น อาการคัดจมูกนั้นมีผลต่อการหายใจของฉันมันทำให้ฉันเหนื่อยเมื่อหายใจเอาอากาศเข้าไปได้น้อย
ในนขณะที่ฉันก้มลงสวมถุงเท้านั้น ฉันคิดถึงน้ำซุปร้อนๆ ของข้าวมันไก่ คิดถึงพริกกับขิงที่หั่นวางไว้ให้อย่างไม่ขี้เหนียวของแม่ค้าคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มและกระตือรือล้นผู้หนึ่งที่ฉันเพิ่งไปได้เจอร้านของเธอ มันแอบอยู่ที่ริมถนนติดๆ กับร้านที่ฉันมักไปเติมลมให้ล้อรถนั่นเอง
ไม่บ่อยนักที่ฉันจะอยากกินเมนูนี้ แต่วันนี้ฉันอยากกินข้าวมันไก่เจือพริกกับขิงจริงๆ
ฉันเกิดประกายในหัวใจขับรถออกไปยังร้านนั้นทันที นึกในใจว่าตราบใดที่ฉันยังนึกถึงของกินได้นั่นคือฉันรอดแล้ว ฉันยังไม่ตายง่ายๆ เป็นแน่ แค่ต้องคอยระวังตัวอย่าทำอะไรเร่งรีบ อย่าตื่นตกอกตกใจอะไร อย่าดีใจเกินไปและอย่าเสียใจกับอะไรเกินไป เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นสิ่งเหนี่ยวนำต่อโรคหัวใจของฉัน
กินเสร็จฉันแวะที่ตลาดใหม่ เป็นชุมชนที่สร้างขึ้นมาใหม่ใกล้ๆ กันกับตลาดเดิมในหมู่บ้านของฉัน ตอนนั้นใครๆ ก็พากันสงสัยว่า แถวบ้านเรานั้นคนก็มีอยู่เท่าเดิม สร้างตลาดใหม่ชุมชนใหม่ขึ้นมาแล้วใครจะมาซื้อใครจะมาอยู่ เพราะตลาดเดิมก็อยู่กันเงียบๆ แทบจะไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว ฉันเห็นพ่อค้าแม่ค้าหน้าตาแปลกหน้าไม่คุ้น
พวกเขาคงมาจากที่อื่นๆ มีความหวังกับการทำมาค้าขายที่นี่ ทุกๆ คนดูมีความหวัง มีเสียงป่าวประกาศจากโทรโข่งชักชวนให้คนเข้ามาทำมาหากินและซื้อของในตลาดใหม่แห่งนี้ แต่เท่าที่ฉันเห็น มีพียงแต่พ่อ่ค้าแม่ค้า คนซื้อนั้นแทบไม่มีเลย พวกเขาคงยังคุ้นเคยกับตลาดเก่า ฉันเดินดูผ่านๆ โดยไม่ได้ซื้อหาอะไรติดมือมา
บนใบหน้าของคนที่ฉันมองไปเจอแบบผาดๆ ในที่นั้น ฉันรู้สึกถึงความดิ้นรน....ในเสียงโทรโข่งที่ประกาศเชิญชวนผู้คนอยู่นั้น ฉันรู้สึกถึงความแก่งแย่ง..ความแก่งแย่งกันในสิ่งที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกระจุกเดียว
ฉันคิดเงียบๆ กับตัวเองในขณะที่เดินออกมาว่า หากพวกเราคือคนบนโลก...
ไม่ว่าจะทำอาชีพการงานใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะทำอยู่ตรงไหนมุมไหนของโลกก็ตาม
ถ้าคนๆนั้นกระทำการงานของตัวเองด้วยความประณีตใส่ใจ และมีจิตอันเจือไปด้วยความหวังดีและการให้ ต่อคนอื่นๆ แล้วไซร้ พวกเขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาว
ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน แห่งใด ก็จะไม่แห้งแล้งจะมีคนไปอุดหนุนเขา เพราะสิ่งดีๆ จากตัวเขาที่เปล่งออกมาเพื่อคนอื่น จะดึงดูดสิ่งดีๆกลับเข้าไปสู่ตัวเขาด้วยเช่นกัน
ความคิดคำนึงลึกๆ..อันเกิดขึ้นในหัวใจที่กำลังเหนื่อยอ่อน แต่ในเนื้อหาของใจก็ยังอ่อนโยนต่อโลกและตัวเองเสมอ
ถ่ายภาพโดย : เกรียงไกร ไวยกิจ และ ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ชีวิตประกอบด้วยการงานอันเป็นสิ่งสำคัญ และการมีชีวิตนั้นก็คืองาน
"ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" คำๆนี้ฉันเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จวบจนปัจจุบันนี้และในเวลานี้ ฉันได้เห็นสัจจะความจริงจากอำอันเป็นอมตะคำนี้อย่างชัดแจ้ง..เป็นเพราะฉันสร้างงานและงานของฉันได้นำพาบุคคลต่างๆ ให้ได้เข้ามารู้จักมาคบหาสมาคม มาสู่ชีวิตของฉัน มันเกิดขึ้นเพราะการงานแทบทั้งสิ้น
เคยมีบุคคลผู้หนึ่งซึ่งได้เคยกล่าวกับฉันว่า "ผมกับคุณ ถ้าไม่มีเรื่องงานของคุณนั้น เราก็ไม่มีอะไรที่จะคบจะคุยกันได้เลย"
ด้วยสถานะทางสังคมและวัยอันแตกต่างกันนั่นเอง น่าจะเป็นสาเหตุให้เขาพูดอย่างนี้ ฉันได้ยินคำคำนี้มานานแล้ว และมันก็ยังอยู่ในความทรงจำของฉัน มันผุดขึ้นมาในบางครั้งบางหนราวกับเป็นสิ่งเตือนใจแก่ฉันอย่างนั้น
การที่ฉันได้ทำงานอันเป็นงานส่วนตัวของตัวเองเช่นนี้ดูเหมือนกับว่าจะมีแต่อิสระและความสุข ในสายตาคนอื่นๆ แต่ทว่าในความอิสระนั้นฉันก็มีตัวบทกฏเกณฑ์ที่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยพฤติกรรมของตนเองให้ตัวเองได้ปฏิบัติด้วยเช่นกัน หาใช่จะมีอิสระแบบปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปวันๆ ตามอำเภอใจไม่
มีการวางแผนชีวิตล่วงหน้าเอาไว้บ้าง และมีการจัดการชีวิตและการงานโดยระบบอันเกิดขึ้นตามธรรมชาติที่เคยชินของตัวเอง แม้ไม่มีนาฬิกาข้อมือมีขีดคั่นเวลาให้ต้องทำงานตามเวลาที่เดินไปตามเข็ม แต่มีเวลาในความรู้สึกที่จะคอยบอกกับตัวเองว่า ..ถึงเวลาที่ต้องทำงานแล้วนะ งานชิ้นนี้ควรจะใช้เวลาซักกี่วันนะ และเมื่อใดควรจะเริ่มทำงานใหม่นะ อะไรควรทำก่อนทำหลัง
สิ่งเหล่านี้ความรู้สึกจะคอยบอกและเป็นตัวกำหนดให้ต้องดำเนินตามอยู่เสมอ และหากยังฝืนในความรู้สึกที่ได้เกิดขึ้นอันเป็นการบอกกับตัวเองโดยตรงแล้วละก็..จะเกิดความรู้สึกผิดๆ แย่ๆ กับตัวเองขึ้นมาในทันที
การงานที่ฉันได้กระทำอยู่ในชีวิตนั้น แรกอาจจะเกิดด้วยความรัก แต่ต่อจากนั้นคือการต้องสานต่อของตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยความมานะพยายาม ที่จะสร้างทำแม้บางครั้งคราจะมีความหวั่นไหวต่ออุปสรรค แต่เมื่อจริงใจกับงานและทำออกมาจนเป็นผลสำเร็จ การงานเหล่านั้นจะกลับมาเป็นพลังใจให้กับเราไม่มากก็น้อย
ความสำเร็จหรือสิ่งตอบแทนอาจมาในรูปของเงินทอง อาจมาในรูปของความชื่นชมยินดีจากผู้อื่น อาจเป็นความสุขของตัวเราเอง หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้แล้วนั้น ฉันถือว่านั่นคือการงานที่ประเสริฐสำหรับเราผู้ที่เกิดมาเป็นเพียงแค่มนุษย์เล็กๆคนหนึ่งบนโลกนี้ ที่ได้พบวิธีการดำรงชีพอย่างเช่นนี้แล้ว คำว่า ค่าของคนอันเกิดจากผลของงาน ไม่ได้อยู่ห่างไกลเกินไปจากเราๆ เป็นแน่แท้
เมื่อมีคนถามฉันว่า งานของฉันสร้างมาจากแรงบันดาลใจอะไร ฉันตอบออกไปโดยไม่ลังเลว่า ฉันสร้างมันมาจากความรัก ความรู้สึกหลงรัก และความสุขกับสิ่งที่มากระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ในขณะของการสร้างงานนั้นแม้จะดูเป็นเรื่องปัจเจกเป็นเรื่องส่วนตน แต่เมื่องานสำเร็จเสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้น ถ้ามันสามารถทำให้ผู้พบเห็นมีความสุขใจ สุขตาเคลิ้มฝัน หรือแม้แต่จะเกิดแรงบันดาลใจอันสวยงามขึ้นแก่ใจของเขาผู้สพย์งานได้แล้วนั้น นั่นคือคุณค่าที่ยิ่งใหญ่อันตอบสนองแก่ใจของฉัน
ถึงแม้มันจะไม่เกิดขึ้นในงานทุกๆ ชิ้นที่ได้สร้าง และแม้จะไม่ได้เกิดกับใจของคนทุกๆ คนที่ได้พบเห็นงาน แต่เพียงแค่เกิดกับใจบางใจของคนบางคน กับงานชิ้นใดบางชิ้น นั่นก็ถือว่าไม่เสียแรงของฉันแล้ว
ในวันนี้ฉันก็ยังอยู่ในอาการของคนที่ไม่สบาย หลายโรครุมเร้าฉัน ในเวลาดึกดื่นฉันมักจะตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกำลังเหนื่อยอ่อน และนอนหายใจเข้าออกลึกๆ..
ยิ่งไปกว่านั้นไข้หวัดที่มาจากฤดูกาลและลมฟ้าอากาศก็เข้าเล่นงานฉันจนงอมแงม ทั้งยังใบหน้าที่เป็นผื่นแพ้จากอะไรบางอย่าง ก็คันยุบๆยิบๆ และส่งผลให้ฉันต้องกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ฉันรู้ว่ามันเกิดขึ้นด้วยตัวฉันเองที่พักผ่อนน้อย ฉันเดินทางออกจากบ้านไปทำงานที่โรงหล่อหลายต่อหลายวันติดต่อกัน
แต่ในเวลาที่ฉันออกไปข้างนอกแม้ฉันอาจจะบอกใครว่าฉันไม่ค่อยสบาย แต่ฉันก็ครองตัวครองกายเอาไว้อย่างเป็นปกติ ยิ้มแย้มในแบบที่ฉันเป็น ฉันไม่อยากให้คนที่พบเห็นฉันตกใจหรือไม่สบายใจ
จนเมื่อกลับถึงบ้านและก่อนเข้านอนนั่นแหละ ที่ฉันจะยกมือพนมขอพรจากพระว่าขอให้ฉันปลอดภัยอยู่เสมอ
เพราะในกลางดึกของหลายต่อหลายคืนที่ผ่านมา นับแต่ออกจากโรงพยาบาล ฉันจะตื่นขึ้นมาและเหนื่อยอ่อนที่หัวใจ ฉันเอายาขึ้นมาวางไว้ใกล้ตัวเตรียมน้ำพร้อมไว้เสมอ ที่จะกินมัน เมื่อเกิดอาการเหนื่อยมากๆ ที่หัวใจหรือใจสั่นมากๆ ขึ้นมาเมื่อใด
แต่ทว่าจนแล้วจนรอดฉันก็ยังมิได้กินมันสักเม็ด...ฉันแอบมีความคิดเล็กๆ ว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันจะไม่กินมัน เพื่อฉันจะได้รู้ร่างกายของตัวเองว่ามันไปถึงไหนแล้ว หากฉันกินมันพร่ำเพรื่อยานั่นอาจจะไปบดบังทำลายการรับรู้ของฉัน ให้ฉันไม่รับรู้ในสิ่งที่ร่างกายกำลังเตือนแล้วฝืนทำอะไรที่ไม่ดีแก่ร่างกายต่อไป
สิ่งที่ฉันทำคือการพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่ย่างนั้นจนกระทั่งหลับไปและตื่นขึ้นมาในอาการที่ดีขึ้นเล็กน้อยในตอนเช้า
แต่ฉันก็รู้ว่า ร่างกายกำลังเตือนฉัน บอกกับฉันว่า "ร่างกายนี้ต้องการการพักผ่อนนะ ร่างกายนี้จะใช้ชีวิตสมบุกสมบันอดหลับอดนอนและเครียดไม่ได้นะ ถ้ายังฝืนทำอยู่ละก็จะไม่ยอมต่อไปนะ ร่างกายพร้อมจะป่วยในทันใดนะ..."
เพราะเดี๋ยวนี้แม้เพียงการเดินขึ้นลงบันไดก็ทำให้ฉันเหนื่อยเสียแล้ว ยิ่งเดินไปพูดไปยิ่งทำให้ฉันถึงกับหอบหัวใจเต้นแรง..ดูเหมือนร่างกายจะอนุญาตให้ฉันกระทำได้แต่เพียงการคิด และต้องการเป็นการคิดอย่างสร้างสรรค์เท่านั้น ที่จะไม่ทำร้ายตัวเองหรือไม่ทำให้ป่วยไข้.....
ในเช้าของวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการหลายอย่าง ฉันเข้าห้องน้ำเปิดน้ำอุ่นๆ สระผมแต่เช้าตรู่เพื่อให้หายจากอาการปวดหัวที่แสนทรมาน ฉันคงโดนละอองฝนตั้งแต่เมื่อวานแล้วมิได้สระผม ฉันต้มน้ำทำการดีท๊อกซ์ล้างสารพิษออกจากร่างกายตามวิธีของธรรมชาติบำบัด และจากสิ่งนี้ทำให้ผื่นแพ้บนใบหน้าของฉันเริ่มทุเลาลง
ฉันเช็ดผมให้แห้งแต่งตัวอยู่กับบ้านอย่างสบายๆ ทาวิคส์ที่คอ..หน้าอกและฝ่าเท้าทั้งสองแล้วสวมถุงเท้าไว้ให้อบอุ่น อาการคัดจมูกนั้นมีผลต่อการหายใจของฉันมันทำให้ฉันเหนื่อยเมื่อหายใจเอาอากาศเข้าไปได้น้อย
ในนขณะที่ฉันก้มลงสวมถุงเท้านั้น ฉันคิดถึงน้ำซุปร้อนๆ ของข้าวมันไก่ คิดถึงพริกกับขิงที่หั่นวางไว้ให้อย่างไม่ขี้เหนียวของแม่ค้าคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มและกระตือรือล้นผู้หนึ่งที่ฉันเพิ่งไปได้เจอร้านของเธอ มันแอบอยู่ที่ริมถนนติดๆ กับร้านที่ฉันมักไปเติมลมให้ล้อรถนั่นเอง
ไม่บ่อยนักที่ฉันจะอยากกินเมนูนี้ แต่วันนี้ฉันอยากกินข้าวมันไก่เจือพริกกับขิงจริงๆ
ฉันเกิดประกายในหัวใจขับรถออกไปยังร้านนั้นทันที นึกในใจว่าตราบใดที่ฉันยังนึกถึงของกินได้นั่นคือฉันรอดแล้ว ฉันยังไม่ตายง่ายๆ เป็นแน่ แค่ต้องคอยระวังตัวอย่าทำอะไรเร่งรีบ อย่าตื่นตกอกตกใจอะไร อย่าดีใจเกินไปและอย่าเสียใจกับอะไรเกินไป เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นสิ่งเหนี่ยวนำต่อโรคหัวใจของฉัน
กินเสร็จฉันแวะที่ตลาดใหม่ เป็นชุมชนที่สร้างขึ้นมาใหม่ใกล้ๆ กันกับตลาดเดิมในหมู่บ้านของฉัน ตอนนั้นใครๆ ก็พากันสงสัยว่า แถวบ้านเรานั้นคนก็มีอยู่เท่าเดิม สร้างตลาดใหม่ชุมชนใหม่ขึ้นมาแล้วใครจะมาซื้อใครจะมาอยู่ เพราะตลาดเดิมก็อยู่กันเงียบๆ แทบจะไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว ฉันเห็นพ่อค้าแม่ค้าหน้าตาแปลกหน้าไม่คุ้น
พวกเขาคงมาจากที่อื่นๆ มีความหวังกับการทำมาค้าขายที่นี่ ทุกๆ คนดูมีความหวัง มีเสียงป่าวประกาศจากโทรโข่งชักชวนให้คนเข้ามาทำมาหากินและซื้อของในตลาดใหม่แห่งนี้ แต่เท่าที่ฉันเห็น มีพียงแต่พ่อ่ค้าแม่ค้า คนซื้อนั้นแทบไม่มีเลย พวกเขาคงยังคุ้นเคยกับตลาดเก่า ฉันเดินดูผ่านๆ โดยไม่ได้ซื้อหาอะไรติดมือมา
บนใบหน้าของคนที่ฉันมองไปเจอแบบผาดๆ ในที่นั้น ฉันรู้สึกถึงความดิ้นรน....ในเสียงโทรโข่งที่ประกาศเชิญชวนผู้คนอยู่นั้น ฉันรู้สึกถึงความแก่งแย่ง..ความแก่งแย่งกันในสิ่งที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกระจุกเดียว
ฉันคิดเงียบๆ กับตัวเองในขณะที่เดินออกมาว่า หากพวกเราคือคนบนโลก...
ไม่ว่าจะทำอาชีพการงานใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะทำอยู่ตรงไหนมุมไหนของโลกก็ตาม
ถ้าคนๆนั้นกระทำการงานของตัวเองด้วยความประณีตใส่ใจ และมีจิตอันเจือไปด้วยความหวังดีและการให้ ต่อคนอื่นๆ แล้วไซร้ พวกเขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาว
ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน แห่งใด ก็จะไม่แห้งแล้งจะมีคนไปอุดหนุนเขา เพราะสิ่งดีๆ จากตัวเขาที่เปล่งออกมาเพื่อคนอื่น จะดึงดูดสิ่งดีๆกลับเข้าไปสู่ตัวเขาด้วยเช่นกัน
ความคิดคำนึงลึกๆ..อันเกิดขึ้นในหัวใจที่กำลังเหนื่อยอ่อน แต่ในเนื้อหาของใจก็ยังอ่อนโยนต่อโลกและตัวเองเสมอ
ถ่ายภาพโดย : เกรียงไกร ไวยกิจ และ ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews