>>เปิดใจ “เพิร์ลลี่-ลักษมีกานต์ อิงคะกุล” ในฐานะเป็นแกนหลักสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการที่ประเทศไทยคว้าสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดเยาวชน One Young World Summit (OYW) ในปี 2015 ซึ่งงานนี้นับเป็นการประชุมระดับนานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนจากทั่วโลกเข้าร่วมกว่า 2,000 คน โดยเธอต้องฝ่าฟันทั้งคู่แข่งที่น่ากลัว รวมถึงต้องรวบรวมแรงกายแรงใจ ทำทุกวิธีเพื่อจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับคณะกรรมการ ถึงความพร้อมและความสามารถของประเทศไทย ท่ามกลางกระแสความวุ่นวายทางการเมือง ทั้งการประท้วงและรัฐประหาร
เมื่อประมาณเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมสุดยอดเยาวชน One Young World Summit (OYW) การประชุมระดับนานาชาติครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีตัวแทนจาก 198 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม ถือว่าเป็นการรวมตัวกันของผู้คนจากนานาชาติที่มีความสำคัญและมีชาติเข้าร่วมที่เป็นรองเพียงแค่การจัดการแข่งขันโอลิมปิก โดยงานนี้จะมีเยาวชนคนเก่งและเหล่าคนดังที่มากความสามารถจากหลากหลายวงการเข้าร่วม อาทิ โคฟี อันนัน, เซอร์บ็อบ เกลดอร์ฟ, เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน ฯลฯ โดยนับเป็นครั้งแรกที่การประชุมนี้จะจัดขึ้นในประเทศแถบเอเชีย โดยประเทศไทยสามารถเอาชนะคู่แข่งคนสำคัญอย่าง แคนาดา, ญี่ปุ่น และฮ่องกง คว้าสิทธิ์การประชุมที่ยิ่งใหญ่นี้มาได้ นับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด
วันนี้ Celeb Online ได้พูดคุยกับ “เพิร์ลลี่-ลักษมีกานต์ อิงคะกุล” เวิร์กกิ้งสาวคนสวย ผู้บริหารแห่งเครือโรงแรมมิราเคิล กรุ๊ป ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการที่ประเทศไทยคว้าสิทธิ์เจ้าภาพ OYW ครั้งนี้ ด้วยความร่วมมือกับสำนักงานกรุงเทพมหานคร สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) แถมเธอยังได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของโครงการนี้ด้วย
One Young World
สำหรับคนไทยแล้ว คำว่า One Young World (OYW) อาจจะดูไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไร แต่ถ้าคุณไปถามเยาวชนระดับหัวกะทิของประเทศต่างๆ ทั่วโลก คำนี้ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากมีส่วนร่วม เพราะ OYW คือการประชุมระดับสุดยอดสำหรับเยาวชนผู้มีอายุระหว่าง 18-30 ปี ที่ได้รับคัดเลือกจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมกว่า 1,300 คน เพื่อแสดงพลังสะท้อนปัญหาและให้ข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา เป็นการแสดงพลังของเยาวชน โดยได้รับการให้ความรู้ คำแนะนำ และแรงบันดาลใจ จากเหล่าบุคคลสำคัญระดับโลกในแวดวงต่างๆ ตลอดระยะเวลาสัมมนา 3-4 วัน
หนึ่งในเยาวชนที่มีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ของการประชุมนี้ อย่างลักษมีกานต์ที่ได้เข้าร่วมงานเมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา ก็ได้แนวคิดดีๆ และเห็นถึงความสำคัญของการประชุมนี้ว่าจะส่งประโยชน์ให้กับประเทศไทย จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการนำการประชุมมาจัดในเมืองไทย ที่จะเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้มีส่วนร่วม
“เพิร์ลลี่รู้จัก OYW เพราะได้อ่านบทความในนิตยสารต่างประเทศ ซึ่งในนั้นมีสกู๊ปเกี่ยวกับการประชุมนี้ว่าคืออะไร ประสบการณ์ของคนที่เข้าร่วม ว่าได้อะไรจากงาน แล้วนำมาพัฒนาตัวเองอย่างไรบ้าง แต่ละคนก็กลับไปทำโครงการดีๆ งานเพื่อสังคมที่บ้านเกิดตัวเอง ช่วยพัฒนาให้ประเทศของตนดีขึ้น แล้วก็สัมภาษณ์เหล่า Guest Speaker ของงาน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนเก่งอย่าง โคฟี อันนัน, เจมี โอลิเวอร์, ริชาร์ด แบรนสัน ซึ่งบุคคลเหล่านี้เขาไม่เพียงแค่ไปบรรยาย แต่ยังเป็น Mentor ให้กับบรรดาเด็กๆ ที่ดูมีศักยภาพ โดยเขาพร้อมจะให้คำแนะนำโดยตรง เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว
...พอได้อ่านเราก็สนใจ เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องโครงการนี้มาก่อน แล้วก็เห็นว่าเขาเปิดรับสมัคร ก็เลยติดต่อเข้าไป โดยที่ไม่รู้เลยว่า งานนี้เขาคัดสรรผู้สมัครยากขนาดไหน โดยเขาจะมีโควตาจำนวนจำกัดให้แต่ละประเทศ คนไทยเราไปร่วมน้อย เพราะไม่ค่อยมีคนรู้จัก จะมีก็แต่พวกองค์กรใหญ่ๆ ที่จะส่งพนักงานระดับหัวกะทิไปเข้าร่วม ในขณะที่ประเทศทั่วโลก และประเทศเพื่อนบ้านเรา เยาวชนเขารู้จักโครงการนี้ แล้วก็แย่งชิงกันมากที่จะเป็นตัวแทนไป อย่างสิงคโปร์นี่ เขาคัดเลือกกันเป็นปีเลยนะ เพื่อหาเด็ก 5 คนไปเป็นตัวแทนประเทศ เพราะเขาถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศเขา ไปโชว์ศักยภาพให้โลกเห็น”
ประสบการณ์สำคัญของชีวิต
ลักษมีกานต์ส่งใบสมัครพร้อมเขียนเรียงความที่ให้เล่าถึง Passion เขียนถึงความสนใจของตนเอง โดยในขณะที่เยาวชนทั่วโลกมักจะเน้นถึงสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ สันติภาพ พร้อมสิทธิมนุษยชน โดยสิ่งที่เธอเขียนถึงคือ เรื่องชาติไทย เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอสนใจมากที่สุด ด้วยความอยากเห็นเมืองไทยดีขึ้น พัฒนาเจริญขึ้น
“เพิร์ลลี่เขียนถึงประเทศไทย เรื่องการศึกษา เรื่องคนสูงอายุ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไปโดนใจเขาตรงไหน ก็ผ่านการคัดเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนประเทศไทย เป็นหนึ่งในเยาวชน 1,200 คนที่ได้ร่วม OYW ของปี 2013 ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ระยะเวลา 4 วัน พร้อมดูงานโครงการเพื่อสังคมต่างๆ ที่น่าสนใจ
...ตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้าร่วม เชื่อไหมว่าน้ำตาเพิร์ลลี่ไหลเลยนะ ด้วยความปีติ เราได้ฟังที่เขาพูดมันสร้างแรงบันดาลใจ มีคำพูดที่ว่า ในชีวิตมนุษย์ทุกคนมีวันสำคัญที่สุดอยู่ 2 วัน คือวันที่เราเกิด กับวันที่เรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เพิร์ลลี่เป็นคนชอบทำงาน รักในงานโรงแรมที่ทำอยู่มาก ขณะเดียวกันก็มีอีก Passion หนึ่งในใจ คือ การช่วยเหลือคน พ่อสอนมาตั้งแต่เด็ก เรื่องทำบุญ ทำเพื่อสังคม ช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า เราก็คิดมาตลอดว่า ถ้าโตขึ้นไปอยากทำมูลนิธิ อยากสร้างโรงเรียนให้เด็กๆ ที่ยากไร้ มันเป็นสิ่งที่เราคิดมานานแล้ว เป็นอีกความฝันที่อยากทำให้สำเร็จ พอวันนั้นได้ไปฟัง ได้ยินเรื่องราวต่างๆ ของคนอื่นๆ เรารู้เลยว่านี่แหละคือสิ่งที่เราหาอยู่ เรารู้แล้วว่าชีวิตนี้จะทำอะไร แล้วก็ต้องทำยังไง มันเหมือนได้คำตอบของชีวิต”
เธอเข้าร่วมการประชุมนี้ด้วยตัวคนเดียว ไม่มีคนรู้จักหรือเพื่อนแม้สักคน แต่เธอกลับมาด้วยมิตรภาพของเพื่อนๆ หลากหลายเชื้อชาติ “นี่คือสิ่งที่เพิร์ลลี่ชอบที่สุดในการประชุมนี้เลยนะ เพราะคนที่เข้าร่วมนี่มีหลากหลายมาก ตั้งแต่คนระดับท็อปสุด อย่างเจ้าชายประเทศแถบอาหรับที่ไปพร้อมบอร์ดี้การ์ดเป็นสิบ พวกเด็กเก่งๆ จากบริษัทต่างๆ ที่ส่งไปร่วมทั้ง ไมโครซอฟท์ กูเกิล ฯลฯ ลูกหลานของคนในสังคมชั้นนำที่ไปด้วยทุนตัวเอง ไปจนถึงคนระดับล่างสุด แต่มีจิตใจที่ดี ความคิดที่ดี ทำงานเพื่อสังคม เคยทำโครงการดีๆ มีผลงานที่โดดเด่นจนได้รับทุนจาก OYW ออกค่าใช้จ่ายให้
...เพื่อนเพิร์ลลี่คนหนึ่งมาจากบาฮามาส เขาจนมาก ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าแบ็กกราวนด์เขาเป็นอย่างไร แต่ตอนนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน เราเห็นเขาตักเบคอนมาเต็มจานมาก ก็แซวไปว่า “That’s a lot of Bacons” เขาตอบมาว่า เขาไม่เคยกินมาก่อน เราแบบน้ำตาคลอเลย ทุกครั้งเรากินเบคอนนึกถึงเขาเลย พออีกวันเพิร์ลลี่เลยพาเขาไปเลี้ยงซูชิ เขาดีใจมาก เขาเข้ามากอดเรา แล้วบอกไม่เคยกิน ชีวิตนี้เคยเห็นแต่ในหนังสือ”
ไอเดียโปรเจกต์สุดยิ่งใหญ่
หลังจากที่เธอได้ฟังประสบการณ์ทำงานด้านสังคมของ Ambassador ประเทศต่างๆ พร้อมกับเห็นข้อดีของการประชุมนี้ ไอเดียที่เกิดขึ้นในหัว ก็ไม่เพียงแค่แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเล็งเห็นช่องทางสำหรับอนาคตของเยาวชนร่วมประเทศด้วย
“เพิร์ลลี่ได้ไปเห็นคนที่อายุเท่าๆ กัน แต่เขาเริ่มลงมือทำโครงการดีๆ มากมายแล้ว ก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจของเราเอง อย่างมีคนหนึ่ง เป็นเด็กเยอรมันแต่ทำโปรเจกต์ Teach Surfing สอนหนังสือให้กับคนในประเทศเคนยา ผ่านอินเทอร์เน็ต ก็มีคนสนใจไปร่วมเครือข่ายเป็นพันคน ได้รับการสนับสนุนมากมาย ทำให้เรากลับมามองว่าที่จริงเมืองไทยเราก็มีเยาวชนที่คิดโครงการดีๆ แบบนี้อยู่เยอะ มีเด็กเก่งๆ หลายคน แต่โครงการที่ทำมันไม่มีคนเห็น ก็เลยคิดว่าทำอย่างไรที่จะเปิดโอกาสให้เด็กไทยมีเวทีโชว์ศักยภาพแบบนี้ให้ทั่วโลกเห็น จะได้รับการสนับสนุนบ้าง จะให้มาเข้าร่วมแบบนี้มันก็ค่าใช้จ่ายสูง และโอกาสที่เด็กเอเชียจะได้รับเลือกก็มีน้อย
จึงเป็นแนวคิดว่า ทำไมเราไม่มีการประชุมแบบนี้ไปจัดที่ประเทศไทยล่ะ เยาวชนเราจะได้มีโอกาสเข้าร่วม และทั่วโลกจะได้เห็นโครงการดีๆ และศักยภาพของคนไทย พอคิดได้ดังนั้นก็เริ่มเลย ตั้งแต่ตอนที่สัมมนาอยู่ที่โจฮันเนสเบิร์กเลย เริ่มจากหาเสียงกับเพื่อนๆ ในรุ่นก่อน แบบไปลองถามเพื่อนๆ ว่าคิดยังไงถ้า OYW มาจัดที่ประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็เห็นดีด้วยว่า ต้องมาประเทศแบบเราที่ยังต้องการการพัฒนา เราก็เริ่มหยอดข้อดีต่างๆ แบบว่ามีสถานที่น่าเที่ยวเยอะนะ ชอปปิ้งก็เยอะ หลังการประชุมก็สามารถไปแบ็กแพ็กต่อต่างจังหวัด มีทั้งภูเขา ทะเลสวยๆ มากมายเลย ทุกคนก็สนใจฮือฮาตาโต เราก็พยายามบิวด์ทุกอย่าง”
พอหลังการประชุม กลับมาเมืองไทย เธอกับผู้ช่วยมือขวาก็เริ่มนั่งวางแผนเพื่อทำให้ความตั้งใจนี้เป็นจริง “ทำกัน 2 คนเท่านั้น เพราะตอนแรกบอกใครก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก OYW เขาเลยมองว่ามันก็แค่อีกการประชุมหนึ่ง ไม่เห็นว่าสำคัญตรงไหน สุดท้ายลักษมีกานต์ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าไปหา กทม. ได้เข้าพบท่านผู้ว่าฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เพราะรู้ว่าท่านสนใจเรื่องการศึกษา เรื่องเยาวชน
ก็หิ้วคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไป ในนั้นมีแค่ไฟล์ เพาเวอร์พอยต์ที่เตรียมรายละเอียดไป โครงการอะไรเราเขียนไม่เป็นหรอก คือไปด้วยใจจริงๆ พกความตั้งใจไปเต็มเปี่ยมกับศรัทธาล้วนๆ ไปพรีเซนต์โปรเจกต์นี้ให้ฟัง ท่านฟังยังไม่ทันจบ ได้ประมาณหน้าที่ 4 ก็ได้ยินท่านบอกว่าพอๆ เราก็ใจแป้วเลย นึกว่าจะไม่สำเร็จ แต่กลายเป็นว่าท่านไฟเขียว เห็นดีด้วย บอกว่าให้เอามาเลย ลุยให้สำเร็จ พร้อมกับให้ทีมงานมาช่วยแนะนำ”
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มติดต่อกับทาง OYW เพื่อขอลงสมัครคัดเลือกเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเธอมีเวลาเตรียมงานและเอกสารทุกอย่างเพียง 1 เดือนก่อนปิดรับสมัคร
“ถือได้ว่ากล้ามาก เพราะคู่แข่งเราประเทศใหญ่ๆ ทั้งนั้น อย่าง สิงคโปร์ ดูไบ ฝรั่งเศส ฯลฯ ใครๆ ก็อยากได้งานนี้ อย่างฮ่องกงเองก็เสนอตัวมา 3 รอบแล้ว ประเทศอื่นเขาเตรียมการกันมาเป็นปีเลย ต้องขอบคุณทาง กทม. และ สสปน. พร้อมทั้งอินเด็กซ์วิลเลจ ที่ช่วยทำข้อมูลการเสนอแบบมืออาชีพมาก จนสุดท้ายประกาศผลมา เราเข้ารอบ 4 เมืองสุดท้ายอย่างเหลือเชื่อ”
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
หลังจากกรุงเทพมหานครได้เข้ารอบสุดท้ายไปแข่งขันกับฮ่องกง, แคนาดา และญี่ปุ่นแล้ว ก็ถึงคราวที่คณะกรรมการตัดสินจะตระเวนเดินทางเยี่ยมดูความพร้อมของประเทศต่างๆ ซึ่งในช่วงนั้นตรงกับช่วงพฤษภาคม - มิถุนายน ที่ประเทศไทยกำลังมีการประท้วงใหญ่กันอยู่
“ตอนที่ประท้วงเพิร์ลลี่ก็คิดว่ามันเป็นข้อดีนะ จะพาเข้าไปดูบรรยากาศการประท้วงด้วย เพราะเราประท้วงเรื่อง Anti-corruption ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี กำลังทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดี แต่พอใกล้ถึงวันที่เขาจะเดินทางมา เริ่มมีทหารออกมา มีการเคอร์ฟิว ก็เริ่มใจไม่ดีแล้ว ได้แต่ภาวนาว่าอย่าปฏิวัตินะ ขอให้งานผ่านไปก่อน และสุดท้ายก่อนถึงกำหนดการเดินทาง 10 กว่าวัน ก็มีประกาศรัฐประหาร เพิร์ลลี่นี่ทรุดเลยนะ ร้องไห้เลย เพราะรู้สึกว่างานทั้งหมดที่ทำมามันสูญเปล่าแน่ เขาไม่มาแน่ เพราะทางนั้นเขากลัวอันตราย และไม่สนับสนุนเรื่องรัฐประหาร อาจจะต้องตัดสิทธิ์เรา”
ได้ยินอย่างนั้น ลักษมีกานต์ที่แม้จะใจไม่ดี แต่ก็ไม่คิดจะท้อ ขอยอมแพ้ เธอติดต่อเขากลับไป พร้อมยืนกรานว่า ยังไงก็ต้องมาประเทศไทย มาดูให้เห็นกับตา โดยเธอใช้ไหวพริบ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการให้เหตุผลว่า “เพราะบ้านเมืองเราเป็นแบบนี้แหละ OYW ยิ่งต้องมาจัดที่นี่ เพราะถ้าคุณไปจัดที่ประเทศอย่างญี่ปุ่น ฮ่องกง แคนาดา ประเทศนั้นมันเหมือนหนังสือที่เขียนเสร็จแล้ว เขาเขียนกันจบจนพิมพ์รอบ 3 รอบ 4 แล้ว
แต่ประเทศไทยนี่แหละ บทแรกยังไม่ได้เริ่มเลย ทำไมคุณไม่มาเขียนกับเรา มาเปิดหนังสือไปกับเรา คุณไม่อยากมาเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เหรอ พร้อมยกเอาหัวใจหลักของ OYW มาย้ำ ว่าเขาสอนเพิร์ลลี่และเยาวชนทุกคนว่า เราเป็น Power of Change แล้วนี่ประเทศไทยกำลัง Change นะ คุณไม่อยากมาให้ความรู้ ให้โอกาสเด็กไทย ได้ประสบการณ์ดีๆ เพื่อที่จะนำไปเปลี่ยนแปลงประเทศเหรอ”
เรียกได้ว่าข้อคิดเธอตรงใจ เพราะสุดท้ายคณะกรรมการก็ยอมตัดสินใจมา ซึ่งเพิร์ลลี่เองก็ทำการต้อนรับอย่างเต็มที่ โดยเธอบอกว่าเธอใช้ประสบการณ์ด้านงานบริการของโรงแรมที่เธอเชี่ยวชาญ มาทำให้คณะกรรมการทุกคนประทับใจ ซึ่งไม่เพียงแค่นั้น หลังจากคณะกรรมการบินกลับไป เธอตัดสินใจที่จะบินไปอังกฤษ เพื่อขอเข้าพบกับผู้ก่อตั้งโครงการ และไปพรีเซนต์ประเทศไทยอีกรอบด้วยตัวเอง
“เพิร์ลลี่ไปพรีเซนต์สุดหัวใจเลย พูดถึงว่าประเทศไทยเป็นยังไง เปิดคลิปให้ดูว่าเรามีประท้วง มีรัฐประหารนะ แต่มันเพื่อการเปลี่ยนแปลงนะ นำเอาแนวความคิด ทัศนคติมุมมองของไทยไปให้เขาเห็น เขามองแต่ภาพข่าวก็อาจจะไม่เข้าใจจริงๆ เราพูดจากใจ เขารับฟังแล้วก็บอกว่า นี่เป็นการนำเสนอที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา แต่ก็บอกกับเราว่าอย่าเสียใจถ้าไม่ได้รับเลือก เราทำดีที่สุดแล้ว แต่มันต้องอาศัยเหตุผลอื่นๆ เช่นเกิดสปอนเซอร์บอกไม่เอาด้วย ไม่ให้มาประเทศไทยเพราะดูอันตราย หรือกลัวจะเป็นการสนับสนุนแนวคิดรัฐประหาร อย่างนี้มันก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน...
เราได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มทำใจ คือเดินออกมาจากห้องพรีเซนต์ ก็กอดกับพี่ทู (ปลาทู-สามี) ร้องไห้ โทรศัพท์หาพ่อที่เมืองไทยร้องไห้ เพราะรู้สึกว่าอุปสรรคมันเยอะจัง ทุกคนก็ปลอบเราว่า เราทำเต็มที่แล้ว มันจบแล้วนะ ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตัดสิน คือตอนนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าคงไม่ได้แน่”
แต่สุดท้ายด้วยความตั้งใจจริง ในวันประกาศผลการคัดเลือกประเทศเจ้าภาพที่จัดการประชุมในปี 2015 ชื่อของ ไทยแลนด์ ก็ถูกขานออกมา ทำให้ทั้งลักษมีกานต์และทีมงานทุกคนที่รอฟังผลการตัดสินอยู่ร่วมกัน ต้องกรีดร้องด้วยความดีใจ พร้อมน้ำตาแห่งความยินดีของสาวเพิร์ลลี่ที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
งานใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ
“วันนั้นเป็นวันที่สุขที่สุดในชีวิต เป็นความภาคภูมิใจมาก เหมือนเราทำสำเร็จไประดับนึงแล้ว แต่มันก็ตามมาด้วยความเครียดทันที เพราะงานใหญ่รออยู่ ทั้งเครียด กังวลว่า เราจะทำได้อย่างที่พรีเซนต์ไหม จะทำอย่างไรให้มันออกมาสมบูรณ์ กังวลว่าประเทศไทยเราจะพร้อมรับ คนไทยจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และสนับสนุนขนาดไหน เพราะนี่มันสำคัญต่อประเทศไทยมากนะ มันคือเวทีโชว์ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้
ตอนนี้มันคือ ไทยแลนด์ Against the world เราต้องพิสูจน์ตัวเอง เพราะมันมีหลายคนสบประมาท ประเทศที่เขาเกิดความสงสัยและข้อครหาว่าทำไมเราได้ บางคนก็โจมตีเลยนะ ว่าเราใต้โต๊ะหรือเปล่า ทำไมถึงเป็นเราไม่เป็นเขา เรื่องพวกนี้เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้” ลักษมีกานต์กล่าวถึงความหนักใจที่ตามมาพร้อมความสำเร็จขั้นแรก
โดยงานนี้นอกจากจะเป็นการโชว์ศักยภาพของประเทศไทย สร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาแล้ว สิ่งดีๆ ที่ไทยจะได้รับประโยชน์ยังมีอีกมากมาย “ปกติถ้าเยาวชนจะได้เข้าร่วมงานนี้นอกจากจะมีโควตาจำกัดแล้ว ยังต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากอีก แต่การที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพ เราจะมีสิทธิ์คัดเลือกเยาวชนในประเทศให้เข้าร่วมงานนี้ได้ถึง 100 คน แถมในงานนี้จะมีผู้สื่อข่าวมาจาก 130 สื่อทั่วโลก ทั้ง ซีเอ็นเอ็น, บีบีซี, อัลจาซีร่า ทุกคนมาปักหลักเกาะติดทำข่าวตลอดการประชุม
“เยาวชนเรามีโอกาสจะได้ออกสื่อ ได้พรีเซนต์โครงการดีๆ ของไทย เด็กไทยเรามีโอกาสจะได้เน็ตเวิร์กดีๆ ได้รู้จักกับเยาวชนระดับหัวกะทิจากทั่วโลก แถมบรรดาตัวแทนเยาวชนที่บริษัทต่างๆ ส่งมา เขาไม่ได้แค่มาฟังประชุม สัมมนา เขามาเป็นแมวมองด้วยว่า มีโครงการอะไรดีๆ น่าสนใจบ้าง เขากลับไปแนะนำทางบริษัทได้ว่าให้เอาเงิน CSR มาลงตรงนั้นตรงนี้ เพราะบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก เขามีงบตรงนี้เยอะมาก แต่ยังไม่รู้จะเอาไปลงที่ไหน ถ้าเราเปิดให้เขาได้รู้จักมันก็ยิ่งสร้างโอกาสให้ประเทศเรา”
นี่ยังไม่นับรวมเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาจากการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะมีทั้งเยาวชน ทีมงาน ผู้สังเกตการณ์ รวมทั้งสื่อมวลชน มาร่วมงานไม่ต่ำกว่า 2,000 คน และแถมถึงการท่องเที่ยวต่อไปทั่วประเทศหลังจากการประชุม ซึ่งเชื่อได้ว่าจะมีเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท
“เพิร์ลลี่กับทีมงานต้องเดินทางไปรับธงการเป็นเจ้าภาพต่อจากเมืองดับลิน ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ โดยจะมีเยาวชนไทยอีก 50 คนที่ได้ไปร่วมงานนี้ด้วย ส่วนตอนนี้ก็กำลังเตรียมงานในหลายๆ ส่วน ทั้งเรื่องการจัดงาน การเชิญ Guest Speaker ที่เรามองไว้ก็คือ อองซาน ซูจี, บัน คี มูน รวมไปถึงดาราฮอลลีวูดที่มีผลงานโดดเด่นด้านการกุศลอย่างๆ แองเจลิน่า โจลี่, ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ”
นับจากวันนี้ไปจนถึงวันจัดงานในช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีหน้า เชื่อว่าลักษมีกานต์ยังมีภารกิจหนักอีกหลายอย่างให้เธอต้องรับผิดชอบ เราก็ขอเอาใจช่วยให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พร้อมกับต้องขอปรบมือให้กับความเก่งกาจและความตั้งใจจริงของผู้หญิงวัย 27 ปีที่สามารถดึงเอางานสำคัญระดับโลกแบบนี้มาจัดที่ประเทศไทยของเราได้
ความภาคภูมิใจของคุณพ่ออัศวิน
ได้เห็นผลสำเร็จจากความตั้งใจจริงในการทำงานของเธอคนนี้แล้ว หลายคนก็คงรู้สึกภูมิใจไปกับความสามารถของสาวไทย แต่คนที่น่าจะยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิที่สุด คงไม่มีใครเกินหน้า ผู้ชายคนนี้ “อัศวิน อิงคะกุล” คุณพ่อสุดที่รักของลักษมีกานต์ ผู้ที่ปลูกฝังและอบรมสั่งสอนให้เธอเติบโตขึ้นมาเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนสาวผู้มั่นใจและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
“เห็นความสำเร็จเขาในแต่ละย่างก้าวที่เดิน ผมก็ยินดีด้วย เขาเป็นเด็กน่ารัก เรียนดี จบเร็วมาก อายุ 20 ปีก็จบปริญญาตรีแล้ว และก็ก้าวมาทำงาน ช่วยแบ่งเบาภาระต่อจากพ่อเลย อย่างงานนี้ที่เขาทำสำเร็จได้ มันก็เหมือนการพิสูจน์ตัวเองในอีกระดับ ผมไม่บอกเขาก็รู้แหละว่าผมภูมิใจ”
ลักษมีกานต์บอกว่า “พ่อไม่เคยชมเลยค่ะ แต่เพิร์ลลี่มองหน้าพ่อ ดูตาเขาก็รู้แล้วว่า พ่อภูมิใจ”
“ได้เห็นความสำเร็จเขาเราชื่นใจ แต่คนเราอย่าชมตัวเอง อย่าชมลูกเราเอง ให้คนอื่นเขาชมดีกว่า คำชมจะออกจากปากผมยากมาก ผมจะมองในส่วนของข้อบกพร่อง แล้วคอยช่วยแนะนำช่วยเสริมมากกว่า จะได้ทำได้ดีขึ้นอีก”
ลักษมีกานต์ที่เดินตามรอยเท้าพ่อมาในสายงานโรงแรม และตอนนี้เธอก้าวขึ้นมาในตำแหน่ง CEO ช่วยดูแลกิจการของครอบครัวร่วมกับพี่ชายแทนคุณพ่ออัศวิน ที่ถอยตัวเองไปคอยให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลัง ส่งต่อการผลัดใบไปยังเจเนอเรชันใหม่มาได้นานนับปีแล้ว
“งานโรงแรม มันต้องทำด้วยใจ เราจะไปบังคับใครให้มาทำไม่ได้หรอก เพราะงานนี้มันคือการบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ไม่มีเวลาพัก ต้องการความทุ่มเท อดทน ถ้าไม่รักจริงไม่มีทางทำให้ดีได้ โชคดีที่เพิร์ลลี่เขารักทางด้านนี้ เพราะเขาโตมาในโรงแรม เห็นเราทำงานมาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียนก็เห็นเราทำงานมาตลอด โตมาในโรงแรมก็ว่าได้ ก็ซึมซับกับธุรกิจนี้มาตลอด สมัยเรียนตอนปิดเทอมก็ให้เขาเข้ามาช่วยงาน
ตอนเขาจบไฮสกูลที่ออสเตรเลีย เขาก็เข้ามาขอว่าอยากเรียนต่อด้านโรงแรม แต่เขาตั้งใจเรียนที่ซิดนีย์ เพราะเพื่อนๆ ก็อยู่ที่นั่น ชีวิตก็ชินกับออสเตรเลียแล้ว แต่ผมให้เขาเดินทางกลับมาเมืองไทยก่อน เพราะผมอยากให้เขาไปเรียนต่อด้านโรงแรมที่สวิส ซึ่งผมเป็นคนไม่บังคับใจลูก ทุกอย่างจะให้เขาตัดสินใจเอง ก็พาเขาไปดูโรงแรมที่สวิส ไปให้เห็นของจริง เปิดทางเลือกให้ แล้วก็ให้เขาตัดสินใจเอง ซึ่งพอเขาได้เห็นการเรียนที่สวิส ได้รับฟังเหตุผล เขาก็ตัดสินใจไปเรียนที่นั่น
...คือถ้าเรื่องโรงแรมยังไงก็ต้องยกให้สวิส อันนี้เขาเป็นเจ้าทางด้านนี้ การเรียนของที่นี่คือการให้ปฏิบัติจริง แล้วประโยชน์ที่ได้มันก็ต่างกัน ทั้งในเรื่องคอนเนกชัน ได้เรื่องภาษา ได้รับการยอมรับมากกว่า ตอนไปเรียนก็ฝึกงานเต็มที่ พอปิดเทอมเราก็ให้เขากลับมาฝึกต่อที่เมืองไทย ไปฝึกที่พลาซ่า แอทธินี โดยไม่ได้ใช้เส้นสายนะ ให้เขาสมัครเอง ไปลองดูเอง ที่ต้องกลับมาฝึกเมืองไทยด้วย เพราะอยากให้เขาได้ศึกษาคนไทยว่ามีคาแรกเตอร์อย่างไร ต้องบริการอย่างไร เพราะงานบริการและงานโรงแรม มันเรียนในตำราอย่างเดียวไม่ได้”
จากประสบการณ์ทำงานด้านโรงแรมมากว่า 40 ปี สร้างตัวจากลูกจ้างขึ้นมาเป็นเจ้าของโรงแรมและธุรกิจอีกหลากหลายประเภท คุณพ่ออัศวินเลยมีคำแนะนำและข้อคิดดีๆ ในการทำงานที่คอยถ่ายทอดให้ลูกสาวคนนี้อยู่ตลอด
“พ่อจะย้ำตลอดเรื่องความกตัญญู อย่าลืมคุณคน แล้วก็นอบน้อม เคารพผู้ใหญ่ อย่างเพิร์ลลี่นี่เขาคุกเข่าคุยกับผู้ใหญ่ตลอดนะ และความสำคัญด้านงานบริการ ที่ต้องเพอร์เฟกต์ เดี๋ยวไม่ได้ รอช้าไม่ได้ เพราะงานแบบนี้มันไม่ใช่สินค้าที่คนต้องทดลองก่อน ถึงจะรู้ว่าสินค้ามันดีไหม ถูกใจรึเปล่า แต่เรื่องการบริการมันบอกกันได้ตั้งแต่วินาทีแรกเลย ความประทับใจเป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องการเซอร์วิสของผม จะไม่มีคำว่าขอโทษ และเสียใจ ทุกอย่างมันคือ มืออาชีพ ไม่ใช่แค่ว่าทำให้ผิดพลาดน้อยที่สุด มันไม่ใช่มาตรฐานนั้น มันต้องไม่มีความผิดพลาดเลยต่างหาก เพราะพลาดไปนิดเดียว มันก็สร้างความประทับใจที่ไม่ดีขึ้นแล้ว และถ้าเกิดปัญหาต้องรีบเคลียร์ทันที แก้ไข ห้ามผลัดแม้แต่นาทีเดียว ต้องจัดการให้จบ ถ้าผลักและผลัด มันแสดงถึงการไม่ใส่ใจเขา เพราะอย่าลืมว่าปัจจุบันนี้ โซเชียล มีเดีย มันไปไวขนาดไหน ทุกอย่างทำให้จบเรียบร้อย ให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจที่สุด”
นอกจากเรื่องดูแลลูกค้าแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณอัศวินเน้นย้ำคือการดูแลลูกน้อง “งานบริการมันต้องอาศัยคน ก็จะบอกตลอดว่าห้ามดูถูกลูกน้องเด็ดขาด ต้องปฏิบัติกับเขาดี เจ็บไข้ได้ป่วยต้องดูแล ถ้าอยากให้เขาทำงานดี เราก็ต้องดูแลเขาดีที่สุดเหมือนกัน เราต้องรักษาคนดีๆ ไว้ให้ได้ เพราะเราทำงานคนเดียวไม่ได้ สำเร็จคนเดียวไม่ได้
เขายังถือว่าเป็นเด็ก การก้าวเข้ามาคุมคนอายุมากกว่า มันมีความยากลำบากอยู่แล้ว ผมก็ต้องคอยสอนเขา ว่า คุมคนมันต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ ตอนนี้หนูยังมีแค่พระเดช เราก็ต้องรู้จักวิธีการทำตัว จะมาทุบโต๊ะ ตัดสินเปรี้ยงแบบพ่อไม่ได้ เพราะลูกน้องเขายังไม่เห็นผลงานเรา การยอมรับมันไม่เหมือนกับการตัดสินของพ่อ เราก็ต้องให้เหตุผล ค่อยๆ สร้างพระคุณไปคู่กับพระเดช การที่เพิร์ลลี่สามารถทำงาน OYW นี้สำเร็จ มันก็เป็นอีกผลงานที่ทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถเขา และเขายังต้องแสดงฝีมือ พร้อมกับเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปอีกเรื่อยๆ” :: Text by FLASH
นายแบบ & นางแบบ :: อัศวิน อิงคะกุล, ลักษมีกานต์ อิงคะกุล
ช่างแต่งหน้า :: กนิช เดชธราทล
ช่างทำผม :: มนต์ตา หาญวิชัย
สถานที่ :: CIP Lounges ชั้น 4 สนามบินสุวรรณภูมิ โทรศัพท์ 0-2134-6565
ช่างภาพ :: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ