คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ฉันมักดีใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ดีใจที่ไปหาหมอแล้วได้คิวที่ไม่ช้า
ดีใจที่วนหาที่จอดรถแล้วได้ที่จอดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ดีใจกับสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่มีคนตั้งใจมอบให้
ดีใจกับสายลมที่เย็นชื่น
ดีใจกับรอยยิ้มและความดีงามของคน
ฉันนั่งกินข้าวผัดที่ผัดจากฝีมือตัวเอง ข้าวเย็นแช่เก็บไว้ในตู้เย็น เอามาบี้ๆ แล้วผัดคลุกลงกับไข่ในกะทะ โรยต้นหอมนิด เหยาะซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทรายหน่อย ก็เป็นข้าวผัดไข่จานเล็กๆ นั่งกินสบายใจอยู่ใต้ถุนแล้ว
ขณะกินไปฉันก็นั่งมองไปทีราวตากผ้า ที่ตากผ้าไว้ใต้ถุนบ้าน
เสื้อบ้างผ้าถุงบ้าง เสื้อในกางเกงในชิ้นเล็กชิ้นน้อย..
จิปาถะที่ห้อยแขวนอยู่บนราวนั้นและกำลังแห้งหอมปลิวไสวอยู่นั้น
ทำให้ฉันรู้สึกดีใจ กับตัวเองว่า ฉันสามารถทำอะไรๆ ให้ตัวเองได้ด้วยตัวเอง
ฉันจะดีใจทำไมกันนะ ก็มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก...
แต่ฉันก็ดีใจ ดีใจกับสิ่งต่างๆ สัพเพเหระเหล่านี้ที่ฉันยังกระทำมันได้ด้วยตัวเองเพราะในบางคราฉันก็มีความคิด
คนเรานั้นล้วนธรรมดาต้องเกิดแก่เจ็บตาย
บางคนก็เจ็บทั้งที่ยังไม่แก่ และความเจ็บนั้นทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง นี่เอง...ฉันจึงดีใจกับตัวเองแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
นั่งๆ กินข้าวไปฉันก็คิด ชีวิตคนเรานั้นมันช่างไม่มีอะไรมากเลย เรามาเพื่อที่จะผ่านการเติบโตแก่และตายลง
และฉันรู้สึกไม่อยากเป็นคน คนหนึ่งที่ต้องใช้ทรัพยากรของโลกอย่างสิ้นเปลืองในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองให้มากเกินไป
ฉันละอาย..แม้เวลาต้องเดินทางจากบ้านไปพักค้างอ้างแรมที่นอกบ้านเช่นตามโรงแรม ฉันยังปิดไฟเปิดน้ำตามที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช้มันฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองหรือทิ้งขว้าง
เพราะฉันรู้สึกถ่อมตัวถ่อมตนอยู่ลึกๆ ว่า เราไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหนา เราเป็นเพียงแค่มนุษย์เล็กๆ คนหนึ่งในหลายต่อหลายล้านๆ คนบนโลกนี้
และละอายที่จะกินจะใช้และมีชีวิตบำรุงบำเรอตัวเอง แบบคนที่ฟุ่มเฟือยกับมัน
ฉันใช้มันอย่างคนที่เคารพต่อสิ่งเหล่านั้นแม้มันจะไม่มีชีวิตจิตใจก็ตาม
ด้วยความคิดเช่นนี้ในเสี้ยวขณะของหัวใจ ฉันนึกรักตัวเองขึ้นมาอย่างมากและอยากโอบกอดตัวเองเสียเหลือเกิน โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์ผู้ซึ่งน่าสงสารคนหนึ่ง ที่เหมือนกันกับคนอื่นๆ ในฐานะมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับภัยต่างๆ ทั้งภายนอกภายใน ภัยภายในคือความเจ็บป่วยและโรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในร่างกาย ภัยภายนอกนั้นคือภัยที่จะเกิดจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากมนุษย์ด้วยกันและสิ่งเลวร้ายอื่นอันคาดคะเนไม่ได้
ฉันอยากโอบกอดตัวเองที่พบว่า ตัวเองช่างเป็นมนุษย์ที่น่ารัก...ความน่ารักนั้นคือการรู้จักดีใจกับอะไรที่ง่ายๆ และแสนจะธรรมดาสามัญเช่นนี้
และเพราะความดีใจที่เกิดขึ้นง่ายๆ และบ่อยครั้งเช่นนี้นี่เอง มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันเป็นคนที่มีความสุขเสมอ
การดีใจกับสิ่งง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้ฉันมีความเบิกบานใจภายในเงียบๆ กับตัวเองอยู่เสมอโดยไม่มีใครรู้ จนบางคนมีคำถามกับฉันว่า
"ทำไมไม่แก่" หรือ "ใครๆ เขาก็แก่กันแต่ทำไมหนูไม่แก่คะ?...." จากคนที่ทักทายฉัน
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีมันอาจจะเกิดจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็เป็นได้
ฉันสั่่งสมความดีใจให้เกิดกับตัวเองได้อยู่ทุกๆ วัน ในสิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญเหลือเกิน
ฉันอยากให้ใครๆ มองเห็นมันเหมือนที่ฉันเห็นและรู้สึกคล้ายกันกับฉันบ้าง
เพราะมันจะทำให้คุณเหนื่อยน้อยลง มันเป็นการเมตตาการุณย์กับตัวเองโดยแท้เชียวนา
เรื่อง “โลกสวย” ในความหมายที่เขาพูดๆ กันนั้นเป็นอย่างไรฉันไม่รู้
ฉันรู้แต่ว่าโลกของฉันมันสวยมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาเกิดขึ้น มันสวยเพราะใจเราเลือกที่จะมองมัน มองให้มันสวย..มันก็สวยอย่างที่เราเลือกมองนั่นเอง
ฉันปั้นดินได้งานชิ้นใหม่ล่าสุดเป็นรูปหญิงสาวโสเภณี ที่แสนคลาสสิคในอารมณ์ความรู้สึก ฉันย้อนคิดไปถึงคำว่า "หญิงโคมเขียว" และ “โสเภณีเรือแจว” อาชีพเก่าแก่ที่เคยมีมาอีกอาชีพหนึ่ง และชื่อทั้งสองชื่อนี้ได้กลายเป็นตำนานเริื่องเล่าไปนมนานแล้ว
คำทั้งสองนี้อยู่ในใจฉัน เพราะเป็นสิ่งที่ฉันไม่รู้ไม่เคยเห็นได้แต่จินตนาการถึงมัน และปั้นมันออกมา ฉันได้งานที่น่ารัก มันโป๊มากแต่ฉันก็พอใจกับมันมาก มันจะเป็นการปั้นแบบรวบรวมให้เป็นชุด ของฉัน และฉันสร้างมันขึ้นมาได้หนึ่งตัวแล้ว
จากเมื่อวันเวลาที่ผ่านมา เมื่อเวลาฉันปั้นหญิงโสเภณีขึ้นมาคราใด และหากมีใครมาพบเห็นมันเข้าที่บ้าน เขาจะต้องชอบอกชอบใจและขอซื้อมันไปจากฉันในทันทีทันใด
ตัวแล้วตัวเล่าเท่าที่เคยทำมาไม่เคยมีเหลือติดบ้านเลย...และเที่ยวนี้ ฉันจะทำเก็บเอาไว้ในตู้ดูเองอีกสักชุด
โลกของฉันมันสวยแม้ในสิ่งที่บางคนฟังดูมันเป็นเรื่องโสมม และฉันดีที่ได้ค้นพบความสามารถอันพิเศษนี้ของตัวเอง นั่นคือความสามารถที่จะคิดถึงความงามในความอดสูได้ ความสามารถที่จะคิดถึงความงามในความโสมมที่คนประนามได้
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ฉันมักดีใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ดีใจที่ไปหาหมอแล้วได้คิวที่ไม่ช้า
ดีใจที่วนหาที่จอดรถแล้วได้ที่จอดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ดีใจกับสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่มีคนตั้งใจมอบให้
ดีใจกับสายลมที่เย็นชื่น
ดีใจกับรอยยิ้มและความดีงามของคน
ฉันนั่งกินข้าวผัดที่ผัดจากฝีมือตัวเอง ข้าวเย็นแช่เก็บไว้ในตู้เย็น เอามาบี้ๆ แล้วผัดคลุกลงกับไข่ในกะทะ โรยต้นหอมนิด เหยาะซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทรายหน่อย ก็เป็นข้าวผัดไข่จานเล็กๆ นั่งกินสบายใจอยู่ใต้ถุนแล้ว
ขณะกินไปฉันก็นั่งมองไปทีราวตากผ้า ที่ตากผ้าไว้ใต้ถุนบ้าน
เสื้อบ้างผ้าถุงบ้าง เสื้อในกางเกงในชิ้นเล็กชิ้นน้อย..
จิปาถะที่ห้อยแขวนอยู่บนราวนั้นและกำลังแห้งหอมปลิวไสวอยู่นั้น
ทำให้ฉันรู้สึกดีใจ กับตัวเองว่า ฉันสามารถทำอะไรๆ ให้ตัวเองได้ด้วยตัวเอง
ฉันจะดีใจทำไมกันนะ ก็มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก...
แต่ฉันก็ดีใจ ดีใจกับสิ่งต่างๆ สัพเพเหระเหล่านี้ที่ฉันยังกระทำมันได้ด้วยตัวเองเพราะในบางคราฉันก็มีความคิด
คนเรานั้นล้วนธรรมดาต้องเกิดแก่เจ็บตาย
บางคนก็เจ็บทั้งที่ยังไม่แก่ และความเจ็บนั้นทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง นี่เอง...ฉันจึงดีใจกับตัวเองแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้
นั่งๆ กินข้าวไปฉันก็คิด ชีวิตคนเรานั้นมันช่างไม่มีอะไรมากเลย เรามาเพื่อที่จะผ่านการเติบโตแก่และตายลง
และฉันรู้สึกไม่อยากเป็นคน คนหนึ่งที่ต้องใช้ทรัพยากรของโลกอย่างสิ้นเปลืองในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองให้มากเกินไป
ฉันละอาย..แม้เวลาต้องเดินทางจากบ้านไปพักค้างอ้างแรมที่นอกบ้านเช่นตามโรงแรม ฉันยังปิดไฟเปิดน้ำตามที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช้มันฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองหรือทิ้งขว้าง
เพราะฉันรู้สึกถ่อมตัวถ่อมตนอยู่ลึกๆ ว่า เราไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหนา เราเป็นเพียงแค่มนุษย์เล็กๆ คนหนึ่งในหลายต่อหลายล้านๆ คนบนโลกนี้
และละอายที่จะกินจะใช้และมีชีวิตบำรุงบำเรอตัวเอง แบบคนที่ฟุ่มเฟือยกับมัน
ฉันใช้มันอย่างคนที่เคารพต่อสิ่งเหล่านั้นแม้มันจะไม่มีชีวิตจิตใจก็ตาม
ด้วยความคิดเช่นนี้ในเสี้ยวขณะของหัวใจ ฉันนึกรักตัวเองขึ้นมาอย่างมากและอยากโอบกอดตัวเองเสียเหลือเกิน โอบกอดตัวเองในฐานะมนุษย์ผู้ซึ่งน่าสงสารคนหนึ่ง ที่เหมือนกันกับคนอื่นๆ ในฐานะมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับภัยต่างๆ ทั้งภายนอกภายใน ภัยภายในคือความเจ็บป่วยและโรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในร่างกาย ภัยภายนอกนั้นคือภัยที่จะเกิดจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากมนุษย์ด้วยกันและสิ่งเลวร้ายอื่นอันคาดคะเนไม่ได้
ฉันอยากโอบกอดตัวเองที่พบว่า ตัวเองช่างเป็นมนุษย์ที่น่ารัก...ความน่ารักนั้นคือการรู้จักดีใจกับอะไรที่ง่ายๆ และแสนจะธรรมดาสามัญเช่นนี้
และเพราะความดีใจที่เกิดขึ้นง่ายๆ และบ่อยครั้งเช่นนี้นี่เอง มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันเป็นคนที่มีความสุขเสมอ
การดีใจกับสิ่งง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้ฉันมีความเบิกบานใจภายในเงียบๆ กับตัวเองอยู่เสมอโดยไม่มีใครรู้ จนบางคนมีคำถามกับฉันว่า
"ทำไมไม่แก่" หรือ "ใครๆ เขาก็แก่กันแต่ทำไมหนูไม่แก่คะ?...." จากคนที่ทักทายฉัน
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีมันอาจจะเกิดจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็เป็นได้
ฉันสั่่งสมความดีใจให้เกิดกับตัวเองได้อยู่ทุกๆ วัน ในสิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญเหลือเกิน
ฉันอยากให้ใครๆ มองเห็นมันเหมือนที่ฉันเห็นและรู้สึกคล้ายกันกับฉันบ้าง
เพราะมันจะทำให้คุณเหนื่อยน้อยลง มันเป็นการเมตตาการุณย์กับตัวเองโดยแท้เชียวนา
เรื่อง “โลกสวย” ในความหมายที่เขาพูดๆ กันนั้นเป็นอย่างไรฉันไม่รู้
ฉันรู้แต่ว่าโลกของฉันมันสวยมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาเกิดขึ้น มันสวยเพราะใจเราเลือกที่จะมองมัน มองให้มันสวย..มันก็สวยอย่างที่เราเลือกมองนั่นเอง
ฉันปั้นดินได้งานชิ้นใหม่ล่าสุดเป็นรูปหญิงสาวโสเภณี ที่แสนคลาสสิคในอารมณ์ความรู้สึก ฉันย้อนคิดไปถึงคำว่า "หญิงโคมเขียว" และ “โสเภณีเรือแจว” อาชีพเก่าแก่ที่เคยมีมาอีกอาชีพหนึ่ง และชื่อทั้งสองชื่อนี้ได้กลายเป็นตำนานเริื่องเล่าไปนมนานแล้ว
คำทั้งสองนี้อยู่ในใจฉัน เพราะเป็นสิ่งที่ฉันไม่รู้ไม่เคยเห็นได้แต่จินตนาการถึงมัน และปั้นมันออกมา ฉันได้งานที่น่ารัก มันโป๊มากแต่ฉันก็พอใจกับมันมาก มันจะเป็นการปั้นแบบรวบรวมให้เป็นชุด ของฉัน และฉันสร้างมันขึ้นมาได้หนึ่งตัวแล้ว
จากเมื่อวันเวลาที่ผ่านมา เมื่อเวลาฉันปั้นหญิงโสเภณีขึ้นมาคราใด และหากมีใครมาพบเห็นมันเข้าที่บ้าน เขาจะต้องชอบอกชอบใจและขอซื้อมันไปจากฉันในทันทีทันใด
ตัวแล้วตัวเล่าเท่าที่เคยทำมาไม่เคยมีเหลือติดบ้านเลย...และเที่ยวนี้ ฉันจะทำเก็บเอาไว้ในตู้ดูเองอีกสักชุด
โลกของฉันมันสวยแม้ในสิ่งที่บางคนฟังดูมันเป็นเรื่องโสมม และฉันดีที่ได้ค้นพบความสามารถอันพิเศษนี้ของตัวเอง นั่นคือความสามารถที่จะคิดถึงความงามในความอดสูได้ ความสามารถที่จะคิดถึงความงามในความโสมมที่คนประนามได้
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews