xs
xsm
sm
md
lg

ใช่พียงศิลปะ แต่คือยารักษาใจ : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ไม่เคยคิดเลยว่า...ตั้งแต่วันแรกเมื่อ 18 ปีที่แล้วที่ฉันเริ่มจับดิน นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

ฉันทำไป...หยุดไป คั่นเวลาด้วยเรื่องอื่นๆ บ้างในชีวิต แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะหายขาดจากการเสพติดการปั้นได้

ไม่ได้ปั้นเพื่อเงินทอง ไม่ได้ปั้นเพื่อชื่อเสียง

แต่ปั้นเพื่อเป็นการเติมเต็มความรู้สึกที่ดีให้กับตัวเอง ให้กับการมีชีวิตที่ไม่เวิ้งว้าง ไม่ว่างเปล่า ไม่สับสน

การงานชิ้นหนึ่ง ถูกทำขึ้นมาพร้อมๆ กับการหายไปของความรู้สึกเหล่านี้


เวลาหยุดงานไปนานๆ.....นานของฉันคือหนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ สามอาทิตย์หรือเป็นเดือน...

ฉันได้เห็นใจตัวเองว่า ยิ่งหยุดงานนานขึ้นๆ.. ความรู้สึกที่มั่นคงลึกๆ ที่อยู่ภายในจิตใจจะถดถอยไป จะมีความแส่ส่ายและแคลนคลอนไม่มั่นคงจะเข้ามาแทนที่

แต่เมื่อได้ขึ้นงานและทำงานจนสำเร็จแค่เพียงบางชิ้น ก็กลับเติมเต็มความพร่องในจิตใจที่เกิดขึ้นให้หายไปได้อย่างทันที

จนฉันเคยเอ่ยปากบอกขอบคุณกับรูปปั้นที่อยู่ข้างหน้าฉันว่า......

"แม้เธอจะไม่สวย แต่ฉันก็รักและขอบคุณเธอเหลือเกิน เพราะเธอเกิดขึ้นมาเพื่อฆ่าความรู้สึกแย่ๆ ของฉันให้ตายไป

แม้เธอจะสวยหรือไม่สวยแต่เธอทุกๆ ชิ้นมีคุณค่ากับฉันเสมอเท่าๆ กัน ฉันขอบคุณเธอเหลือเกินนะ"

นี่เองเป็นความรู้สึกและสิ่งลึกๆภายในของคนทำงานเช่นฉัน การงานของฉันมันจึงไม่ใช่เป็นเพียงศิลปะ....แต่มันเป็นการงานที่เป็นยารักษาใจฉัน


เวลาที่มีความทุกข์ ทุกข์เพราะกังวลใจหรือทุกข์เพราะป่วยกาย ฉันมักจะหยุดนิ่งและมองค้นหาเข้าไปในตัวเองเพื่อให้เห็นความทุกข์นั้นอย่างชัดๆ

เพื่อหาวิธีจัดการกับมัน ฉันยอมรับว่า ฉันเป็นคนไม่ชอบมีเรื่องอันใดค้างคาใจเลย หากมีเรื่องอะไรที่ค้างคาใจของฉันฉันจะต้องแก้ต้องคลาย โดยการสาเหตุและแก้ไขให้มันพ้นไปจากความรู้สึกของตัวเองจนหมดสิ้น

เพราะต้นทุนการทำงานของฉันคือหัวใจ

การปล่อยให้มีปัญหาใดๆ ค้างคาใจจึงเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการสร้างงานของฉัน

ฉันไม่อาจปล่อยให้ใจมีปัญหาสะสมค้างคาเพราะมันเป็นอุปสรรคในการทำงานของฉันนั่นเอง

เมื่อไม่สบายกายฉันพาตัวเองไปหาหมอและกลับมาดูแลตัวเอง

เมื่อไม่สบายใจ ฉันก้าวเข้าหาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ในสิ่งใด สงสัยในสิ่งใดพระองค์ทรงมีคำตอบ ที่ทำให้ปัญญาที่มืดหม่นของฉันได้สว่างไสวได้ในทุกๆคราว เช่นกัน

พระธรรมเป็นยารักษาใจสำหรับฉัน

ในเวลารุ่งสางของวันพระ และในเช้าตรู่ของบางวัน ฉันจะตื่นขึ้นมานั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟใต้ถุนบ้าน หยิบฉวยโน่นนี่จากตู้เย็น ใช้เวลาทำครัวตอนเช้ามืดอย่างเย็นอกเย็นใจ จนกระทั่งได้อาหารที่จะไปตักบาตรทำบุญ

ในชีวิตของฉัน นอกจากบ้าน..นอกจากการงาน แล้วก็ยังมีการทำบุญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ฉันทำแล้วมีความสุข

ฉันไม่ได้ทำอย่างใหญ่โตมากมายสิ้นเปลืองจำนวนเงิน...แต่ทำอย่างตั้งใจเหมือนกับมันเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันที่จำเป็นสำหรับฉัน

นอกจากให้ความสุขและเป็นที่พึ่งกับจิตใจของตัวเองได้แล้ว การทำบุญอุทิศบุญก็เป็นการส่งมอบความรักให้กับหลายคนหลายๆ สิ่งที่ฉันรักที่อยู่กันคนละภพภูมิกับฉัน คือหนเป็นทางเดียวที่ฉันจะแสดงความรักต่อพวกเขานั่นเอง

ดังนั้นการทำบุญก็เท่ากับเป็นการรักษาใจของฉันด้วย

คนที่อ่านๆ มาอาจจะสงสัยว่า แหม!! ใจของเธอเป็นอะไรกันนักหนานะ ถึงต้องรักษากันมากมายหลายวิธีขนาดนั้น

ก็เมื่อได้มองเข้าไปในใจของตัวเองอย่างแท้จริง แล้วก็ได้พบว่า มันมีความต้องการบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่า "คุณค่าของการมีชิีวิต"

ซึ่งมันจับต้องและอธิบายถึงได้ไม่ง่ายนัก แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกภาคภูมิได้ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนก็ตาม ไม่ว่าจะยืนอยู่ในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเก่าๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีตรงนี้ มันจะความมั่นคงองอาจที่จะก้าวเดินไปทุกแห่งหนได้อย่างองอาจและเต็มเปี่ยม และนี่เป็นการเสพติด

อารมณ์ความรู้สึกลึกๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของฉัน เมื่อได้สัมผัสกับมันแล้วก็หวงแหนยากที่จะให้มันหดหายไป

ฉันจึงต้องทำในสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพิื่อเป็นการคอยเติมเต็มมัน

และในชีวิตนั้นก็ไม่ได้ราบเรียบเหมือนกับเส้นที่ขีดไว้ด้วยไม้บรรทัด ในชีวิตนั้นมีความคาดหวังตั้งใจได้ แต่ความสมหวังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอไป การรู้จักที่จะรักษาใจด้วยวิธีการเรียบง่ายเหล่านี้ของฉันจึงจำเป็นนัก

ฟ้าที่บ้านทำท่าครึ้มมาหลายต่อหลายวันแต่ฝนก็ไม่ยอมตก...

ตัวฉันเองนั้นก็ตั้งท่าจะขึ้นงานชิ้นใหม่อยู่หลายวัน แต่แล้วก็ยังปล่อยให้ตัวเองชะงักไว้อยู่อย่างนั้น ด้วยเรื่องราวการเดินทาง และการขจัดปัดเป่าความรกเรื้อและภาระกิจการงานบ้านซักผ้ารีดผ้า และเรื่องรกใจอื่นๆ ที่ค้างคา

จนหลายวันผ่านไป ในท่าทีเฉยๆ...ฉันกลับใจจดใจจ่อกับตัวเองว่าเมื่อใดจะนั่งลงทำงานได้เสียทีหนอ....(นับประสาอะไรกับการให้คนอื่นมาสั่งงาน แค่การสั่งตัวเองว่าอยากทำงานในภาวะที่ใจยังไม่พร้อมก็ยังทำไม่ได้....)

แต่ในวันนี้เพียงแค่ฉันได้เริ่มต้นเปิดถุงดินแล้วขึ้นรูปงาน ฉันก็มองเห็นความสว่างเกิดขึ้นในหนทางเล็กๆ ที่ตนเองสร้างขึ้นมาได้ในทันที

มีประโยคสั้นๆ เกิดขึ้นในใจของฉันขึ้นมาว่า "หนทางจะยาว เท่าที่เราก้าวเดิน"

ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว



รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews


กำลังโหลดความคิดเห็น