ART EYE VIEW---หลังจากที่เคยถูกพาดพิงถึงว่าเป็นร้านขายไม้ทำกรอบรูปที่ อุ่นเรือน ภรรยาของ อังคาร กัลยาณพงศ์ หรือ ท่านอังคาร ( ศิลปินแห่งชาติ และนักเขียนรางวัลซีไรต์ ผู้มีผลงานทั้งในด้านกวีนิพนธ์และภาพเขียน ซึ่งได้เสียชีวิตไป เมื่อปี 2555 และได้มีงานพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อปี 2556) บอกกับทางสื่อว่า เป็นร้านเดียวกับที่ “อ้น” หญิงรับจ้างภายในบ้านของครอบครัวกัลยาณพงศ์ ได้ขโมยผลงานภาพเขียนของท่านอังคาร ไปขายให้กับทางร้าน เป็นเวลาหลายปี โดยอ้นได้ขโมยสมุดบัญชีธนาคารพร้อมบัตร ATM ของอุ่นเรือนไปให้ทางร้านโอนเงินค่าขายภาพเข้าบัญชี จากนั้นอ้นก็กดเงินออกไปใช้เรื่อยมา
ซึ่งเป็นข้อมูลที่อุ่นเรือนได้มาจากการเขียนจดหมายสารภาพของอ้น ภายหลังจากที่เมื่อไม่กี่เดือนมานี้อุ่นเรือนตรวจพบว่า ผลงานภาพเขียนจำนวนมากที่ไม่เคยคิดขายแต่เก็บไว้เพื่อทำ “พิพิธภัณฑ์จิตรกรกวี อังคาร กัลยาณพงศ์” ได้หายไปจากบ้าน โดยอุ่นเรือนบอกว่าอ้นได้อาศัยโอกาสจากที่ทางครอบครัวกัลยาณพงศ์ซึ่งอ้นทำงานด้วยมาเกือบ 20 ปี ไว้วางใจ แม้แต่เคนถูกใช้ให้ไปทำธุรกรรมทางการเงินแทน อีกทั้งอุ่นเรือนก็สุขภาพทางสายตาไม่ดี เนื่องจากเมื่อ 16 ปีที่แล้วเคยผ่าตัดสมอง ทำให้ตาข้างหนึ่งบอด ส่วนอีกข้างมองเห็นไม่ชัด
ล่าสุดวันอังคารที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา เกณิกา และฐิติรัตน์ รัศมีฉายากุล สองพี่น้องเจ้าของร้าน “สุธาศิริกรอบรูป” ย่านบางพลัด พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกประมาณ 4 คน ได้เดินทางมาที่ ASTVผู้จัดการ เพื่อขอแก้ข่าวว่าสิ่งที่อุ่นเรือนบอกกับสื่อไม่เป็นความจริง เพราะทางร้านได้ซื้อภาพเขียนของท่านอังคารมาอย่างถูกต้อง โดยการโอนเงินเข้าบัญชีของอุ่นเรือนมาโดยตลอด
“มันทำให้เราเสื่อมเสีย เพราะสิ่งที่คุณอุ่นเรือนกล่าวอ้างไม่เป็นความจริง”
เกณิกา หรือ หงษ์ ผู้เป็นพี่สาวกล่าวพร้อมกับยอมรับว่า ครอบครัวกัลยาณพงศ์เคยเป็นลูกค้าที่มาซื้อไม้ทำกรอบรูปกับทางร้านมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2549 โดยก่อนหน้านี้ทางร้านติดต่อผ่านทาง “อ้อม” (ลูกจ้างหญิงอีกคนของครอบครัวกัลยาณพงศ์ ซึ่งเป็นพี่สาวของอ้น)ต่อมาอ้อมได้มอบหน้าที่ติดต่อกับทางร้านให้กับอ้น
จนวันหนึ่งอ้นได้มาสอบถามว่าทางร้านว่าไม่สนใจที่จะซื้อภาพเขียนของท่านอังคารบ้างหรือ กระทั่งในเวลาต่อมาทางร้านได้ตัดสินใจซื้อภาพเขียนของท่านอังคารเพื่อในนำแขวนขายในร้าน พร้อมกับบอกว่าในครั้งแรกที่ตัดสินใจซื้อภาพเขียนของท่านอังคารได้โทรศัพท์คุยกับอุ่นเรือนด้วย
“เราดิวกับทางคุณอุ่นเรือนมานานแล้ว ทางบ้านท่านอาจารย์อังคาร เค้าเป็นลูกค้าของทางร้านเรา ซื้อขายไม้กับเรา เวลาที่เค้าเดือดร้อน เค้าก็จะเอางานมาขาย โดยให้คุณอ้นเป็นดีลเลอร์ ประสานงานมา ติดต่อมา
เวลาที่เขาขาย หงษ์จะโอนเงินให้ เค้าก็จะต่อโทรศัพท์ให้คุยสายกับคุณอุ่นเรือนเลย แล้วคุณอุ่นเรือนก็บอกว่า ขอบคุณมากค่ะ”
หลังจากนั้นทางร้านก็ยังมีการซื้อภาพเขียนของท่านอังคารผ่านทางอ้นอีกเรื่อยๆ แม้ต่อมาทางครอบครัวกัลยาณพงศ์จะไม่ได้ซื้อไม้ทำกรอบรูปจากทางร้านแล้วก็ตาม
และไม่ได้ต่อโทรศัพท์คุยกับอุ่นเรือนเหมือนเช่นที่ตัดสินใจซื้อภาพเขียนของท่านอังคารในครั้งแรก เนื่องจากไว้เนื้อเชื่อใจแล้วว่าอ้นเป็นผู้ทำหน้าที่ขายภาพเขียนของท่านอังคารให้กับทางร้าน แทนทางครอบครัว
“ตอนหลังทางบ้านท่านอาจารย์อังคาร มีคนทำงานเองได้แล้ว สามารถประกอบกรอบรูปเองได้แล้ว และได้ไปติดต่อกับโรงไม้เอง ซือ้ไม้เอง จากนั้นเราจึงไม่ได้ติดต่อขายไม้ให้ แต่ยังมีการดิวกันเพื่อซื้อภาพเขียนบ้าง แล้วเราก็ไว้เนื้อเชื่อใจคุณอ้นค่ะ ว่าโอเคไม่มีปัญหา เพราะว่าทุกครั้งที่ซื้อมาไม่เคยเกิดปัญหาเลย”
ด้าน “อุ่นเรือน” ภรรยาของท่านอังคาร ดังที่เคยออกมาให้ข่าวก่อนหน้านี้ว่า โดยปกติ ผู้ที่อยากจะซื้อผลงานของท่านอังคาร ต้องมาซื้อที่บ้านเท่านั้น ทางครอบครัวจะไม่มีการนำออกไปเร่ขายหรือฝากขายข้างนอก เว้นเสียแต่ผู้ที่ซื้อไปได้นำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง
จนเมื่อประมาณ 1 ปีกว่าก่อนที่ท่านอังคารจะเสียชีวิต อุ่นเรือนบอกว่าทางครอบครัวเคยจับได้ว่าอ้นขโมยภาพเขียนไปขายให้กับทางร้าน เมื่ออ้นไปนำภาพมาคืน ก็ได้ให้อภัย และได้ตัดสินใจเลิกซื้อไม้กับทางร้านมานับตั้งแต่นั้น ไม่ได้ติดต่อใช้บริการอีก
“เมื่อเกิดสิ่งปกติกขึ้นมา ทำไมเค้าไม่ถาม ทั้งที่เราเองก็เคยติดต่อซื้อไม้กรอบด้วยกัน รู้จักกัน เพียงแต่ว่า ไม่ได้เคยเห็นหน้ากันแค่นั้นเอง เพราะที่ผ่านมา สองพี่น้องจะเป็นคนขับรถตู้ไปเอาไม้กรอบมา เค้าจึงรู้จักทั้งอ้นและอ้อม
ถ้าเค้าเป็นผู้ใหญ่จริงเค้าต้องโทรศัพท์มาถามว่าเด็กที่บ้านเอารูปมาขาย พี่อุ่นเรือนให้เด็กเอามาขายหรือ หรือเด็กขโมยมา เค้าไม่บอก”
กระทั่งเมื่อประมาณสองเดือนที่ผ่านมาอุ่นเรือนพบว่าภาพเขียนจำนวนมากได้หายไปจากห้องต่างๆที่ใช้เก็บภาพ และ ในที่สุดอ้นเขียนจดหมายสารภาพว่าขโมยไปขายให้กับทางร้านอีก
และจากจดหมายสารภาพของอ้น ทำให้อุ่นเรือนทราบว่า ในครั้งแรกที่เคยจับได้ว่าขโมยไปขาย ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ยังมีก่อนหน้านั้นอีก
ในส่วนนี้ หงษ์ - เกณิกา เจ้าของร้านสุธาศิริกรอบรูป ได้แสดงความเห็นว่า
“อันนั้นหงษ์ไม่ทราบค่ะ ยืนยันว่าไม่มีแบบนั้น เพราะว่าร้านหงษ์ มีการโอนเงินถูกต้อง เรามีหลักฐานยืนยันได้ ถ้าคุณอุ่นเรือนเชื่อว่าตนเองพูดความจริง คุณอุ่นเรือนก็แสดงหลักฐาน เพราะว่าทางร้านมีหลักฐานแน่นอน
ที่มาชี้แจงวันนี้ ต้องการให้สังคม เข้าใจทางร้าน เพราะว่าทางร้านเสียชื่อ ถูกคุณอุ่นเรือนใช้วิธีการกล่าวหาว่าสุธาศิริ รับซื้อของโจร แต่จริงๆ คุณยังมีการพิสูจน์หลักฐานเลย แล้วคุณมากล่าวหาได้อย่างไร ทางร้านเสียเชื่อเสียงค่ะตอนนี้ อยากให้ทาง ASTV ช่วยกรุณาแก้ข่าวให้ด้วยค่ะ”
ขณะที่ เล็ก - ฐิติรัตน์ ผู้เป็นน้องสาวกล่าวว่า “คือต้องอย่างนี้ก่อนนะคะ ไอ้เรื่อง(ข่าว)ที่เราอ่าน คุณหงษ์ไม่ได้อ่านค่ะ ที่คุณอุ่นเรือนบอกว่าเคยเกิดกรณีที่ทราบครั้งแรกว่าคุณอ้นขโมยรูปขายมาขายให้กับเรา แล้วบอกให้ไปเอาไปรูปมาคืน ทางเราไม่รับทราบเลยว่าคุณอ้นเค้ามีพฤติกรรมอย่างนั้น”
พร้อมกันนี้สองพี่น้องเจ้าของร้านยังกล่าวยืนยันว่า ทางร้านไม่ได้วิ่งเต้นหาตำรวจใหญ่มาใช้อำนาจข่มขู่ หลังจากที่พออ้นสารภาพกับอุ่นเรือนว่าขโมยภาพไปขายที่ร้าน แล้วนำตำรวจมาพบกับตนที่ร้าน แต่ยอมรับว่าหลังจากวันที่อ้นและตำรวจมาที่ร้าน พวกตนได้ไปขอคำปรึกษาตำรวจในเขตบางพลัด เพราะอยากรู้ว่าได้ตกเป็นผู้มีความผิดแล้วหรือยัง
“เราเคยไปปรึกษา หลังจากที่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมาเวลาประมาณ 20.30 น. คุณอ้นพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่ร้าน 3 คน เป็นตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบ 1 คน และตำรวจชายนอกเครื่องแบบ 2 คน ซึ่งทางบ้านคุณอุ่นเรือนก็ไม่โทรนัดอะไรเลย อยู่ๆก็บุกมาเลย
มาถึงปุ๊บ ตำรวจก็มาบอกว่ามีปัญหาเรื่องรูปที่อ้นเอามาขาย เราก็บอก อะไรคุณอ้น เป็นไปได้ยังไง ก็เราค้าขายกันทุกครั้งไม่ได้เป็นปัญหาเลยนี่ แล้วทำไมครั้งนี้มีปัญหาล่ะ และหนึ่งในตำรวจที่มาด้วยชื่อ ร.ต.อ.วันเฉลิม ศรีอ่อน คนนี้ที่มาและก็ให้เบอร์ไว้ด้วย เป็นลูกน้องของ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน รอง ผกก. สส.3 สืบสวนนครบาล
เค้าก็เหมือนพูดว่าอ้นขโมยงานมาขาย หงษ์ก็บอกว่า อันนี้หงษ์ไม่ทราบนะคะ เพราะว่าหงษ์ดิวกับบ้านคุณอุ่นเรือนซื้อขายกันมาตลอด ซื้อมาเป็นเวลาเกือบสิบปี และก็โอนเงินเข้าบัญชีคุณอุ่นเรือนทุกครั้ง ไม่เคยมีปัญหา แต่ทำไมครั้งนี้มีปัญหา คุณอ้นทำแบบนี้มันแบล็คเมล์ กันหรือเปล่า
ตำรวจก็บอกไม่ครับๆ ผมแค่มาขอซื้องาน หงษ์ก็บอกแล้วว่างานทุกชิ้น มันไม่มีแล้ว ร้านเราเป็นร้านที่ซื้อมาขายไป ร้านเราเปิดให้ลูกค้าเข้ามาได้ ใครชอบใจ ราคาเราตั้งไว้แค่นี้ คุณพอใจไม๊ ถ้าคุณพอใจ คุณซื้อไปจบ คุณจะมาให้เราเก็บได้ไง ร้านเราไม่เก็บ เรายืนยันแล้ว ว่าเราซื้อมาขายไป
ตำรวจที่ไปก็ถอย และต่อสาย พ.ตท.สมบูรณ์ ให้เราคุย แต่เราบอกว่าเราไม่คุย ถ้าคุณอ้นเค้าผิดจริง ให้คุณอุ่นเรือนไปแจ้งจับคุณอ้นก่อน แจ้งจับเสร็จแล้วคุณค่อยกล่าวหามา แล้วเราถึงจะคุยกับคุณ เพราะเราไม่ได้ผิดอะไรนี่ เราถูกต้องนี่ เรามีหลักฐานนี่ คุณมากล่าวอ้างอย่างนี้ไม่ได้ เราบอกไม่คุย คุณกลับไป แล้วเค้าก็กลับไป” หงษ์ - เกณิกา กล่าว
ขณะที่ เล็ก - ฐิติรัตน์ กล่าวถึงกรณีที่ต้องไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจย่านบางพลัดว่า
“มีตำรวจผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เราไปปรึกษา เราอยากรู้ว่า ณ ขณะนี้เราตกเป็นผู้ต้องหาหรือยัง เราอยากจะทราบในข้อกฎหมาย มีคนบุกรุกมาในยามวิกาลแบบนี้ เราไม่รู้ว่าเราจะต้องทำยังไง ก็เลยไปขอเรียนปรึกษาท่าน เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าเป็นอย่างงี้นะ ท่านช่วยดูให้นิดนึงว่าเราตกเป็นผู้ต้องหาหรือยัง พอเราเล่าเสร็จ ท่านเป็นคนกลางที่ต้องฟังสองฝ่าย ท่านจึงต่อสายไปคุยกับ พตท.สมบูรณ์ ว่ามันคืออะไรยังไง ทำให้รู้ว่า อ้าวถ้ายังงั้นเราก็ยังไม่ถือเป็นผู้ต้องหานี่คะ ท่านไม่เคยได้ใช้อำนาจอย่างที่คุณอุ่นเรือนบอก”
ส่วนกรณีที่อุ่นเรือนบอกว่า ทางร้านฝากบอกตำรวจมาว่าให้เขียนจดหมายขอโทษทางร้าน ทั้งที่ตนเสียหายถูกหญิงรับจ้างภายในบ้านขโมยภาพไปขายให้ทางร้าน
หงษ์ - เกณิกา ยอมรับว่าเคยฝากบอกให้อุ่นเรือนเขียนจดหมายถึงทางร้านจริง หลังจากที่ต่อมาวันที่ 16 มิถุนายน 2557 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาเจรจากับทางร้านอีกครั้ง
“พ.ต.ท.สมบูรณ์ โทรมาหาเราเมื่อวันที่ 16 มิถุยายน โทรมาเจรจาอีกครั้งหนึ่งว่า เค้าอยากจะขอซื้อรูปคืน ก็หงษ์ยืนยันไปแล้วไงคะ ว่ามันไม่มี ขายไปหมดแล้ว ก็จบแค่นั้นเอง เราก็เลยบอกคุณตำรวจว่า ถ้าคุณตำรวจมีอะไร คุยกับทนายความของเราแล้วกัน เพราะเราไม่คุยแล้วจริงๆ เราพูดไปหลายรอบแล้ว
คุณต้องให้คุณอุ่นเรือนทำหนังสือขอโทษทางร้านดีกว่า เพราะว่าคุณทำอย่างนี้ ทางร้านเสื่อมเสียชื่อเสียงนะ คุณมาเล่นอย่างนี้ เราก็คุยกับคุณ รูปไม่มีแล้ว คุณจะมาซื้ออะไรกับเรา มาเอาอะไรกับเรา ไม่มีรูปจะขายให้คุณแล้ว
และให้เราไปบอกลูกค้าที่ซื้อไป เราจะไปรู้ได้ไง ลูกค้าเค้ามาจากแต่ละที่ Walk in เข้ามา ชอบใจ แล้วซื้อกลับไป เราไม่ได้ถามคุณชื่ออะไร เบอร์โทรศัพท์อะไร เราไม่ได้ถาม”
ร้านสุธาศิริกรอบรูป ซื้อภาพเขียนของท่านอังคารผ่านทางอ้นและโอนเงินเข้าบัญชีอุ่นเรือน มาตั้งแต่ก่อนที่ท่านอังคารจะเสียชีวิต กระทั่งเสียชีวิต ปี 2555 และทางร้านได้ซื้อภาพเขียนของท่านอังคารครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2556
นอกจากนี้ในวันพระราชทานเพลิงศพ ของท่านอังคาร ที่วัดทองนพคุณ ในปี 2556 หงษ์ - เกณิกา บอกว่าตนได้ตั้งใจเดินทางไปร่วมงานและนำเงินใส่ซองทำบุญไปให้ด้วย แต่เมื่อเห็นว่าคนเยอะมากจึงส่งซองให้แล้วเดินทางกลับ
“งานศพท่านอาจารย์อังคารดิฉันช่วยซองไป 5 หมื่น ช่วงนั้นทางบ้านเขายังมีขายภาพเขียนบ้าง แต่ว่าหงษ์ก็ไม่ได้ซื้อตลอด”
และทุกครั้งที่ซื้อภาพมาแล้ว ภาพจะถูกนำมาแขวนขายไว้ในร้าน
“เพราะเราซื้อมาถูกต้อง เราไม่ได้ซื้อของโจร เราทำไมต้องกลัวละคะ ในเมื่อเราทำถูก เราก็แขวนเลย คุณชอบไม๊ แสนนึง เมื่อต่อรองราคาได้ เอาไปเลย จบ ก็แค่นั้นเอง ซื้อมาขายไป”
ในแต่ละครั้งที่ทางร้านซื้อภาพเขียนท่านอังคารโดยมีอ้นเป็นคนนำมาส่ง บางครั้งก็ซื้อภาพเดียว บางครั้งก็ซื้อ 2- 3 ภาพ และบางครั้งมีการโอนเงินเข้าบัญชีของอุ่นเรือนเกือบ 1 ล้านบาท
“ประมาณง่ายๆ เกือบล้านนึงค่ะ คืออาจจะไม่ใช่ชิ้นนึง หงษ์ไม่มั่นใจ แต่ว่าหงษ์มีหลักฐานในการโอน
บางครั้งเราก็โอนเงินเข้าบัญชีให้ก่อนเลย แล้วเค้าเอารูปมาให้ อันนี้คือการเชื่อใจจริงๆ ซึ่งก็ไม่มีที่ไหนเค้าทำกัน ถ้าไม่เชื่อใจกัน”
ทุกภาพที่เคยซื้อ หงษ์ - เกณิกา กล่าวว่า บางภาพก็ตรงกับภาพถ่ายผลงานที่ทางครอบครัวของท่านอังคารนำมายกตัวอย่างให้กับทางสื่อชมว่าเป็นภาพที่ถูกขโมยไปขาย ขณะที่บางภาพก็ไม่ใช่
และหากนับจำนวนที่เคยซื้อมา ไม่ได้มากเท่ากับจำนวนที่ทางครอบครัวของท่านอังคารบอกว่าหายไป
“ไม่เยอะเท่าที่กล่าวกัน มันจะไม่ใช่รูปที่อยู่ในสูจิบัตร มันก็เลยไม่แพงค่ะ แต่ว่ามีครั้งหลังที่ซื้อมาในราคาหลัก 4 แสนบาทขึ้นไป”
พอร้านกลายเป็นข่าวขึ้นมาครั้งล่าสุด หงษ์บอกว่าได้มีบรรดาลูกค้าทั่วไป รวมไปถึงศิลปินโทรมาสอบถามเรื่องราวกับทางร้าน แต่ลูกค้าในส่วนที่ซื้อภาพเขียนของท่านอังคารไปยังไม่เคยติดต่อมา
“เค้าถามว่าร้านเป็นยังไง เราก็บอกว่าขอให้เชื่อใจร้านว่าบริสุทธิ์ ซื้อถูกต้อง มีหลักฐานการโอน เดี๋ยวจะไปที่ ASTV ขอแก้ข่าว ขอให้เราได้พูดบ้าง ไม่ใช่ฟังความข้างเดียว แล้วสรุปว่าสุธาศิริ ผิด มันเป็นการตัดสินที่มันไม่ยุติธรรมค่ะ
ถามว่าความเสียหายเกิดขึ้นไม๊ วันนี้เกิดขึ้น แล้วใครจะช่วยรับผิดชอบในส่วนตรงนี้”
ขณะที่ เล็ก - ฐิติรัตน์ บอกว่า ลูกค้าที่มาซื้อภาพเขียนของท่านอังคาร จากทางร้านไป ไม่ใช่ลูกค้าประจำ แต่เป็นลูกค้าขาจร และจำไม่ได้แล้วว่าภาพไหนไปอยู่ในการครอบครองของใคร
“เพราะร้านเราสามารถ Walk in เข้ามาได้ เพราะว่าร้านเรา ไม่ใช่ขายเฉพาะงานท่านอาจารย์อังคารแต่เป็นศิลปินท่านอื่นด้วย เดี๋ยวขายรูปนู้น เดี๋ยวขายรูปนี้ เข้าใจไม๊คะ มันมีหลายคนที่สะสมภาพ นำภาพซื้อขายกัน มาแลกกัน”
ขณะที่ หงษ์ - เกณิกา บอกว่า “เป็นลูกค้าที่ Walk in เข้ามา ซื้อแล้วก็ไป แล้วก็ไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้”
อีกทั้งยืนยันว่า ขณะนี้มีภาพเขียนของท่านอังคารเก็บอยู่ที่ร้าน ยังไม่ได้ขายไปเพียงภาพเดียวเท่านั้น คือภาพ “ผู้หญิงสัปรด” (1 ในจำนวนภาพที่ทางครอบครัวของท่านอังคารนำมายกตัวอย่างผ่านสื่อว่าเป็นภาพที่ถูกขโมยไปขาย)
“ เหลือแค่ชิ้นสัประด ที่ซื้อถูกต้อง มีหลักฐาน”
และเมื่อถามเธอไปว่าหากทางครอบครัวท่านอังคารจะมาขอซื้อภาพนี้คืน เธอตอบทันทีว่า
“หงษ์ไม่ขายค่ะ ณ วินาทีนี้คือไม่ขาย เพราะมันเลยจุดที่จะคุยกันแล้ว”
ขณะที่ เล็ก - ฐิติรัตน์ ตอบว่า “จริงๆถ้าอาจารย์อุ่นเรือนมาติดต่อเราดีๆ เรายินดีให้ความร่วมมือ เราสามารถที่จะมอบให้ได้ เพราะว่าเราก็นับถือท่านอาจารย์อังคาร เราก็เป็นเด็กกว่า ถ้าเป็นผู้ใหญ่มาสะกิดเราดีๆ เราก็ยินดีให้ความร่วมมือ
ภาพนี้เราสามารถให้เป็นวิทยาทาน ให้เป็นสมบัติของชาติเลย ไม่คิดสตางค์ เพราะเราทำบุญมามากกว่านี้ ช่วยเหลือคนมามากกวว่านี้ เพียงแต่ให้มันแบบว่าไม่มีอะไรกินแหนงแคลงใจ มีอะไรคุยกัน”
และเมื่อหงษ์ - เกณิกา ถูกถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรที่ทางอุ่นเรือนบอกกับสื่อว่า ตนเองเสียหาย เพราะถูกหญิงรับจ้างภายในบ้านขโมยภาพเขียนซึ่งตั้งใจเก็บไว้ทำพิพิธภัณฑ์ ไม่เคยที่จะคิดขาย และขโมยสมุดบัญชีธนาคารและ ATM ไป อยากขอความร่วมมือ เพราะอยากได้ภาพคืน
“หงษ์สงสัยเหมือนกันว่าเงินเข้าบัญชีคุณอุ่นเรือน ATM หาย ไปไม่อายัด ปล่อยให้เค้าไปกดเงินได้ยังไง แล้วทำไมไม่อายัดแจ้งความกับอ้น ทำไมปล่อยให้เรื่องมันดำเนินการมาขนาดนี้ อันนี้หงษ์ขอถามกลับไป เพราะฉนั้นหงษ์ยืนยันว่า หงษ์ซื้อโดยถูกต้อง มีหลักฐานการโอนเงิน เพราะฉนั้น อันนั้นเป็นเรื่องภายในครอบครัวคุณ ซึ่งต้องไปคุยกันเอง”
และเมื่อถูกถามว่า หากถูกเชิญไปออกรายการพร้อมกันทั้งสองฝ่าย ทางร้านจะยินดีไหม เธอตอบว่า
“ก็ต้องดูก่อนว่าจะไปไม๊ มันต้องดูว่าเราพอใจไม๊ เรายังไง”
อีกทั้งบอกว่าไม่ได้ดูสัมภาษณ์ที่ทางลูกสาวสองคนของท่านอังคารถูกเชิญไปออกทีวีรายการหนึ่ง เมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา
แต่เริ่มทราบข่าวหลังจากที่ชื่อร้านถูกอ้างถึงในข่าวเมื่อ 10 กรกฎาคม ทาง ASTVผู้จัดการ ออนไลน์ โดยมีน้องสาวโทรไปบอก แต่ก็ยังไม่อ่านเนื้อข่าว เนื่องจากวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ จ.พะเยาว์ กระทั่งเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพ ในวังอังคารที่ 15 กรกฎาคม วันเดียวกับที่มาขอแก้ข่าวกับทาง ASTV ผู้จัดการ
“เราไม่ได้เห็นข้อมูล เพราะว่าไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ท น้องส่งข่าว ทราบคร่าวๆว่าเป็นแบบนี้ ก็บอกว่าจะกลับมา ขอให้เราถือศีลได้อย่างที่เราตั้งใจไว้ก่อน วันนี้พอกลับมา ก็มาชี้แจงว่าความเป็นมา มันเป็นยังไง”
ขณะที่ เล็ก - ฐิตรัตน์ บอกว่า “พอทางผู้ใหญ่โทรมาแจ้งทางเราแล้ว เล็กก็เลยโทรไปแจ้งพี่สาว”
เป็นคนที่ซื้อภาพเขียนท่านอังคาร ? “ไม่ใช่ค่ะ เป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักกัน เป็นคนในวงการที่ขายภาพหรือสะสมภาพ เป็นพี่ที่เรานับถือ แต่ไม่เกี่ยวกับอันนี้เลย”
อุทาหรณ์!! ภาพเขียน “อังคาร กัลยาณพงศ์”ถูกลูกจ้างหญิงขโมยไปขายร้านขายไม้ทำกรอบรูป เกือบหมดเเกลี้ยง ไม่เหลือทำพิพิธภัณฑ์
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews