>>ณ บ้านเดี่ยวหลังงามในย่านราชพฤกษ์ ที่ได้รับการออกแบบตกแต่งให้สะดวกสบายครบทุกฟังก์ชันตามใจผู้อยู่ แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สระว่ายน้ำขนาดกำลังดี และมีบ้านอีกหลายหลังตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้บ้านหลังนี้ทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “รีสอร์ต” ประจำครอบครัวชัยยศบูรณะ ที่พร้อมใจพาครอบครัวมาพักผ่อนและสังสรรค์ร่วมกันทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
รายละเอียดเล็กน้อยแต่มากด้วยความอบอุ่นปริมาณมหาศาลเหล่านี้คือความสุขเรียบง่ายที่ “คุณแยม-ธนิตา” และ “คุณฮง-วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ” เลือกจะมอบแด่ลูกสาววัยกำลังซนทั้งสองคน เหตุเพราะหน้าที่การงานที่รัดตัวในช่วงวันจันทร์ถึงวันศุกร์ของทั้งคู่ดึงเอาเวลาคุณภาพที่พ่อแม่ควรใช้เวลากับลูกไปจนเกือบหมด ทำให้เวลา 48 ชั่วโมงตลอดช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ของนักธุรกิจหนุ่มสาวคู่นี้ ถูกใช้ไปกับการว่ายน้ำ กระโดดแทรมโพลีนเล่น และกินข้าวด้วยกันกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
นับ 1 ถึง 100
เหตุผลที่การใช้เวลาว่างในช่วงปลายสัปดาห์สำคัญกับ “คุณธนิตา-คุณวรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ” มากขนาดนี้ ด้วยเพราะตำแหน่งหน้าที่การงานของคนทั้งคู่ ทำให้เกือบทุกนาทีในชีวิตช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์ถูกทุ่มไปที่ตารางการทำงานทั้งหมด โดยฝ่ายหญิงดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควีส จำกัด นำเข้าแบรนด์สกินแคร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาอย่าง “มิวราด” (Murad) รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อความงามแบรนด์พูพา (Pupa) และล่าสุดคุณแยมเพิ่งเปิดสถาบันดูแลสุขภาพผิวมิวราดเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แก่ลูกค้าในการดูแลสุขภาพและความงามแบบองค์รวม
ส่วนคุณวรวัฒน์ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบเยอร์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่คุณฮง ในฐานะลูกชายคนเล็กของตระกูล คลุกคลีและผูกพันมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ต่างจากคุณแยม ลูกสาวคนโตของ “คุณทักษะ บุษยโภคะ” ผู้บุกเบิกบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังของเมืองไทยอย่าง “โมเดอร์นฟอร์ม” ดังนั้น หากจะกล่าวว่าทั้งคู่คือลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นของครอบครัวนักธุรกิจเต็มขั้นคงไม่ผิดจากความจริงแต่อย่างใด
เราขอเริ่มต้นคุยกับฝ่ายหญิงก่อน เพราะนอกจากบุคลิกที่ดูคล่องแคล่ว ปราดเปรียว ค่อนไปทางเปรี้ยวจัดแล้ว เรามั่นใจว่าเธอมีคุณสมบัติชั้นดีที่คล้ายเป็นหมัดเด็ดซ่อนอยู่ในตัว
“คุณพ่อคือแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้แยมอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยท่านไม่เคยบังคับว่าเราจะต้องสานต่อธุรกิจของทางบ้าน ทั้งยังสนับสนุนให้ออกไปค้นหาความฝัน และมุ่งมั่นทำงานให้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง” คุณแยมเริ่มต้นเล่าถึงเหตุผลที่เธอสมัครใจเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับธุรกิจที่ตนขอเป็นผู้บุกเบิก หลังสั่งสมประสบการณ์ทำงานทางด้านการตลาดมานานหลายปีในหลากหลายบริษัทชั้นนำ จนเมื่อสบโอกาสเหมาะในการนำเข้าแบรนด์มิวราด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตัวเธอเองประทับใจตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักศึกษาในต่างแดน คุณแยมจึงไม่ลังเลที่จะสานฝันของตนเอง
“แยมรู้จักแบรนด์นี้ดีมาตั้งแต่เรียนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยเริ่มต้นศึกษาผลงานวิจัยของ ดร.โฮเวิร์ด มิวราด ผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์มิวราด ที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ว่าทำอย่างไรให้ผิวสวยและมีสุขภาพดี โดยเฉพาะเรื่องอินคลูซีฟ เฮลท์ ว่าต้องดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก รวมถึงใส่ใจเรื่องของอารมณ์ด้วยเพื่อไม่ให้เครียด หรือแม้แต่การดื่มน้ำ ดร.มิวราด ยังแนะนำให้กินน้ำจากผักและผลไม้มากกว่าน้ำเปล่า เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่า” คุณแยมเล่าถึงรายละเอียดที่ทำให้เธอค่อยๆ หลงรักแบรนด์มิวราด พลอยทำให้เราเข้าใจถึงเหตุผลที่เธอเลือกเสิร์ฟของว่างให้พวกเราเป็นมะม่วงและแอปเปิลได้ดียิ่งขึ้น
“การจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น เราต้องมั่นใจในตัวสินค้าก่อน เมื่อเรารู้ว่าสินค้าดี ขั้นตอนที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” ด้วยเหตุนี้ คุณแยมจึงพกความพร้อมในการตะลุยทำธุรกิจใหม่ถอดด้ามของเธอด้วยความสนุกและความสุขแบบเต็มที่
บอกรักผิวจากภายใน
นับถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่เธอลงมือสร้างสรรค์และพัฒนากิจการของ บริษัท ควีส จำกัด ให้ค่อยๆ แผ่ขยายสาขาความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป เริ่มต้นจากแบรนด์มิวราด ก่อนจะต่อยอดเพิ่มเติมด้วยการนำเข้าเครื่องสำอางแบรนด์พูพา และปัจจุบันกับการเปิดสถาบันดูแลสุขภาพผิวมิวราด เพื่อให้กิจการเกี่ยวกับสุขภาพและความสวยความงามที่เธอสร้างสรรค์สมบูรณ์แบบและครบวงจรยิ่งขึ้น
“สถาบันดูแลสุขภาพผิวมิวราดเพิ่งเปิดสาขา 2 ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และกำลังวางแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก เพราะจะเห็นได้ว่าในช่วง 5 ปีหลังมานี้ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวแยมเองไม่เน้นการทำศัลยกรรมภายนอก แต่ให้ความสำคัญกับการบำรุงจากภายในด้วยธรรมชาติมากกว่า ขณะเดียวกันก็ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วย ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าต้องการเห็นผล และเราเองก็ต้องเลือกเครื่องมือหรือวิธีการที่ไม่ทำร้ายผิว ที่เรียกว่า นอน-อินเวซีฟ ไปจนถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมดังที่กล่าวมาแล้ว”
“ดังนั้น สิ่งที่เทรนพนักงานเสมอคือ เราไม่ได้ทำร้านขึ้นมาโดยคำนึงถึงเม็ดเงินเป็นหลัก แต่ต้องให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกว่าสถาบันดูแลสุขภาพผิวมิวราดเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ที่เข้าไปแล้วอบอุ่น สบายใจ เกิดความไว้วางใจในการเข้ารับการปรนนิบัติผิวอย่างถูกวิธี และกลับบ้านอย่างมีความสุข”
ปรัชญาในการต่อยอดธุรกิจ
ขณะที่ภรรยาสนุกไปกับความท้าทายใหม่ของการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว คุณวรวัฒน์เองก็ชัดเจนในจุดยืนของตน และเตรียมความพร้อมในการรับหน้าที่ดูแลกิจการของครอบครัว อย่าง บริษัท เบเยอร์ จำกัด ที่คุณพ่อสร้างรากฐานมาแล้วเป็นอย่างดี
“หน้าที่หลักๆ ของผมในฐานะรองประธานกรรมการบริษัท คือ ดูแลงานด้านโอเปอเรชัน งานขาย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งผมทำงานนี้มาตั้งแต่สำเร็จปริญญาโท และถ้าจะว่ากันตามจริง งานนี้อยู่ในสายเลือดของผมอยู่แล้ว พี่น้องทุกคนเติบโตกับสีเบเยอร์มาตั้งแต่เด็ก เราได้เข้าไปอยู่ในโรงงาน ไปเยี่ยมและทำความรู้จักลูกค้า จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ของเราไปโดยปริยาย”
แม้ในช่วงที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา คุณฮงจะเคยคิดแยกตัวออกไปสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่เมื่อลองตรองดูใหม่ให้ถ้วนถี่แล้ว เขาจึงตระหนักได้ว่าการสานต่อความสำเร็จเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เขาภูมิใจจะทุ่มความสามารถลงไปอย่างสุดตัว
“ตอนเรียนจบใหม่ๆ ผมเคยมีอีโก้ส่วนตัวในการคิดออกไปสร้างธุรกิจเองเหมือนกัน แต่เมื่อลองคิดอีกมุมหนึ่งโดยใช้มุมมองทางวิศวะตามที่ผมร่ำเรียนมา ถ้าเราสร้างธุรกิจของตัวเองโดยลงทุนลงแรงไป 10 ถ้าเกิดเราเก่งจริงและประสบความสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ออกมาสัก 20 ก็สามารถทำให้เราภูมิใจได้แล้วว่านี่คือความสำเร็จของเรา แต่ถ้าผมเลือกต่อยอดจากพื้นฐานที่คุณพ่อสร้างไว้ให้ ผมใส่แรงไป 10 ผลลัพธ์อาจจะออกมา 100 ซึ่งทำให้ช่วงชีวิตของผมลงล็อกยิ่งขึ้น เพราะผมมีครอบครัว มีค่าใช้จ่าย มีลูก ทำให้ผมไม่ต้องลำบากดิ้นรนเหมือนคนที่ทำ 10 แล้วได้ 20 และกว่าจะได้ 30 ต้องเหนื่อยกว่านั้นอีกสองเท่า
“ผมจึงคิดว่าผมตัดสินใจไม่ผิดตั้งแต่ตอนหนุ่มๆ ที่เลือกเดินบนเส้นทางการต่อยอดธุรกิจ เพราะผมมองว่าในอีกสิบปีข้างหน้าเมื่อผมมีครอบครัว Work - life Balance ของผมต้องลงตัว ไม่ใช่ต้องปากกัดตีนถีบหมุนเงินเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ แม้จะเกิดความภูมิใจว่าเราสร้างบริษัทมากับมือ แต่ผมก็ภูมิใจในการทำหน้าที่กลจักรตัวหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวได้เหมือนกัน การประสบความสำเร็จทั้ง 2 รูปแบบนี้ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ด้วยมูลค่าทางธุรกิจ แต่การเลือกทางนี้ทำให้ผมมีไลฟ์สไตล์ที่ผมคาดหวังอยากจะได้ในอีกสิบปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ณ วันนี้ ที่ผมกำลังแฮปปี้อยู่” คุณฮงแจกแจงการวางแผนชีวิตและการทำงานเมื่อทศวรรษก่อน ที่มอบดอกผลงดงามตามที่เขาคาดการณ์ในวันนี้
“ธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเองมีความยากในช่วงเริ่มต้น และทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตไปอย่างมั่นคง ส่วนธุรกิจใหม่ที่ต้องอาศัยการต่อยอดก็มีความยากในอีกแบบ ทำอย่างไรให้บริษัทเติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งแยมเชื่อว่าวิธีการบริหารแต่ละองค์กรย่อมแตกต่างกันออกไป” หญิงสาวที่สนุกกับการนับหนึ่ง วิเคราะห์ด้วยแนวคิดที่ละเอียดลึดซึ้ง ถึงเส้นทางการทำธุรกิจของสามี ที่ไม่ว่ารูปแบบการทำธุรกิจที่คนทั้งคู่เลือกจะเป็นแบบไหน แต่การสวมหมวกนักธุรกิจคนละใบ พร้อมกับสวมหมวกในฐานะคุณพ่อและคุณแม่อีกคนละใบ ย่อมเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ดีที่สุด
Work - life Balance ที่ลงตัว
“ทุกวันนี้ทำงานกลับบ้านค่อนข้างดึก โดยเฉพาะในช่วงปีนี้จะค่อนข้างยุ่งมากกว่าเดิม เพราะกำลังขยายธุรกิจใหม่ บางวันจึงกลับบ้านดึกกว่าสามีด้วยซ้ำ บางวันกลับถึงบ้าน 4 ทุ่ม ลูกๆ ก็หลับหมดแล้ว” คุณแยมเริ่มต้นเล่าถึงกิจวัตรในช่วงนี้ ที่โมงยามส่วนใหญ่ในชีวิตถูกแบ่งสันปันส่วนไปกับการดูแลสถาบันดูแลสุขภาพผิวมิวราดที่อยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่ถึงกระนั้น “เวิร์กกิ้งมัม” คนนี้ก็ไม่กังวลว่าเวลา 24 ชั่วโมงของเธอจะน้อยกว่าคนอื่น
“แม้จะต้องไปทำงานทุกวัน หรือกลับถึงบ้านเอาตอนที่ลูกหลับไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีความลำบากในการเลี้ยงลูกเลย คงเพราะบ้านเราอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ เวลาที่แยมกับสามีไปทำงานจะมีทั้งญาติๆ และพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลลูกสาวทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิด และเราวางใจได้ รวมถึงเรา 4 คนพ่อแม่ลูกนอนห้องเดียวกัน ช่วงเวลากลางคืนจึงเป็นเวลาที่เราได้เลี้ยงลูกเอง เมื่อลูกร้อง เราสามารถลุกขึ้นไปปลอบได้ทันที ซึ่งตั้งแต่มีลูกไม่มีคืนไหนที่นอนหลับลึกแบบเต็มอิ่ม แต่นั่นคือความสุขของเรา”
ความโชคดีอีกอย่างที่ทำให้คุณแยมอุ่นใจเสมอคือ การมีชายคนรักที่คอยอยู่เคียงข้างและเอาใจใส่ดูแลลูกๆ ไม่แพ้คนเป็นแม่อย่างเธอ
“พี่ฮงเขารักลูกมาก” คุณแยมเล่าถึงสามีที่กำลังง่วนเล่นอยู่กับน้องเคธ ลูกสาวคนโตที่ดูจะติดคุณพ่อมากเป็นพิเศษ “ในช่วงที่ลูกยังไม่หย่านม ต้องตื่นมาให้นมลูกทุก 2 ชั่วโมง เขาเองก็ตื่นมาพร้อมๆ กับเรา คืนไหนที่เราไม่ไหวจริงๆ และปั๊มนมเก็บไว้แล้ว ก็จะให้เขาทำหน้าที่ป้อนนมให้ลูกแทน ซึ่งแยมคิดว่านี่คือความเข้าอกเข้าใจกัน และเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างถึงที่สุด เราสองคนอยู่ด้วยกันอย่างเอื้ออาทรแบบนี้เสมอมา ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาระหว่างกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” คุณแยมยิ้มให้กับโซ่ทองคล้องใจที่เติมเต็มความอบอุ่นให้กับครอบครัวอย่างแท้จริง
สองสาวสองบุคลิก
สาวน้อยสองคนที่โผวิ่งไปตามมุมโน้นมุมนี้ของบ้านบ้าง ปลีกตัวไปเล่นสนุกในห้องของเล่นบ้าง สลับกับการกินขนมของโปรดอย่างเอร็ดอร่อยไปพลาง คือโซ่ทองทั้งสองเส้นที่เชื่อมโยงหัวใจทุกดวงของคนในบ้านเข้าด้วยกัน พี่สาวหน้าหมวยชื่อ น้องเคธ วัย 5 ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1 ส่วนน้องแคลร์ เจ้าของดวงตากลมโต วัย 3 ขวบ ที่ตัวโตเกือบเท่าพี่สาวจนเกือบแยกไม่ออกว่าคนไหนเป็นพี่หรือน้องกันแน่
“ลูกสองคนนี้ไม่เหมือนกันตั้งแต่เกิดเลย” คุณแยมเล่าถึงลูกสาวด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “ลูกคนแรกกินนมยากตั้งแต่ตอนยังเป็นทารก ทุกวันนี้ก็ยังกินยากอยู่ และเป็นคนมีอารมณ์ค่อนช้างเซนซิทีฟ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้แล้ว แต่ก็เป็นเด็กกล้า แค่เวลาจะทำอะไรต้องมีเพื่อนทำด้วย เคธมีความจำดีมาก ตอนเล็กๆ เราสอนเขาเรื่องสี แค่ 2 วันก็จำได้หมดแล้ว หรือถ้าเล่นเกมจับคู่การ์ดด้วยกัน เราเองยังจำสู้เขาไม่ได้เลย เขาเป็นคนชอบทำกิจกรรมประเภทเกม ชอบอ่านหนังสือ เวลาว่างเขาจะนั่งเขียนหนังสือไปเรื่อยๆ คนเดียว เป็นเด็กมีจินตนาการ ชอบเจ้าหญิงและของสวยๆ งามๆ”
“ส่วนน้องแคลร์จะแสบๆ แมนๆ กินเก่ง นอนเก่ง มีอารมณ์หนักแน่น ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยร้องไห้โยเยเลย มีแค่ร้องไห้ตอนหิวเท่านั้น แคลร์จะอยู่ไม่ค่อยนิ่ง ชอบเตะฟุตบอล ชอบร้องเพลงคาราโอเกะ และชอบเต้น ถ้าอ่านนิทานให้ฟังเขาจะไม่ชอบ” ยิ่งคุณแยมเล่าทำให้เรายิ่งเห็นถึงความต่างที่แสนจะน่ารักของพี่น้องคู่นี้ “ด้วยความที่เขาไม่เหมือนกันเลย เวลาเราหากิจกรรมให้เขาทำจึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ใครทำอะไรแล้วมีความสุขก็ปล่อยให้เขาทำอย่างนั้นไป เราจะให้เขาลองก่อน แล้วถามว่าชอบไหม เพราะอะไรถึงชอบหรือไม่ชอบ เปรียบเทียบกับตอนคนรุ่นเราถูกเลี้ยงมา คุณพ่อคุณแม่อยากให้เราเป็นอะไร ก็เลี้ยงเราแบบนั้นโดยไม่ค่อยฟังเรา พอเราไม่ได้ชอบสิ่งที่ท่านให้ทำมากนัก เราก็จะทำมันไม่ได้ดีที่สุด ในขณะที่ถ้าเราชอบ เราก็จะตั้งใจและทำให้มันออกมาดี”
นั่นคือหลักในการเลี้ยงลูกง่ายๆ ที่คุณแยมและคุณฮงคิดเห็นตรงกันกับการไม่ปิดกั้นจินตนาการ ความชอบ และตัวตนของพวกเขา โดยคุณพ่อคุณแม่พร้อมจะดูแลอยู่ห่างๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะใส่ ‘ปุ๋ยในการใช้ชีวิต’ ให้ทีละน้อย เพื่อให้ลูกสาวทั้งสองเติบโตเป็นคนดีของสังคมในวันข้างหน้า
เติมปุ๋ยให้ความรู้สึกนึกคิด
คุณแยมคือผู้ที่ค้นพบ “ปุ๋ยในการใช้ชีวิต” เป็นคนแรก ก่อนจะชักชวนคุณฮงเข้ามาร่วมเติมวิตามินดีๆ สู่ความรู้สึกนึกคิด และเผื่อแผ่ไปยังลูกๆ ตามมา
“แยมเริ่มนั่งวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่ตอนอายุ 29 ปี” คุณแยมเฉลยถึงนิยามที่แท้จริงของปุ๋ยที่เราเอ่ยถึง “เริ่มต้นจากลูกน้องในออฟฟิศคนหนึ่งที่เขาไปวิปัสสนาแล้วชวนให้เราลองปฏิบัติดู จนเมื่อเข้าไปสัมผัสจึงค้นพบบางอย่างที่มีประโยชน์กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวันหรือในการทำงาน สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ ทำให้เรามีสติ แน่นอนว่าเวลาทำงานเราต้องเกิดอารมณ์หงุดหงิดบ้างเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจ พอเราฝึกวิปัสสนาเยอะๆ จะเริ่มจับอารมณ์ของตัวเองทัน เมื่อรู้ตัวว่าหงุดหงิด ให้บอกตัวเองว่าเราหงุดหงิดแล้ว จากนั้นหายใจลึกๆ ตั้งสติ แล้วเราจะไปไม่ถึงความโกรธ อารมณ์จะดับไปก่อนตั้งแต่หงุดหงิดแล้ว ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติเองยังนำไปสอนลูกน้องได้ ทั้งยังชวนพี่ฮงให้มาร่วมปฏิบัติด้วยกัน”
“การวิปัสสนาเป็นของปัจเจก ต่างคนต่างปฏิบัติและต่างได้ด้วยตัวเอง” คุณฮงเสริมถึงคุณค่าที่เขาได้รับจากการวิปัสสนากรรมฐาน “การที่เรามีสติเป็นที่ตั้งทำให้เรามองทะลุถึงปัญหาได้อย่างชัดเจนและถ่องแท้ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นเราสามารถนำหลักนี้ไปแก้ปมปัญหาได้ โดยนึกย้อนไปถึงสาเหตุต้นตอ คลี่มันออกมา แล้วเคลียร์ปัญหาจากการใช้สติแทนการใช้อารมณ์ในการถกเถียงกันเพียงอย่างเดียว” นอกจากคุณฮงจะนำหลักการของการทำวิปัสสนากรรมฐานไปปรับใช้ในการทำงานแล้ว โมงยามของการออกกำลังกายยามเช้าก็เหมาะแก่การกำหนดสติและลมหายใจไม่แพ้กัน
“ผมจะออกกำลังกายตอนเช้าอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ปกติคนส่วนใหญ่จะเปิดดูข่าว ดูหนัง หรือฟังเพลงขณะออกกำลังกาย ตาผมจะปิดไฟ และกำหนดสติขณะออกกำลังกาย จังหวะการหายใจสำคัญมากในการออกแรงเพื่อให้ได้ Endurance เช่น การขี่จักรยานที่ต้องอาศัยการออกแรงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราใช้วิธีนี้จะทำให้ไม่เหนื่อยเร็ว และไม่รู้สึกเบื่อ การปฏิบัติแบบนี้ทำให้ผมได้ใช้สติอยู่กับตัวเองในตอนเช้า ทั้งฟิตเนสตัวเองและฝึกลมหายใจไปในตัว”
“สังคมสมัยนี้เปลี่ยนไปจากสมัยเราและพ่อแม่เราเยอะ สื่อต่างๆ เข้ามาถึงตัวได้เร็ว และเราไม่สามารถอยู่ดูแลลูกได้ 24 ชั่วโมง วันหนึ่งเมื่อเขาโตขึ้น มีเพื่อน มีสังคม สิ่งหนึ่งที่เรามอบให้เขาได้คือเรื่องของการปลูกฝังความคิด ทำอย่างไรให้เขาสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีสติ และคิดได้ด้วยตัวเองว่าอะไรผิดอะไรถูก” นี่คือจุดเริ่มต้นของการพาน้องเคธและน้องแคลร์เข้าร่วมวิปัสสนาคอร์สเด็ก โดยมีการรวมกลุ่มให้ทำกิจกรรมเพื่อให้เด็กรู้จักการแบ่งปัน พร้อมกับสอดแทรกการนั่งสมาธิสัก 1 นาที เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยทีละน้อย
“ผมอาจจะค้นพบการทำสติปัฏฐานช้าไปสักนิด แต่ก็ไม่ช้าเกินไปในการนำพาสิ่งนี้สู่เด็กๆ ซึ่งแยมทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีมาก เขาพาลูกไปวิปัสสนาทุกช่วงปิดเทอม ผมอยากให้เขามีตรงนี้เป็นแกนกลางเหมือนกระดูกสันหลังในการดำเนินชีวิต ให้เขาปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ ความคาดหวังสูงสุดคือ อยากให้เขามีสติในการดำเนินชีวิต ไม่ดีใจหรือเสียใจเกินไป อยู่อย่างธรรมดา และประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาหวังไปตามแต่ละขั้นตอนของชีวิต” คุณพ่อบอกเล่าถึงความปรารถนาดีต่อแก้วตาดวงใจทั้งสอง เช่นเดียวกับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง
“เราคุยกันบ่อยๆ ว่าเราจะไม่ไปกะเกณฑ์ลูก เช่น โตขึ้นต้องมาต่อยอดธุรกิจของป๊ากับม้านะ เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่า ณ วันนั้นเขาต้องการอะไรในชีวิต เขาจะเป็นคนเลือกเองว่าชีวิตเขาชอบและรักที่จะทำอะไร”
จนกว่าจะถึงวันนั้น ครอบครัวชัยยศบูรณะขอใช้ทุกนาทีร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยกันก็เพียงพอแล้ว ::Text by FLASH