>>พูดถึง “วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้” คงไม่มีใครในแวดวงธุรกิจไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ ที่ถือว่าเป็นตำนานของนักธุรกิจผู้สร้างตัวขึ้นมาจากมันสมองและสองมือ จากเงินเพียงหลักพันจนกลายเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านในทุกวันนี้ แต่สำหรับสาธารณชนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารการตลาดหรือสนใจเรื่องเศรษฐกิจ อาจจะไม่รู้จักว่าชายฝรั่งผู้มีรอยยิ้มใจดีดั่งซานตาคลอสคนนี้เป็นใคร แต่ไม่ว่าคุณจะรู้จักเขาหรือไม่ เชื่อได้ว่าในชีวิตนี้อย่างน้อยคุณต้องเคยได้ยินหรือเป็นลูกค้าใช้สินค้าและบริการของบริษัทเขามาแล้วอย่างแน่นอน
เพราะธุรกิจในมือของเครือไมเนอร์ กรุ๊ป (Minor Group) ของวิลเลียมนั้นมีมากกว่า 30 บริษัทในเครือ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหาร โรงแรม แบรนด์แฟชั่น ฯลฯ เป็นทั้งผู้นำเข้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศเข้ามาประเทศไทย รวมไปถึงสร้างแบรนด์สัญชาติไทยขยายออกไปสู่ตลาดอินเตอร์ด้วย โดยปัจจุบันนี้ไมเนอร์ กรุ๊ป มีธุรกิจอยู่ทั่วโลก ดูแลโรงแรมและรีสอร์ตอยู่กว่า 80 แห่ง ร้านอาหารกว่า 1,300 สาขา และร้านค้าอีกกว่า 200 ร้านทั้งในเอเชีย แอฟริกาและออสเตรเลีย
แบรนด์ดังๆ ที่อยู่ในการดูแลครอบคลุมไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ทั้งโรงแรมเครืออนันตรา แบรนด์โรงแรมที่บุกเบิกขึ้นเอง หรือจะเป็นโรงแรมโฟว์ซีซั่นส์, เซนต์ รีจิส, แมริออท ในประเทศไทย, เอลามิส (Elemis), เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company), สเวนเซ่นส์ (Swensen’s), แดรี่ ควีน (Dairy Queen), ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler), เบอร์เกอร์ คิง (Burger King), เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club), ไทย เอ็กซ์เพรส (Thai Express), เอสปรี (Esprit), แกป (GAP), บอสซินี (Bossini), ทูมี่ (Tumi), ชาร์ลส แอนด์ คีธ (Charles&Keith), เพโดร (Pedro), เรดเอิร์ธ (Redearth) ฯลฯ
บุกเบิกธุรกิจด้วยสองมือ
วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ หรือที่คนใกล้ชิดรู้จักกันในนาม “บิล” แม้ว่าจะมีบิดาเป็นทหาร และมารดาทำงานอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชน แต่เขากลับเป็นคนที่มีความเป็นเถ้าแก่อยู่ในตัวและโชว์ทักษะทางด้านนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เขาเริ่มต้นทำงานตั้งแต่อยู่ในวัยเรียนด้วยอายุเพียง 17 ปี ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณา และปีถัดมาเมื่อเรียนจบเขาก็ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อ แต่เริ่มลงมือก่อตั้งธุรกิจด้วยเงินเพียง 1,200 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ที่หยิบยืมมา เขานำไปจดทะเบียนบริษัท คือ Inter-Asian Enterprise ที่บริการทำความสะอาดออฟฟิศต่างๆ และบริษัท Inter-Asian Publicity ที่ดูแลเรื่องสื่อโฆษณาวิทยุ การเริ่มต้นบนเส้นทางธุรกิจตั้งแต่วัยเยาว์ของบิลถูกสะท้อนออกมาในชื่อบริษัทไมเนอร์ที่หมายถึงผู้เยาว์ในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นเขาก็เดินหน้าสานต่อทางธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งการริเริ่มเปิดบริการอาหารฟาสต์ฟูดเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ตั้งแต่นำเข้าแบรนด์มิสเตอร์โดนัท ซึ่งภายหลังได้ขายให้กับเครือเซ็นทรัล, พิซซ่า ฮัท ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เปิดหน้าการตลาดแบบดิลิเวอรีในเมืองไทย ประสบความสำเร็จจนมีปัญหาเรื่องสัญญา จึงเป็นที่มาของการสร้างแบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในภายหลัง ไปจนถึงความสำเร็จของแบรนด์ที่ยังดำรงอยู่จนทุกวันนี้ ทั้ง ซิซซ์เล่อร์, สเวนเซ่นส์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง ฯลฯ
ด้านธุรกิจการบริการ เขาเริ่มต้นจากโรงแรมรอยัล การ์เดน รีสอร์ต ที่พัทยา, หัวหิน และกรุงเทพฯ ก่อนจะเปลี่ยนมาทำในนามอนันตรา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ทางไมเนอร์ก่อตั้งเอง ทั้งยังดึงแบรนด์โรงแรมดังอย่างโฟร์ซีซั่นส์, แมริออท และเซนต์ ริจิส เข้ามาเปิดในเมืองไทย รวมไปถึงการนำเข้าแบรนด์แฟชั่นและเครื่องสำอางอีกหลากหลายแบรนด์ ไปจนถึงธุรกิจเครื่องบินส่วนตัวให้เช่า
วันนี้ Celeb Online มีโอกาสแทรกในตารางนัดหมายอันแสนแน่นเอี้ยดของไฮเนคกี้ไปนั่งคุยกันในสวนของโรงแรมอนันตรา หัวหิน รีสอร์ต แอนด์ สปา โดยเขาเล่าถึงเรื่องราวการทำงานบนเส้นทางสายธุรกิจที่เขาก้าวเดินว่า
“ทำธุรกิจมาหลากหลายประเภท ดูแลแบรนด์ต่างๆ มากมาย ถ้าจะให้เลือกว่าชอบแบรนด์ไหนที่สุด มันเลือกยากนะ เพราะทุกงานทุกธุรกิจที่ผมทำ ผมทำเพราะรักและสนใจ ไม่ได้มองแค่ว่ามันทำกำไร ทำเงินให้มากแค่ไหน อย่างงานด้านโฆษณา สื่อสาร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตนักธุรกิจของผม ผมก็สนุก หรือทำแบรนด์อาหารอย่าง Pizza Company, Thai Express, Swensen, Sizzler, The coffee club ไปจนถึงเสื้อผ้า ผมชอบทุกอย่าง เพราะธุรกิจไหนที่ผมไม่ชอบผมก็จะไม่เลือกทำมันตั้งแต่แรก...
การทำงานมันต้องมี Passion ไม่ใช่ทำไปเฉยๆ ดังนั้น ธุรกิจที่ผมจะไม่จับเด็ดขาด ที่แน่ๆ เลยคืองานทุจริต ธุรกิจที่ไม่ดี และอีกอย่างคือพวกงานที่น่าเบื่อ อย่างพวกสารเคมี ปุ๋ย หรือพวกโรงงานอุตสาหกรรมหนักต่างๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ ผมชอบพวกไลฟ์สไตล์ ธุรกิจการบริการ เพราะมันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์มาก ซึ่งสิ่งที่ผมอยากทำ ผมก็ทำมาหมดแล้ว เพราะผมเป็นคนที่คิดอะไรต้องรีบลงมือทำ ไม่ปล่อยเวลาและโอกาสให้เสียเปล่าไป ทุกวันนี้พูดได้ว่าทำทุกอย่างที่อยากทำแล้ว”
จากนำเข้าสู่ฐานะผู้ส่งออก
หลังจากเป็นผู้ที่นำเข้าแบรนด์ดังๆ ต่างประเทศมาให้คนไทยรู้จักมานานนับทศวรรษ ทุกวันนี้ทางไมเนอร์มุ่งหมายในการปั้นแบรนด์ของตัวเองออกไปเติบโตยังต่างประเทศ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับไฮเนคกี้ได้ทุกครั้งที่มองดูความสำเร็จที่สั่งสมมา
“ทุกวันนี้ธุรกิจของผมยังมีสินค้าและบริการต่างๆ เข้ามาอยู่บ้าง แต่เราหันมาเน้นในการสร้างแบรนด์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง และขยายธุรกิจออกไปสู่ต่างแดนมากกว่า ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจด้านอาหารและการบริการอย่างพวกโรงแรม ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ของเราเอง จะมีแต่พวกสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอางที่เราไม่ได้ก้าวเข้าไปทำเอง” วิลเลียมกล่าวถึงธุรกิจของบริษัทไมเนอร์ที่เขาดูแลมาตลอดเกือบ 50 ปีด้วยความภูมิใจ
ความสำเร็จที่ภูมิใจมากที่สุดคงไม่มีอะไรเกินหน้าแบรนด์อนันตรา ที่พัฒนาธุรกิจจนกลายมาเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจในระดับสากล
“อนันตราถือเป็นความภาคภูมิใจ และนับเป็นความฝันที่เป็นจริงของผม เพราะแบรนด์โรงแรมอนันตราไม่ได้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ยังเป็นหนึ่งในโรงแรมแบรนด์ไทยที่ออกไปเติบโตในต่างประเทศอย่างโดดเด่น”
ทุกวันนี้บริษัทไมเนอร์เป็นเจ้าของโรงแรมอนันตรากว่า 10 แห่งในประเทศไทยทั้งที่เป็นเจ้าของเองและรับจ้างเข้าไปดูแลเรื่องการบริหารจัดการ กระจายอยู่ในเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ ทั้งที่หัวหิน, พัทยา, กรุงเทพฯ, สมุย, ภูเก็ต, เชียงราย ฯลฯ รวมถึงการไปเปิดยังต่างประเทศในหลากหลายชื่อ ทั้งในนามอนันตรา (Anantara), อาเลวาน่า (Elewana), เอวานี (Avani), โอคส์ (Oaks) ฯลฯ อยู่ในหลายทวีป ทั้งที่มัลดีฟส์, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีน, มาเลเซีย, ศรีลังกา, แทนซาเนีย, เคนยา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ ไปจนถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
“ถ้าถามว่าชอบสาขาไหนมากที่สุด ผมตอบไม่ได้จริงๆ เพราะผมรักอนันตราเหมือนลูกเลย มันจึงไม่สามารถเลือกได้ว่ารักคนไหนมากกว่ากัน ให้ความรักเท่ากันหมด เพราะแต่ละที่ก็มีเสน่ห์ส่วนตัวที่ต่างกันออกไป อย่างที่เชียงรายก็เป็นโรงแรมเดียวที่มีช้าง ส่วนหัวหินเป็นโรงแรมแห่งแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในธุรกิจนี้ ผมจึงมีความทรงจำดีๆ กับที่นี่เสมอ ส่วนภูเก็ตหรือสมุย ผมก็ชอบมากเพราะผมรักการดำน้ำและแล่นเรือ เวลาแวะไปก็จะได้สนุกกับกิจกรรมโปรดทุกครั้ง”
Work Hard, Play Hard เต็มที่กับทุกแง่มุมของชีวิต
ทุกวันนี้ด้วยวัย 64 ย่าง 65 ปี ที่บางคนอาจจะถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลังเกษียณ แต่ไม่ใช่สำหรับนักธุรกิจเช่นเขาที่ทำงานมาตลอดชีวิตคนนี้ ที่บอกว่า “ผมไม่เคยคิดถึงการเกษียณ เพราะผมจะทำงานจนกว่าผมจะทำไม่ไหว ผมทำงานมาตลอดชีวิต แล้วจะให้หยุด หรือเลิกทำ มันไม่ได้หรอก ผมจะหยุดต่อเมื่อผมทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่สามารถเรียนรู้หรือช่วยอะไรได้อีกแล้ว”
ถึงแม้ว่างานส่วนใหญ่ของทุกวันนี้จะมีทีมงานเข้ามาช่วยดูแล รวมไปถึงการได้ลูกชายทั้งสองของไฮเนคกี้และภรรยา แคธลีน คือ “เดวิด” และ “จอห์น” มารับหน้าที่ดำเนินการสานความสำเร็จต่อ ไฮเนคกี้จึงมีเวลาที่จะปลีกตัวไปทำสิ่งที่รัก กิจกรรมโปรดทั้งหลายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแข่งรถ, สะสมรถคลาสสิก, การแล่นเรือ และการขับเครื่องบิน
“ด้วยอุปนิสัยที่ชอบแข่งขัน ผมจึงสนุกกับกิจกรรมที่มีการแข่งขันมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเทนนิส แข่งรถ ซึ่งแม้จะชอบแข่งแต่ผมไม่ชอบพวกกีฬาที่ต้องเล่นหรือแข่งเป็นทีมนะ เพราะผมชอบเล่นอะไรที่ตัวผมเองสามารถควบคุมและตัดสินใจได้ด้วยตัวของผมเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร
อีกสิ่งที่ชอบคือธรรมชาติ ชอบท่องเที่ยว ดังนั้นกิจกรรมที่ผมชอบทั้งเรื่องการบิน การดำน้ำ การแล่นเรือ และการขับรถ มันทำให้ผมสัมผัสกับธรรมชาติได้มากขึ้น ผมชอบอารมณ์ที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบิน หรือการดำน้ำ ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็มีเสน่ห์มากๆ และสร้างความประทับใจได้ต่างกันออกไป อย่างเวลาขับรถก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงอำนาจการควบคุม ด้านการดำน้ำก็เหมือนทำให้เราหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง อย่างผมเคยไปดำน้ำตอนกลางคืนอันนั้นก็สวยไปอีกแบบ การสะสมรถเก่า รถคลาสสิก ก็ให้ความสนุกที่แตกต่างออกไป ซึ่งผมก็จะไปเข้าร่วมแรลลี่แข่งรถคลาสสิกที่ยุโรปและอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง ผมสนุกกับการได้ทำอะไรที่หลากหลาย และพยายามจะแบ่งเวลาให้กับทุกกิจกรรมที่ว่า”
แม้จะมีหลายกิจกรรมให้เลือกทำ แต่ถ้าจะให้จิ้มสิ่งที่ชอบและมีโอกาสได้ทำบ่อยๆ นั่นคือเรื่องของการบิน “ผมฝึกบินมานานกว่า 35 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ได้ขับเครื่องบินอยู่บ่อยๆ เพราะผมพยายามตระเวนไปเยี่ยมดูโรงแรมต่างๆ ของผมที่อยู่ทั่วโลก ทุกๆ 3 เดือน การเดินทางไปแต่ละที่ผมก็จะบินไปเอง ผมพยายามแวะไปเยี่ยมไปดูแลให้ครบทุกที่ แต่ด้วยความที่หลายแห่งก็อยู่ห่างไกลไปถึงแอฟริกา หรือออสเตรเลีย ก็ทำให้บางทีอาจจะตระเวนไปไม่ครบ ผมพยายามจัดทริปไกลๆ เพื่อแวะไปดูแบบไม่มีทอดทิ้ง แต่อาจจะไม่บ่อยเท่าโรงแรมที่อยู่ในภูมิภาคนี้ซึ่งจะแวะเวียนไปสม่ำเสมอกว่า”
เห็นอัปเดตก้าวหน้าไปทุกเวลาและไม่ยอมหยุดยั้งความก้าวหน้าของทั้งไลฟ์สไตล์ส่วนตัวและธุรกิจแบบนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ไฮเนคกี้ไม่ขอวิ่งตามเทรนด์ทันสมัยที่หมุนไปอย่างว่องไวของโลก นั่นคือ กระแสของโซเชียลเน็ตเวิร์ก
“ผมเป็นคนที่ไม่ใช่พวกโซเชียลเน็ตเวิร์กเลย เฟซบุ๊กผมก็ไม่มี ไม่ทวีต ไม่เล่นอินสตาแกรม เคยแต่เห็นพวกเพื่อน CEO ของผมเขาเล่นกันอยู่บ้าง บางคนเขาก็ดูสนุกกับมันนะ แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ผม ซึ่งเรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์กอะไรพวกนี้ ถ้าในแง่มุมของธุรกิจและบริษัทนี่ก็ถือว่าสำคัญมาก แต่ส่วนตัวผมเอง ผมมีทีมงานที่ผมไว้ใจ คอยดูแลอัปเดตกระแสหรือเทรนด์อะไรต่างๆ รายงานให้อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าจะติดต่อผมก็ต้องใช้การโทรศัพท์ ส่งอีเมล ส่งข้อความ SMS อะไรพวกนี้ก็พอ”
ความรักช้างของฝรั่งหัวใจไทย
เป็นชาวอเมริกันโดยกำเนิดและสายเลือดแท้ๆ ที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่อายุได้ราว 14 ปี จนถึงทุกวันนี้กว่า 50 ปีที่เขานับว่าประเทศไทยเป็นบ้าน และได้สัญชาติไทยอย่างเต็มตัวเมื่อปี 2534 และเห็นหน้าฝรั่งแบบนี้อย่าได้ไปนินทาภาษาไทยให้ได้ยินเชียว เพราะเขาฟังไทยและพูดไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ แม้จะไม่ค่อยได้พูดให้ใครได้ยินก็ตามที วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้ ถือเป็นชาวต่างชาติที่มีหัวใจไทยอย่างเต็มตัว ซึ่งเมื่อถามว่าเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นไทยตรงไหน เขาตอบว่า
“ผมว่าความรักช้างนี่แหละ ที่แสดงถึงความเป็นไทยของผมได้ดี ช้างที่นับเป็นสัตว์คู่บ้านคู่แผ่นดินของไทย เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญมากต่อประวัติศาสตร์ชาติไทย ถึงขนาดมีภาพอยู่ในธงชาติ และเป็นสัตว์ที่ผมรักมาก จึงเลือกจัดกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ของโรงแรมอนันตราซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องกันมากว่า 12 ปีแล้ว อย่างการแข่งขันโปโลช้างชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้น ซึ่งแรงบันดาลใจของงานคือช่วยเหลือช้าง สร้างความเป็นอยู่เขาให้ดีขึ้น
ปัญหาเรื่องช้างของประเทศไทยมีอยู่มาก เนื่องจากช้างของไทยทุกวันนี้มักเป็นช้างบ้าน ไม่ค่อยมีช้างป่า ต่างจากช้างในทวีปแอฟริกา ซึ่งคนส่วนใหญ่จะชอบช้างไทยและช้างเอเชียมาก เพราะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้มากกว่า สำหรับคนไทยที่นับว่าช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของช้างไทยกลับไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่เท่าไร
โดยก่อนหน้านี้เมืองไทยใช้ช้างเหล่านี้เป็นช้างลากซุง และเมื่อการค้าไม้ การทำลายป่ากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เป็นเรื่องต้องห้าม ช้างจำนวนมากต้องตกงาน บ้างก็ต้องมาเดินเร่ตามถนนในเมือง เป็นภาพที่น่าเศร้ามาก และหลายเชือกต้องตายเพราะคนเลี้ยงไม่สามารถจะดูแล หาเลี้ยงได้ไหว โดยช้างกับคน มีวงจรชีวิตที่คล้ายกัน คือเมื่ออายุ 1-16 ปีจะเป็นช่วงเด็ก ยังโตไม่เต็มวัย จะเริ่มทำงานได้ก็ตอนอายุ 16 ปี และจะทำงานได้จนถึงอายุ 60 ปีเท่าวัยเกษียณของมนุษย์ โดยอายุขัยจะยืนยาวไปได้ถึงราวๆ 85 ปี” ทางไฮเนคกี้จึงอยากช่วยผลักดันให้คนเห็นความสำคัญกับปัญหานี้ และให้ความช่วยเหลือในหลากหลายรูปแบบ
“เมืองไทยมีการทำโครงการปล่อยช้างกลับสู่ป่า แต่ยังเป็นช่วงทดลองวิจัยอยู่ พยายามให้เขาได้อยู่แบบธรรมชาติที่สุด เพราะช้างเลี้ยงจะชินกับการถูกเลี้ยงดู ถูกป้อน อยู่แต่ในเมือง ในศูนย์อนุรักษ์ ถ้าปล่อยไปอยู่ตามธรรมชาติเลย อาจจะไม่รอด นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดภาพช้างในศูนย์ถ่ายทอดสดออนไลน์ให้คนทั่วโลกสามารถเข้าไปดู ไปศึกษาชีวิตช้างได้ คนจะได้เข้าใจ และเห็นถึงความสำคัญของช้างมากขึ้น และงานโปโลช้างก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาช้างไทย รวมทั้งเป็นช่องทางการระดมทุนให้กับช้างด้วย”
บางคนอาจจะครหาว่าการนำช้างมาแข่งโปโลถือเป็นการทารุณสัตว์ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะไฮเนคกี้เล่าให้ฟังว่า “ช้างทุกตัวที่มาร่วมแข่งในงานนี้ เป็นช้างรับจ้างทั่วไป ซึ่งหลายตัวก็ว่างงาน ไม่ค่อยมีใครจ้างเท่าไรนัก การมาร่วมงานนี้ถือเป็นการช่วยเรื่องรายได้ควาญช้างทางหนึ่ง และเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เข้าถึงช้างเหล่านี้...
เพราะเมื่อมาร่วมงาน เราจัดให้ช้างทุกตัวมีคุณหมอตรวจเช็กสุขภาพ จัดอาหารดีๆ ให้กินกันอย่างอิ่มหนำ รวมถึงให้ช้างได้ออกกำลังกายอย่างสนุกสนานด้วย โดยแต่ละตัวเราใช้แข่งแค่ไม่กี่แมตช์ ไม่ได้ใช้งานหนักหรือให้เขาเหนื่อยแต่อย่างใด แต่ละวันช้างที่ลงแข่งโปโล แต่ละตัวเล่นไม่เกิน 2 เบรก หรือเพียงราวๆ 15-20 นาทีเท่านั้น”
นี่คือความรักช้างของฝรั่งหัวใจไทย ที่ตั้งใจจัดงานดีๆ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ร่างใหญ่ที่แสนอ่อนโยนพันธุ์นี้อย่างแท้จริง ::Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/