xs
xsm
sm
md
lg

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล หนุ่มดูคาติผู้รักกล้องวินเทจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ชายหนุ่มกับความเร็ว เป็นสองสิ่งที่ที่มักจะมาคู่กัน ยิ่งความเร็วที่ได้ปะทะกับสายลมขณะอยู่บนรถบิ๊กไบค์คันใหญ่สุดเท่ด้วยแล้ว หนุ่มหลายๆ คนหลงไหลจนกลายเป็นพาหนะคู่กาย อย่าง “ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล” หรือ “คุณก้อง” ลูกชายคนสุดท้องของ “ม.ร.ว.ศุภดิศ ดิศกุล” กับ “พันโทหญิงนิภาพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา” และเป็นน้องชายคนเล็กของ 2 เซเลบริตี้สาวสวยอย่าง “ม.ล.อรดิศ สนิทวงศ์” และ “ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์”

จากหนุ่มที่รับราชการในกระทรวงพาณิชย์มาถึง 10 ปี และได้รับตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษาการพาณิชย์ และประจำอยู่ไกลถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศในฝันของใครหลายคน แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัว เขาก็ตัดสินใจย้ายกลับมาที่บ้านเกิด และรับหน้าที่เป็น Sales & Marketing Director ของ Ducati Thailand

“การได้ไปทำงานที่ต่างประเทศก็ถือว่าค่อนข้างมีอิสระนะครับ หน้าที่ของผมก็คือที่คนทั่วไปเรียกว่าทูตพาณิชย์ ไปดูแลการค้าขายระหว่างประเทศ แต่อยู่นานๆ ก็อยากเปลี่ยนงาน พอดีกับที่ได้โอกาสมาทำธุรกิจของพี่เขย (อภิชาติ ลีนุตพงษ์) ซึ่งต้องบอกว่าพอกลับมาทำงานนี้ ผมทุกข์น้อยลงเยอะมากนะครับ เพราะงานราชการจะค่อนข้างหนักในเรื่องของภาระหน้าที่ทำให้เราเครียดสะสม แต่ทุกวันนี้เห็นได้ชัดว่าเราทุกข์น้อยลง เครียดน้อยลง แม้ว่าตอนแรกจะยังติดที่ว่าเราเป็นข้าราชการมาตลอด แต่พอได้ออกมาทำจริงๆ มันก็เป็นความสุขอีกแบบนะ ทุกวันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตื่นมาทำงาน แต่เหมือนตื่นมาอยู่กับสิ่งที่เราชอบมากกว่า”

อย่างไรก็ตาม หนุ่มก้องกับรถบิ๊กไบค์ ไม่ได้เพิ่งมาผูกพันกันเฉพาะเรื่องงาน แต่ต้องนับย้อนไปตั้งแต่เด็ก สมัยที่ไปเรียนอยู่ประเทศนิวซีแลนด์ “ถือเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่ผมได้ซ้อนตอนเป็นเด็กครับ อายุประมาณ 12 ขวบ พอดีว่าตอนผมอยู่นิวซีแลนด์ พ่อบ้านที่ดูแลผมเขาขี่ดูคาติ ยังจำความรู้สึกได้ว่ามันเร็วและเสียงดังมาก ทุกเช้าผมก็จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ว่ามันดังสนั่นขนาดไหน โดยส่วนตัวผมชอบมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว พอโตขึ้น พี่เขยของผมได้เป็นผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ เราเลยได้เข้ามาคลุกคลีมากขึ้น และมาหัดขี่มอเตอร์ไซค์แบบจริงๆ จังๆ ตอนอายุประมาณ 20 ปี”

สำหรับก้องรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อย่างดูคาติ อาจไม่ใช่รถที่ขับขี่สบายที่สุด แต่ในขณะเดียวกันกลับมีเสน่ห์ที่สุด “ผมว่ามันมีเอกลักษณ์ครับ มันให้ประสบการณ์ในการขี่ที่มากกว่า ผมเชื่อว่าคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์หรือบิ๊กไบค์ เขาไม่ได้ต้องการความสะดวกสบาย แต่เป็นความต้องการอะไรที่แตกต่าง พอคุณขี่ปุ๊บจะรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของรถ สภาพถนน สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมเป็นยังไงคุณจะรับรู้ได้หมด เพราะคุณต้องเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ผมว่ามันให้อะไรได้มากกว่าที่เราคิดนะครับ”

ยิ่งมาเกี่ยวข้องกับงานโดยตรงก็ต้องเรียกว่าเข้าทาง เพราะคุณก้องมีโอกาสได้ออกทริปขับบิ๊กไบค์ไปต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ “ตอนแรกผมก็ขี่เพราะว่าเกี่ยวข้องกับงานนะครับ แต่หลังๆ กลายเป็นว่าติดใจ ถ้าไม่ได้ออกทริปต่างจังหวัดก็จะขี่รอบๆ เมือง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน ถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งได้เลย ผมว่าเสน่ห์อีกอย่างของการขี่มอ'ไซค์บิ๊กไบค์ คือคุณจะมีกลุ่มเพื่อน เขาจะมีการรวมตัวเป็นกลุ่มๆ เราจะเจอคนคอเดียวกัน ผมว่าคนที่ขี่มอ'ไซค์ เขาไม่ค่อยเฟคนะ คนที่ขี่รถแบบนี้ได้ก็ต้องเป็นคนที่รู้จักควบคุมความเสี่ยงได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเราก็ต้องเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้วล่ะ ทำให้สนิทกันเร็ว วิถีชีวิตของคนที่ขี่บิ๊กไบค์ก็จะคล้ายๆ กันนะครับ”

สำหรับสไตล์การทำงานของหนุ่มก้อง หลักสำคัญคือการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และมองว่าทุกคนคือเพื่อนร่วมงานไม่ใช่ลูกน้อง และยังเอาหลักธรรมมาปรับใช้อีกด้วย “ผมชอบฟังไอเดียครับ ผิดถูกไม่สนใจ แต่ขอฟังก่อน ผมไม่ชอบทรีตตัวเองว่าเป็นหัวหน้างาน แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ถือตัว ผมรู้ว่าตัวเองชอบหัวหน้าแบบไหน เราก็จะทำตัวให้เป็นแบบนั้น และพักหลังๆ ผมเริ่มจะเข้ามาศึกษาเรื่องธรรมะมากขึ้น เลยเอาธรรมะมาเป็นเครื่องชี้นำแนวทางการทำงานพอสมควรเลย อย่างการไม่เบียดเบียน ต้องซื่อสัตย์ ไม่ให้ร้ายใคร พูดจาให้เกียรติกัน ซึ่งผมว่าธรรมะก็คือธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวเรานี่แหละ”

นอกเหนือจากเวลางาน หนุ่มก้องบอกว่าเขาเป็นหนุ่มติดบ้านแถมยังเป็นคุณพ่อที่ติดลูกสาว (ด.ญ.กวินนา ดิศกุล ณ อยุธยา) วัย 5 ขวบ อีกต่างหาก “ผมกับภรรยา (จิรวรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา) ตัดสินใจว่าเราจะมีลูกคนเดียว เขาเป็นเด็กที่อ้อนพ่อมาก เราจึงจะไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด จะว่าผมติดลูกสาวก็ได้นะครับ ว่างๆ ก็อยู่บ้านอ่านหนังสือ ลูกสาวก็วาดรูปเล่น เพราะเขาชอบศิลปะ เมื่อก่อนผมไม่ใช่แบบนี้นะ แต่พอมีครอบครัว มุมมองชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป เริ่มโหยหาความเรียบง่ายของชีวิต ชอบไปทะเล ไปภูเขา ตอนวัยรุ่น พอถึงวันศุกร์ตอนเย็นเมือ่ไหร่ ผมต้องไปปาร์ตี้แล้ว แต่พอโตขึ้นมันเปลี่ยนไปเลยนะ ไม่ชอบไปปาร์ตี้แล้ว อยากกลับบ้านไปอยู่กับลูกมากกว่า”
แต่มีอีกอย่างที่คุณก้องหลงใหลและเป็นงานอดิเรกสุดโปรด ก็คือการถ่ายภาพ ครั้งนี้คุณก้องก็ได้นำกล้องวินเทจที่อยู่ในครอบครองเพียงส่วนหนึ่ง ที่สะสมมาให้เราได้ชมเป็นบุญตา ซึ่งคุณก้องก็เล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ

“ตอนเด็กๆ สัก 9-10 ขวบ ผมไปเอากล้องฟิล์มของคุณพ่อคุณแม่มาเล่น หลังจากนั้นก็หัดถ่ายเอง ซื้อหนังสือมาอ่าน ยังจำได้ว่าฟิล์มม้วนแรกนี่ไม่ได้รูปเลย มืดไปบ้าง สว่างไปบ้าง (หัวเราะ) ก็หัดเล่นมาเรื่อยๆ จนมาถึงยุคกล้องดิจิตอล พอเริ่มทำงานก็ซื้อกล้อง DSLR มาเครื่องแรก เลยไปเรียนถ่ายรูปหลายที่เลยนะ ช่วงนั้นถ่ายกันเยอะ จัดทริปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ จริงจังเลย

จนกระทั่งได้ไปทำงานที่สวิส มีอยู่วันหนึ่งได้ไปเดินตลาดขายของเก่า ผมไปเจอคุณยายคนหนึ่ง เขาบอกว่ากล้องนี้เป็นกล้องที่สามีเขาใช้ตลอดเวลา ผมเลยยืนคุย เขาเล่าประวัติให้ฟังว่าสามีใช้กล้องตัวนี้ถ่ายตั้งแต่ลูกยันหลาน คุยไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกประทับใจว่ากล้องถ่ายรูปเป็นสิ่งที่คู่ชีวิตคน ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ก็คงเป็นสมาร์ทโฟน แต่สมัยก่อนไม่มี กล้องถ่ายรูปเลยเป็นสิ่งที่บันทึกภาพความทรงจำดีๆ ของเรา ผมเลยเริ่มซื้อกล้องเก่า และกลับมาหัดถ่ายกล้องฟิล์มใหม่ และใช้มาตลอดครับ”

ในขณะที่เทคโนโลยีการถ่ายภาพในปัจจุบันล้ำหน้าไปไกล แต่สำหรับหนุ่มก้องแล้ว กล้องที่ใช้ฟิล์มกลับมีเสน่ห์กว่ากันมาก “ผมชอบกล้องฟิล์มตรงที่เราได้อยู่กับสภาพแวดล้อมที่เราถ่ายจริงๆ ถ้าเป็นกล้องดิจิตอล เวลาเราถ่ายปุ๊บ เราจะกลับมามองที่จอ LCD ปั๊บ จนกลายเป็นพฤติกรรม ทั้งๆ ที่โลกทั้งโลกอยู่ข้างหน้าของคุณ แต่คุณกลับไม่เห็น มัวแต่ก้มมองจอ ผมรู้สึกว่าอย่างนั้นมันไม่ได้คอนเนกต์กับสภาพแวดล้อมจริง แต่ถ้าเป็นกล้องฟิล์มคุณแทบจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งนั้น

หลังๆ สไตล์การถ่ายรูปของผมก็เปลี่ยนไป แรกๆ ผมเริ่มหัดจากถ่ายรูปวิว ต่อมาก็ถ่ายแนวแฟชั่น มีจ้างนางแบบ เช่าสตูดิโอ เช่าไฟ ถ่ายจริงจังเลย แต่พอเริ่มกลับมาใช้กล้องฟิล์ม ผมก็เปลี่ยนแนวการถ่ายรูป มาเป็นแนวสตรีตมากขึ้น เป็นการบันทึกภาพชีวิตคนจริงๆ บนท้องถนน ที่จริงเราก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ แต่พอเราถอยออกมามองชีวิตคนผ่านเลนส์ เราได้เห็นอะไรมากขึ้น เลยทำให้ผมติดกับการถ่ายรูป”
กล้องวินเทจเหล่านี้กลายเป็นของรักของคุณก้องชนิดที่ว่าต้องซื้อตู้ควบคุมความชื้นไว้เก็บกล้องเหล่านี้โดยเฉพาะ แถมยังทำประกันเอาไว้อีกต่างหาก “ผมมีกล้องเยอะมากนะครับ ไม่เคยนับ พอคนเห็นว่าเราชอบ ก็มักจะมีคนให้ของขวัญเป็นกล้องวินเทจเยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะได้มาจากตลาดนัดที่ต่างประเทศ บางตัวก็ประมูลมา อย่างกล้องเก่าของท่านปู่ ผมก็ยังเก็บไว้ บางทีก็กลัวจะพังเพราะมันเก่าเหลือเกิน ที่บ้านผมมีตู้แช่กล้องโดยเฉพาะ และมีตู้เย็น 1 ตู้ ที่ไม่ได้เอาไว้แช่ของกิน แต่เอาไว้เก็บฟิล์มรุ่นที่เขาเลิกผลิตไปแล้วครับ”

การได้มีชีวิตกับครอบครัวที่สมบูรณ์ อยู่กับงานและสิ่งที่รัก ถือเป็นความสุขของหนุ่มวัย 32 อย่างคุณก้อง แต่เขาก็ยังมีอีกจุดมุ่งหมายที่อยากทำ ก็คือการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมควบคู่กันไป “ผมถึงวัยที่ควรจะมองแล้วว่าแก่ตัวไปจะทำอะไร ผมคิดแม้กระทั่งว่า ถ้าเราไม่อยู่แล้ว เราจะทิ้งอะไรไว้ให้โลกนี้บ้าง จึงเริ่มคิดว่าเราควรจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ทุกวันนี้ที่บริษัทเราก็ทำพอสมควรตามกำลังที่เรามี ทั้งกำลังคนและกำลังทุนทรัพย์ อย่างที่เคยทำมาก็มีการขี่มอเตอร์ไซค์เอาของไปแจกตามโรงเรียนในชนบท และทริปต่อไป คือ การรวมกลุ่มคนขี่บิ๊กไบค์ รวบรวมปัจจัยและสิ่งของ เอาไปแบ่งปันให้ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้กันอยู่แล้ว และผมก็คงต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ

Favourite Destination

“เพราะผมชอบถ่ายรูป เมืองที่ผมไป จะต้องเป็นเมืองที่มีความหลากหลายของวัฒนธรรม เช่น สเปน ทางใต้ของอิตาลี แต่เมืองพวกนี้เราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ ไม่ใช่เที่ยวแค่ไม่กี่วัน อย่างเวลาไปคาเฟ่ ผมก็จะนั่งอยู่สักครึ่งวัน เพื่อสังเกตผู้คนว่าเป็นยังไง แล้วเราก็จะได้กลิ่นของเมืองนี้ ผมเคยพูดกับเพื่อนว่า ทุกรูปที่ผมถ่าย ผมจะจำได้หมด ความรู้สึกตอนที่เรากดชัตเตอร์เป็นยังไง ตอนนั้นอากาศเป็นยังไง กลิ่นในเมืองเป็นยังไงบ้าง เหมือนได้ย้อนความทรงจำของเราด้วย ส่วนเมืองที่ผมอยากไปแต่ยังไม่เคยไปคือแอฟริกาครับ อยากไปดูชีวิตของคนในชนเผ่าต่างๆ”

ทริปบิ๊กไบค์สุดประทับใจ

“ต้องยอมรับว่าไม่ได้ขี่ไกลมากเมื่อเทียบกับหลายๆ คน ที่เคยได้ไปไกลๆ ก็คือ หัวหิน เขาใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงทริปประทับใจ ก็ต้องเป็นครั้งที่เราจัดเป็นทริปฉลอง 10 ปี ดูคาติ ไทยแลนด์ เราได้ ทรอย เบลิสส์ นักแข่งระดับแชมป์โลก 3 สมัย เขาเป็นนักแข่งในตำนานที่คนขี่ดูคาติจะรู้จักเราก็ให้เขามาร่วมทริป โดยที่ไม่มีใครรู้สักคน ระหว่างทางก็ให้เขาโชว์ความสามารถ อย่าง ดริฟต์รถ ยกล้อ ลูกค้าก็จะเริ่มสงสัยว่าเขาคือใคร พอไปถึงหัวหินเราก็เฉลยโดยให้เขาขี่ขึ้นเวที ก็กลายเป็นที่ฮือฮามาก และฟีดแบ็กดีมากๆ ครับ”

ทิปส์สำหรับผู้หญิง ที่จะหัดขี่บิ๊กไบค์

“เดี๋ยวนี้ผมเจอลูกค้าผู้หญิงเยอะขึ้น ทั้งคนที่มีความสนใจอยากจะขี่มอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว และคนที่เริ่มจากซ้อนแฟน แล้วหันมาอยากขี่เองบ้าง อย่างดูคาติ ถ้าเทียบกับในแวดวงบิ๊กไบค์ ถือว่าน้ำหนักค่อนข้างเบากว่ายี่ห้ออื่น เลยทำให้เริ่มได้ง่ายหน่อย ผู้หญิงสูง 150 เซนติเมตร ก็ขี่ได้ครับ ผมว่าจุดเริ่มต้น คือ อย่างแรกต้องถามตัวเองก่อนว่าเราจะมีรถไปทำไม ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าเราอยากขับรถอะไร รุ่นไหน บางคนอยากใช้เพื่อการท่องเที่ยว บางคนอยากขี่ในสนามเพื่อเป็นกีฬา พอรู้แล้วว่าเราจะขี่แบบไหน แล้วค่อยมาเรียนรู้เทคนิคการขับขี่อย่างถูกวิธี และการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดครับ” :: Text by FLASH


ตัวอย่างภาพถ่ายของ ม.ล.ณัฐสิทธิ์
ตัวอย่างภาพถ่ายของ ม.ล.ณัฐสิทธิ์
ตัวอย่างภาพถ่ายของ ม.ล.ณัฐสิทธิ์
ตัวอย่างภาพถ่ายของ ม.ล.ณัฐสิทธิ์
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น