คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ตลาดแม่ริมนั้น มีทั้งอาหารการกินพื้นเมืองมากมายและผักจากป่าอันอุดมสมบูรณ์...
ต้นไม้ดอกไม้และเอื้องป่าที่สวยงามที่ถูกนำมาวางขาย แผงหนังสือและนิตยสารต่างๆ แผงใหญ่ริมถนน อันมีหนังสือมากมายพอที่จะให้ความรู้และความบันเทิง มีร้านเสริมสวยเป็นห้องแถวเล็กที่หลังตลาด
เวลาไปตลาดฉันมักจะเดินโฉบเฉี่ยวไปเมียงมองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อันเป็นการชุบชูใจ เล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่ฉันจะได้มีเรื่องต่างๆ ให้ได้เก็บเอามาคิดและนึกฝัน..
ส่วนการจับจ่ายซื้อหานั้น เป็นไปเฉพาะสิ่งอันจำเป็นคืออาหารการกินเท่านั้น
สิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจเช่นนิตยสารที่ชื่นชอบและเคยซื้ออ่านนั้นได้แต่พิศมองเมื่อยามเดินผ่าน เพราะหนังสือและนิตยสารแต่ละเล่มที่ชอบนั้นราคาปาเข้าไปเกือบหลักร้อย ซึ่งเงินในจำนวนนั้นสามารถนำไปซื้อของกินและกับข้าวได้มากกว่าหนึ่งมื้อ..
การเข้าไปสระผมไดร์ผมหรือนวดหน้าอันเป็นการดูแลตนเองประสาหญิงสาวที่เคยชอบของฉันนั้นก็ถูกงดเว้นไว้ จะได้ทำเฉพาะโอกาสที่สำคัญๆ เช่นการที่จะต้องไปพบปะกับเพื่อนๆ หรือพี่ๆ ศิลปินที่เพื่อนใจของฉันคบหาหรือรู้จักในบางครั้งบางคราวเท่านั้น
แม้ความเป็นอยู่ในชีวิตจริงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรื่องราวในความคิดฝัน ดูจะมีอยู่ในใจของฉันควบคู่กันไปเสมอ เช่นเมื่อที่ฉันต้องอาบน้ำจากลำห้วยเล็กๆ ที่ไหลผ่านข้างที่ดิน แทนการอาบน้ำจากน้ำประปา ในขณะที่น้ำอันเย็นเฉียบจากขันนั้นกระทบผิวกาย ในขันแรกนั้นความเย็นเยือกของน้ำราวกับจะแผ่ซ่านซึมลึกความเย็นจนเหน็บเจ็บผิวเข้าไปถึงหัวใจ..
แต่เมื่อทำใจให้นิ่งแล้วตักอาบในขันต่อๆ ไปได้แล้ว ความหนาวเหน็บในขันแรกค่อยๆ กลายเป็นความเย็นและสดชื่นไปได้อย่างเหลือที่จะกล่าว..จากที่เคยต้องให้เพื่อนใจของฉันตักน้ำขึ้นมาใส่ตุ่มและแกว่งสารส้มเพื่ออาบ ฉันค่อยๆ กล้าที่จะนำขันเละครื่องอาบน้ำ ลงไปนั่งตักน้ำอาบที่ริมลำธารตื้นๆ นั้น
ในบางขณะนั้นใจของฉันก็คิดไปถึงเรื่องราวอันลี้ลับของว่านวิเศษต่างๆ ที่เคยได้อ่านจากหนังสือ ว่าในป่าต่างๆ นั้นจะมีว่านขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ น้ำจากธรรมชาติที่ได้ไหลผ่านหรือซึมซับผ่านหัวและรากที่อยู่ใต้ดิน ของว่านวิเศษเหล่านั้น กระทั่งลงมาถึงฉัน เท่ากับว่า ฉันได้อาบน้ำจากว่านวิเศษเหล่านั้นด้วยเช่นกัน..
ในบางเวลาฉันชอบเดินสำรวจต้นไม้ป่าในบริเวณรอบๆ บ้าน นอกจากต้นตองตึงซึ่งมีใบใหญ่โตมากมายแล้ว ฉันได้พบเจอต้นไม้เล็กๆ บางอย่างที่มีใบและดอกคล้ายกับต้นว่านที่ฉันเคยอ่านเจอจากหนังสือ
กลิ่นอันหอมเย็นของใบและดอกของต้นไม้เล็กๆ เหล่านั้น ช่วยส่งเสริมให้ความคิดสร้างสรรค์ของฉันค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ด้วยการมองสิ่งแวดล้อม รอบๆ ตัว และความรู้สึกสัมผัสที่มากระทบใจ
ฉันเริ่มปั้นรูปดวงหน้าของผู้หญิงซึ่งมีผมยาว ขนาดเท่าๆ กับหน้าของคนจริงๆ ซึ่งไว้ผมยาว และเจาะรูไว้ให้ที่ข้างหูเพื่อสำหรับเสียบดอกไม้ ฉันสมมุติให้เธอเป็นนางไม้ประจำต้นตองตึง แต่ละต้น ฉันค่อยๆ ปั้นหน้ากากเหล่านั้นจากหนึ่งอัน เป็นสองอัน สามและสี่ ไปเรื่อยๆ จนครบต้นตองตึงแต่ละต้นที่อยู่ในบริเวณบ้าน แล้วบรรจงตอกตะปูลงไปที่ลำต้นพร้อมกับนำหน้ากากหญิงสาวผมยาวเหล่านั้นไปแขวนติดไว้
ฉันเริ่มสนใจในว่านยา และสมุนไพรต่างๆ และเริ่มหัดปรุงยาดองเหล้า ด้วยฉันชอบโหลแก้วใสๆ ที่ผูกด้วยผ้าแดงที่ฉันได้พบเห็นตามซุ้มยาดองอันมีอยู่ทั่วๆ ไป ตามหนทางหรือตลาด..แม้ว่าฉันเป็นคนไม่ชอบดื่มสุรายาเมาก็ตาม
แต่เมือฉันมาเรียนรู้ในการทำสุราดองเหล้านั้น ก็ทำให้ฉันมีความสุขที่จะทดลองดื่มสุราดองในโหล วันละหนึ่งถ้วยเล็กๆ อยู่ช่วงหนึ่ง และหวังผลลึกๆ ในจิตใจว่า สิ่งนั้นคงจะช่วยให้ผิวพรรณที่ขาดการดูแลของฉัน สวยงามขึ้นได้ด้วยเลือดฝาด..
นานวันไป ความกลัวลึกๆ ที่มีต่อเกลียวเถาวัลย์ข้างบ้านนั้นค่อยๆ ลดลง..ฉันมีความคิดฝันที่จะทำพื้นที่ในบริเวณที่มีเถาวัลย์คดเคี้ยวนั้น ให้กลายเป็นสวนลึกลับ อันเป็นสถานที่ส่วนตัวที่จะไม่เหมือนกับที่ใดๆ
ฉันเล่าความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลแก่เพื่อนใจของฉัน และค่อยๆ ปั้นดินเป็นรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ อันสะกดเป็นคำได้ว่า Secret Garden แล้วนำตัวอักษรดินเผานั้นติดกาวไว้บนแผ่นไม้ ไปห้อยไว้ที่เถาวัลย์ใหญ่ข้างบ้าน คำว่า Secret Garden คำนี้นั้น มาจากชื่อบนอัลบั้มเพลงที่ฉันชอบฟังมาแต่ก่อนเก่านั่นเอง...
แต่ก็หาใช่ว่า ฉันจะมีแต่ความเพลิดเพลินเจริญใจจากธรรมชาติเท่านั้น ในตอนกลางวันท่ามกลางแดดเปรี้ยงและอากาศร้อน ในขณะที่เรากำลังนั่งทำงานกันอยู่ ที่ใต้ถุนบ้านนั่นเอง จู่ๆ ก็ปรากฏมีไฟลุกไหม้ขึ้นที่กระท่อมร้างที่ถูกสร้างไว้บนที่ดินที่อยู่ใกล้ๆ กัน
ฉันมองเปลวไฟที่ลุกไหม้กระท่อมหลังนั้นด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งไฟป่านั้นได้มอดไหม้กระท่อมทั้งหลังล้มครืนพังพาบลงไปต่อหน้าต่อตาของฉันและเพื่อนใจด้วยความรวดเร็ว เพียงเวลาไม่นาน..โชคดีที่ไฟป่านั้นไม่สามารถไหม้โหมลุกลามข้ามถนนดินที่คั่นระหว่างที่ดินนั้นมาได้...
จากบ้านของเรา เมื่อขับรถลงดอยไปราวหนึ่งกิโลนั้น จะเป็นโรงแรมหรูสำหรับคนมีสตางค์และแขกชาวต่างชาติมาพักผ่อน และที่ตรงข้ามกับโรงแรมแห่งนั้น มีร้านขายขนมจีนน้ำเงี้ยวและส้มตำ ของป้าลอยและพี่หล้า
ร้านเล็กๆ ของป้าลอยและพี่หล้านั้นเป็นที่กินอาหารมื้อนอกบ้านของฉัน และเป็นที่ที่ฉันจะได้ฟังเสียงพูดคุยของผู้คนต่างๆ
เมนูอาหารประจำคือขนมจีนน้ำเงี้ยว และกับข้าวบ้านๆ เช่นผัดผักกาดดองใส่ไข่ และส้มตำ จากรสมืออันเป็นรสปานกลางคือไม่เผ็ดเกินไป ไม่เค็มเกินไป และไม่หวานจนเกินไป อันเป็นรสชาติที่ดีต่อสุขภาพของคนกิน ฉันเรียกรสชาติของอาหารจากที่นี่ว่า "รสชาติสม่ำเสมอ"
การได้กินอาหารจากร้านที่สะอาดและราคาถูกร้านนี้นั้น นับเป็นความชื่นอกชื่นใจของฉัน..
แรกเมื่อไปอยู่นั้น ฉันคิดว่าเราไม่มีเพื่อนบ้าน...มีแต่พี่ชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินผู้ชักชวนและให้เราอยู่ในที่ดินของเขาไปก่อนนั้น ได้หมั่นคอยขึ้นมาแวะเวียนเยี่ยมเยียนเราเสมอ พร้อมกับอาหารติดมือและการพูดคุยอย่างสนุกสนานอันเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาที่ทำให้เราอบอุ่นใจ
แต่เมื่ออยู่ไปสักระยะฉันก็เริ่มพบเห็นเพื่อนบ้าน..ในวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังขับรถผ่านทุ่งนาก่อนเข้าบ้าน ฉันได้พบหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอนุ่งผ้าถุงและเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีน้ำเงินเก่าๆ ยืนอยู่ริมทาง..
ภาพของเธอผู้ยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางทุ่งนาและดอกหญ้านั้น เป็นภาพชีวิตของหญิงสาวที่ฉันได้มองเห็นและฉุดความรู้สึกให้สนใจเป็นอย่างยิ่ง ฉันจึงจอดรถยิ้มและทักทายกับเธอ พร้อมกับถามว่า เธอชื่ออะไร หญิงสาวหน้าตาขะมุกขะมอบผู้นั้นตอบฉันด้วยสำเนียงของคนต่างบ้านต่างเมืองว่า "ชื่อสายไหม"
เธอคงเป็นคนพม่า..หรือชาวไทยใหญ่ ฉันคิด..พร้อมกับเรื่องราวของชนชาติเหล่านั้นได้พรั่งพรูเข้ามาในการรับรู้จากหนังสือที่เคยอ่าน ถึงเรื่องของความโหดร้ายของภัยจากสงครามและการสู้รบจนทำให้พวกเขาต้องอพยพหลบหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนไปยังที่ต่างๆ ด้วยความยากลำบากแสนสาหัส โดยเฉพาะหญิงสาว..
ฉันส่งยิ้มให้กับเธอ และคิดต่อเธอด้วยความรู้สึกเห็นใจ...
ภาพถ่ายโดย : นายดี และมณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ตลาดแม่ริมนั้น มีทั้งอาหารการกินพื้นเมืองมากมายและผักจากป่าอันอุดมสมบูรณ์...
ต้นไม้ดอกไม้และเอื้องป่าที่สวยงามที่ถูกนำมาวางขาย แผงหนังสือและนิตยสารต่างๆ แผงใหญ่ริมถนน อันมีหนังสือมากมายพอที่จะให้ความรู้และความบันเทิง มีร้านเสริมสวยเป็นห้องแถวเล็กที่หลังตลาด
เวลาไปตลาดฉันมักจะเดินโฉบเฉี่ยวไปเมียงมองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อันเป็นการชุบชูใจ เล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่ฉันจะได้มีเรื่องต่างๆ ให้ได้เก็บเอามาคิดและนึกฝัน..
ส่วนการจับจ่ายซื้อหานั้น เป็นไปเฉพาะสิ่งอันจำเป็นคืออาหารการกินเท่านั้น
สิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจเช่นนิตยสารที่ชื่นชอบและเคยซื้ออ่านนั้นได้แต่พิศมองเมื่อยามเดินผ่าน เพราะหนังสือและนิตยสารแต่ละเล่มที่ชอบนั้นราคาปาเข้าไปเกือบหลักร้อย ซึ่งเงินในจำนวนนั้นสามารถนำไปซื้อของกินและกับข้าวได้มากกว่าหนึ่งมื้อ..
การเข้าไปสระผมไดร์ผมหรือนวดหน้าอันเป็นการดูแลตนเองประสาหญิงสาวที่เคยชอบของฉันนั้นก็ถูกงดเว้นไว้ จะได้ทำเฉพาะโอกาสที่สำคัญๆ เช่นการที่จะต้องไปพบปะกับเพื่อนๆ หรือพี่ๆ ศิลปินที่เพื่อนใจของฉันคบหาหรือรู้จักในบางครั้งบางคราวเท่านั้น
แม้ความเป็นอยู่ในชีวิตจริงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรื่องราวในความคิดฝัน ดูจะมีอยู่ในใจของฉันควบคู่กันไปเสมอ เช่นเมื่อที่ฉันต้องอาบน้ำจากลำห้วยเล็กๆ ที่ไหลผ่านข้างที่ดิน แทนการอาบน้ำจากน้ำประปา ในขณะที่น้ำอันเย็นเฉียบจากขันนั้นกระทบผิวกาย ในขันแรกนั้นความเย็นเยือกของน้ำราวกับจะแผ่ซ่านซึมลึกความเย็นจนเหน็บเจ็บผิวเข้าไปถึงหัวใจ..
แต่เมื่อทำใจให้นิ่งแล้วตักอาบในขันต่อๆ ไปได้แล้ว ความหนาวเหน็บในขันแรกค่อยๆ กลายเป็นความเย็นและสดชื่นไปได้อย่างเหลือที่จะกล่าว..จากที่เคยต้องให้เพื่อนใจของฉันตักน้ำขึ้นมาใส่ตุ่มและแกว่งสารส้มเพื่ออาบ ฉันค่อยๆ กล้าที่จะนำขันเละครื่องอาบน้ำ ลงไปนั่งตักน้ำอาบที่ริมลำธารตื้นๆ นั้น
ในบางขณะนั้นใจของฉันก็คิดไปถึงเรื่องราวอันลี้ลับของว่านวิเศษต่างๆ ที่เคยได้อ่านจากหนังสือ ว่าในป่าต่างๆ นั้นจะมีว่านขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ น้ำจากธรรมชาติที่ได้ไหลผ่านหรือซึมซับผ่านหัวและรากที่อยู่ใต้ดิน ของว่านวิเศษเหล่านั้น กระทั่งลงมาถึงฉัน เท่ากับว่า ฉันได้อาบน้ำจากว่านวิเศษเหล่านั้นด้วยเช่นกัน..
ในบางเวลาฉันชอบเดินสำรวจต้นไม้ป่าในบริเวณรอบๆ บ้าน นอกจากต้นตองตึงซึ่งมีใบใหญ่โตมากมายแล้ว ฉันได้พบเจอต้นไม้เล็กๆ บางอย่างที่มีใบและดอกคล้ายกับต้นว่านที่ฉันเคยอ่านเจอจากหนังสือ
กลิ่นอันหอมเย็นของใบและดอกของต้นไม้เล็กๆ เหล่านั้น ช่วยส่งเสริมให้ความคิดสร้างสรรค์ของฉันค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ด้วยการมองสิ่งแวดล้อม รอบๆ ตัว และความรู้สึกสัมผัสที่มากระทบใจ
ฉันเริ่มปั้นรูปดวงหน้าของผู้หญิงซึ่งมีผมยาว ขนาดเท่าๆ กับหน้าของคนจริงๆ ซึ่งไว้ผมยาว และเจาะรูไว้ให้ที่ข้างหูเพื่อสำหรับเสียบดอกไม้ ฉันสมมุติให้เธอเป็นนางไม้ประจำต้นตองตึง แต่ละต้น ฉันค่อยๆ ปั้นหน้ากากเหล่านั้นจากหนึ่งอัน เป็นสองอัน สามและสี่ ไปเรื่อยๆ จนครบต้นตองตึงแต่ละต้นที่อยู่ในบริเวณบ้าน แล้วบรรจงตอกตะปูลงไปที่ลำต้นพร้อมกับนำหน้ากากหญิงสาวผมยาวเหล่านั้นไปแขวนติดไว้
ฉันเริ่มสนใจในว่านยา และสมุนไพรต่างๆ และเริ่มหัดปรุงยาดองเหล้า ด้วยฉันชอบโหลแก้วใสๆ ที่ผูกด้วยผ้าแดงที่ฉันได้พบเห็นตามซุ้มยาดองอันมีอยู่ทั่วๆ ไป ตามหนทางหรือตลาด..แม้ว่าฉันเป็นคนไม่ชอบดื่มสุรายาเมาก็ตาม
แต่เมือฉันมาเรียนรู้ในการทำสุราดองเหล้านั้น ก็ทำให้ฉันมีความสุขที่จะทดลองดื่มสุราดองในโหล วันละหนึ่งถ้วยเล็กๆ อยู่ช่วงหนึ่ง และหวังผลลึกๆ ในจิตใจว่า สิ่งนั้นคงจะช่วยให้ผิวพรรณที่ขาดการดูแลของฉัน สวยงามขึ้นได้ด้วยเลือดฝาด..
นานวันไป ความกลัวลึกๆ ที่มีต่อเกลียวเถาวัลย์ข้างบ้านนั้นค่อยๆ ลดลง..ฉันมีความคิดฝันที่จะทำพื้นที่ในบริเวณที่มีเถาวัลย์คดเคี้ยวนั้น ให้กลายเป็นสวนลึกลับ อันเป็นสถานที่ส่วนตัวที่จะไม่เหมือนกับที่ใดๆ
ฉันเล่าความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลแก่เพื่อนใจของฉัน และค่อยๆ ปั้นดินเป็นรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ อันสะกดเป็นคำได้ว่า Secret Garden แล้วนำตัวอักษรดินเผานั้นติดกาวไว้บนแผ่นไม้ ไปห้อยไว้ที่เถาวัลย์ใหญ่ข้างบ้าน คำว่า Secret Garden คำนี้นั้น มาจากชื่อบนอัลบั้มเพลงที่ฉันชอบฟังมาแต่ก่อนเก่านั่นเอง...
แต่ก็หาใช่ว่า ฉันจะมีแต่ความเพลิดเพลินเจริญใจจากธรรมชาติเท่านั้น ในตอนกลางวันท่ามกลางแดดเปรี้ยงและอากาศร้อน ในขณะที่เรากำลังนั่งทำงานกันอยู่ ที่ใต้ถุนบ้านนั่นเอง จู่ๆ ก็ปรากฏมีไฟลุกไหม้ขึ้นที่กระท่อมร้างที่ถูกสร้างไว้บนที่ดินที่อยู่ใกล้ๆ กัน
ฉันมองเปลวไฟที่ลุกไหม้กระท่อมหลังนั้นด้วยความหวาดกลัว จนกระทั่งไฟป่านั้นได้มอดไหม้กระท่อมทั้งหลังล้มครืนพังพาบลงไปต่อหน้าต่อตาของฉันและเพื่อนใจด้วยความรวดเร็ว เพียงเวลาไม่นาน..โชคดีที่ไฟป่านั้นไม่สามารถไหม้โหมลุกลามข้ามถนนดินที่คั่นระหว่างที่ดินนั้นมาได้...
จากบ้านของเรา เมื่อขับรถลงดอยไปราวหนึ่งกิโลนั้น จะเป็นโรงแรมหรูสำหรับคนมีสตางค์และแขกชาวต่างชาติมาพักผ่อน และที่ตรงข้ามกับโรงแรมแห่งนั้น มีร้านขายขนมจีนน้ำเงี้ยวและส้มตำ ของป้าลอยและพี่หล้า
ร้านเล็กๆ ของป้าลอยและพี่หล้านั้นเป็นที่กินอาหารมื้อนอกบ้านของฉัน และเป็นที่ที่ฉันจะได้ฟังเสียงพูดคุยของผู้คนต่างๆ
เมนูอาหารประจำคือขนมจีนน้ำเงี้ยว และกับข้าวบ้านๆ เช่นผัดผักกาดดองใส่ไข่ และส้มตำ จากรสมืออันเป็นรสปานกลางคือไม่เผ็ดเกินไป ไม่เค็มเกินไป และไม่หวานจนเกินไป อันเป็นรสชาติที่ดีต่อสุขภาพของคนกิน ฉันเรียกรสชาติของอาหารจากที่นี่ว่า "รสชาติสม่ำเสมอ"
การได้กินอาหารจากร้านที่สะอาดและราคาถูกร้านนี้นั้น นับเป็นความชื่นอกชื่นใจของฉัน..
แรกเมื่อไปอยู่นั้น ฉันคิดว่าเราไม่มีเพื่อนบ้าน...มีแต่พี่ชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินผู้ชักชวนและให้เราอยู่ในที่ดินของเขาไปก่อนนั้น ได้หมั่นคอยขึ้นมาแวะเวียนเยี่ยมเยียนเราเสมอ พร้อมกับอาหารติดมือและการพูดคุยอย่างสนุกสนานอันเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาที่ทำให้เราอบอุ่นใจ
แต่เมื่ออยู่ไปสักระยะฉันก็เริ่มพบเห็นเพื่อนบ้าน..ในวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังขับรถผ่านทุ่งนาก่อนเข้าบ้าน ฉันได้พบหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอนุ่งผ้าถุงและเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีน้ำเงินเก่าๆ ยืนอยู่ริมทาง..
ภาพของเธอผู้ยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางทุ่งนาและดอกหญ้านั้น เป็นภาพชีวิตของหญิงสาวที่ฉันได้มองเห็นและฉุดความรู้สึกให้สนใจเป็นอย่างยิ่ง ฉันจึงจอดรถยิ้มและทักทายกับเธอ พร้อมกับถามว่า เธอชื่ออะไร หญิงสาวหน้าตาขะมุกขะมอบผู้นั้นตอบฉันด้วยสำเนียงของคนต่างบ้านต่างเมืองว่า "ชื่อสายไหม"
เธอคงเป็นคนพม่า..หรือชาวไทยใหญ่ ฉันคิด..พร้อมกับเรื่องราวของชนชาติเหล่านั้นได้พรั่งพรูเข้ามาในการรับรู้จากหนังสือที่เคยอ่าน ถึงเรื่องของความโหดร้ายของภัยจากสงครามและการสู้รบจนทำให้พวกเขาต้องอพยพหลบหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนไปยังที่ต่างๆ ด้วยความยากลำบากแสนสาหัส โดยเฉพาะหญิงสาว..
ฉันส่งยิ้มให้กับเธอ และคิดต่อเธอด้วยความรู้สึกเห็นใจ...
ภาพถ่ายโดย : นายดี และมณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews