ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลย สำหรับคนที่ไปลอนดอนในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าบนท้องถนนหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นย่านพาร์คเลน ไนท์บริจส์ เมย์แฟร์ หรือเบลกราเวีย ล้วนแต่แน่นขนัดไปด้วยซูเปอร์คาร์ ไม่ว่าจะเป็น มาเซอราติ เฟอร์รารี่ แอสตัน มาร์ติน หรือ ลัมโบกินี ซึ่งปกติถึงแม้จะได้เห็น แต่ตอนนี้กลับแล่นกันขวักไขว่ในย่านหรูพอๆ กับรถแท็กซี่
เจ้าของรถเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล คือเหล่าเจ้าของบ่อน้ำมัน ทายาทราชวงศ์จากตะวันออกกลาง นักธุรกิจอุตสาหกรรมหมื่นล้านจากรัสเซีย และที่กำลังตามมาติดๆ คือนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากจีน ที่พรวดพราดร่ำรวยอย่างกะทันหัน
ในช่วงหน้าร้อนแต่อากาศที่ลอนดอนกลับอบอุ่นกำลังสบาย เหล่าเศรษฐีอาหรับที่หนีความร้อนที่แผดเผาในประเทศ ในช่วงรอมฎอนจะมาเร็วกว่าทุกปี รวมทั้ง เศรษฐีจากรัสเซีย จีน มาเลเซีย และประเทศผู้ค้าน้ำมัน ล้วนแต่ไปเดินกันขวักไขว่ในย่านถนนสโลน ไนท์ส์บริดจ์ ที่ล้วนเป็นที่ตั้งของร้านขายสินค้าแบรนด์ดังจากฝรั่งเศส อิตาลี อเมริกาและอังกฤษเอง โดยเฉพาะ ในห้างแฮร์ร็อดและเซลฟริเจส ที่คลาคล่ำไปด้วยลูกค้าจากต่างแดนทั้งสิ้น ซึ่งลูกค้าเหล่านี้ ร่อนการ์ดจ่ายเป็นค่าสินค้าออกใหม่ ที่ตนต้องการเป็นเจ้าของ ได้จับต้องก่อนใครๆ อย่างไม่เสียดาย พนักงานของร้านค้าต่างๆ ให้บริการลูกค้าที่มีมากกว่าพื้นที่ภายในร้าน จนต้องกำหนดจำนวนลูกค้าที่ต้องการ เข้าไปในร้านให้เป็นกลุ่มเล็กๆ สินค้าที่มาถึงร้านในช่วงเช้า และจำหน่ายหมดในชั่วเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ผู้ที่มาถึงทีหลังต้องผิดหวัง ด้วยไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะเพียรอ้อนวอนพนักงานขาย ต้องรอที่จะกลับมาเป็นลูกค้าคนแรกของวันรุ่งขึ้น
ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ แสดงถึงความต้องการของคนโคตรรวย ที่ล้วนย่างเท้าเข้าสู่มหานครแห่งนี้ เพื่อที่จะแสวงหาความสุข และความพอใจจากการใช้จ่ายเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย และยังต้องการอวดให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ถึงความมั่งคั่งของตน ด้วยการเป็นลูกค้าชั้นเยี่ยมของสินค้าหรูหราแต่ละแห่ง บ้านพักที่สุดอัครฐาน รถยนต์สปอร์ตที่คนจนได้แต่มองราวกับสุนัขมองเครื่องบิน รวมถึงชีวิตยามค่ำคืนที่สุดหฤหรรษ์ ทั้ง กาสิโน ไนต์คลับ และโรงละคร
โดยเชื่อกันว่า มีอัครมหาเศรษฐีจากชาติต่างๆ อย่างน้อย 4,000 คน ที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อทั้ง อสังหาฯ และสังหาริมทรัพย์ ในลอนดอนเฉลี่ยแล้ว 20ล้านปอนด์ต่อคน ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงบรรดามหาเศรษฐีจากกรีซและอิตาลี ที่มีกำลังซื้ออีกปีละ500ล้านปอนด์ ในปีที่ผ่านมา
ส่วนอัครมหาเศรษฐีชาวกาตาร์ ที่เป็นข่าวซื้อห้างแฮร์ร็อดจากโมฮัมหมัด อัล ฟาเอ็ต เจ้าของเดิมชาวอียิปต์ ปัจจุบันก็กลายเป็นหนึ่งในจำนวนคนโคตรรวย ที่สังคมจับตามอง เพราะยอดจำหน่ายสินค้าปีนี้ของแฮร์ร็อด พุ่งเป็นประวัติการณ์จากเหล่าลูกค้าที่ดาหน้าซื้อของทุกแบรนด์ จนหมดเกลี้ยงตั้งแต่ก่อนเที่ยง เช่นสินค้าของ แอร์เมส หลุยส์ วิตตอง ดิออร์ และชาแนล ยังไม่นับถึงสินค้ายอดนิยมจากอิตาลี เช่น ดอลเช่ แอนด์ กาบานา โรแบร์โต กาวาลี เวอร์ซาเช่ ฯลฯ
เรียกได้ว่าทุกวันนี้บรรดาแบรนด์เนม อสังหาฯ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นที่ต้องการของเหล่ามหาเศรษฐีต่างแดน ที่กว้านซื้อแบบไม่ถามราคากันเลย
เมื่อปี 1970 อภิมหาเศรษฐีอาหรับ เป็นชาติแรกที่อพยพมาลงหลักปักฐานอยู่ที่มหานครแห่งนี้ เริ่มจากย่ายเมย์แฟร์และขยายไปเรื่อยๆ จนถึงไนท์บริดจ์ ล่าสุด อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์ ก็ประกาศจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หลังเกษียณ ยังไม่นับรวมเหล่าเศรษฐีมาเลเซียและจีน ที่กำลังแห่กันมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกวันนี้มหานครลอนดอนเต็มไปด้วยเหล่ามหาเศรษฐีระดับโลก ที่อพยพมาลงหลักปักฐานกันแน่นไปหมด
และแน่นอนว่า เศรษฐีต่างชาติเหล่านี้ ย่อมต้องการทั้งสินค้าและบริการที่สุดยอดไม่เหมือนใคร ให้สมฐานะกัน อย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่ง ต้องหาโทรศัพท์แบลคเบอรีทำด้วยทองคำ ให้ลูกค้าระดับมหาเศรษฐีคนหนึ่ง
“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มหาเศรษฐีชาวซาอุฯ ให้เราส่งดอกกุหลาบสีชมพู 1 พันดอกไปเซาต์แธมป์ตัน เพื่อมอบให้แก่เด็กสาวมัธยม ซึ่งเป็น “กิ๊ก” เพื่อเป็นรางวัลที่เธอสอบผ่าน” เจ้าหน้าที่บริษัทส่งดอกไม้แห่งหนึ่งกล่าว
อลินา บริโนวา ประชาสัมพันธ์บริษัทแห่งหนึ่งเล่าว่า เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว เพื่อนเศรษฐีชาวรัสเซียคนหนึ่งบอกว่า ต้องการซื้อบ้านราคา 100 ล้านปอนด์ ที่ไหนก็ได้ เพื่อเอาไว้จอดเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว เพราะจะใช้แค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น
ตอนนี้ที่มหานครลอนดอน จึงเป็นปรากฏการณ์ที่เหล่าคนโคตรรวยจากทั่วโลก นิยมเดินมากระทบไหล่อวดความรวยกันแน่นไปหมด
