หลังถอดเครื่องแบบตำรวจชุดสีกากี กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุขที่บ้านทรงไทย จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้หลายคนคิดว่าชื่อของมือปราบหูดำจะกลายเป็นตำนานที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว แต่เมื่อศึกเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ขับเคี่ยวกันระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่เสร็จสิ้นลง โดยชัยชนะเป็นของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ชื่อของ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ก็กลับเข้ามามีบทบาทในกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ในตำแหน่งใหม่เป็นที่ปรึกษาผู้ว่า กทม.
วันนี้เรามีนัดกับอดีตผู้การแต้ม-พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เจ้าของฉายา มือปราบหูดำ หรือมือวิสามัญนครบาล ในห้องทำงานเล็กๆ บนศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร อดีตผู้การแต้มให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น สีหน้าแจ่มใส พูดคุยกับเราอย่างเป็นกันเอง บอกว่าเข้ามาทำงานครั้งนี้ในบทบาทใหม่เป็นปรึกษาผู้ว่ากทม. ช่วยพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เบื้องแรกดูเรื่องเทศกิจ ยาเสพติด แต่ในรายละเอียด ผู้ว่าฯ กทม.จะประชุมแบ่งงานตามความถนัดกันอีกครั้งการ
การกลับมาครั้งนี้ แม้จะไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์หรูหรา หากแต่เขากลับดีใจ “ตั้งแต่ออกมา ผมไม่เคยมองสีกากีเลยนะ ไม่เคยมองเครื่องแบบ ไม่ได้เคยดู ไม่ได้แต่งเครื่องแบบแล้วมีความสุข เพราะถ้าแต่งเครื่องแบบแล้วผมคงอึดอัด ผมรู้สึก.. (เงียบ)คือมองว่าตอนนี้สังคมเขาอาจจะผิดหวังหลาย ๆ อย่างกับตำรวจพอสมควร ถ้าอยู่แล้วทำอะไรไม่ถนัดใส่สูทแบบนี้ทำงานสบายกว่า อีกอย่างคือผมชอบที่จะอยู่กับชุมชน ได้พบคนช่วยคนทุกข์นี่คือหัวใจของผมเลย”
ช่วงสิบกว่าวันที่ได้มานั่งทำงานที่กทม.เขาเห็นว่างานที่นี่ ไม่ต่างไปจากตำรวจคือหัวใจอยู่ที่บริการประชาชน เพียงแต่ตำรวจมีกฎหมายและเรื่องการจับกุมเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นงานใหม่จึงถือเป็นงานถนัด
ส่วนฉายาที่ดุดันเมื่อครั้งเป็นตำรวจกับตำแหน่งใหม่จะเป็นอุปสรรคหรือไม่นั้น ที่ปรึกษาหูดำถึงกับหัวเราะเสียงดัง “ภาพที่เห็นผมอาจจะดูดุดัน แต่ดุดันกับคนร้าย ผมอินกับคนร้ายที่รังแกคน ใครถูกรังแกผมรับไม่ได้ และงานกทม.มันเป็นงานชุมชน เป็นงานที่ต้องช่วยเหลือคนอยู่แล้ว ผมเคยเป็นคนจนผมเข้าใจว่าเป็นยังไง ตรงนี้ก็เข้าทางผมพอดี ที่ผมได้ดีมีวันนี้ได้เพราะชาวบ้านที่เราไปช่วยเขาเขายอมรับเรา สมัยเป็นตำรวจถ้าเป็นเรื่องอาชญากรรมผมไม่ยอม”
พล.ต.ต.วิชัย เริ่มรับราชการตำรวจเมื่อปี2518 และยื่นใบลาออกเมื่อปี 2555 ตลอดเวลา37 ปีที่รับราชการมา เป็นที่รู้กันดีว่าทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะช่วงมีการชุมนุมแทบไม่มีเวลานอน ลูกน้องที่รู้ใจจะต้องฝานมะนาวเป็นแว่นบางๆ ใส่ตู้เย็น เพื่อให้อดีตนายตำรวจผู้นี้ทานเวลาง่วงนอน
เมื่อถามถึงวันที่ตัดใจถอดเครื่องแบบตำรวจ เขาบอกว่าคนเคยทำงานเวลาไม่ได้ทำงานก็เสียความรู้สึกเล็กน้อย แต่ไม่ได้เศร้ามากมาย “ผมทำงานแล้วไม่ถูกใจนาย คือไม่ใช่เราไม่ทำ แต่ทำแล้วไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ ทีนี้เราต่อสู้เขาไม่ได้ เราไม่มีพลังจะต่อสู้เขาเพราะผู้มีอำนาจเขาสามารถสั่งผู้บังคับบัญชาการให้ทำอะไรเราได้ ซึ่งเราไม่มีสิทธิ์จะไปต่อสู้เขา ถ้าต่อสู้คือต้องเอาปืนไปยิงเขาตาย แต่นั่นมันไม่ใช่วิถีทาง การต่อสู้ของเราคือต้องทำที่ระบบงาน ผมทำงานเพื่อประชาชน แต่ทำแล้วผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจไม่พอใจ ก็ย้ายผมไปอยู่จุดอื่น ไอ้เรื่องย้ายมันไม่เป็นไรหรอก แต่ถามว่าผลเสียอยู่ที่ใคร อยู่ที่ประชาชนหรือเปล่า คุณเอาผมไปเก็บแล้วเอาหมูหมากาไก่ทำงานไม่เป็นเข้ามาทำงานรอรับคำสั่งคุณอย่างเดียว แบบนี้รับไม่ได้ ตรงนี้ที่ทำให้เราท้อ”
สำหรับการมาช่วยงานผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ หากมีเรื่องต้องประสานงานกับตำรวจ เขายืนยันว่าไม่หนักใจ เพราะช่วงเวลา 37 ปี เขารู้จักตำรวจหมด “ผมบอกได้ว่าตำรวจก็คือตำรวจ ตำรวจจะมีจิตใจที่อยากปกป้องประชาชน หากจะมีปัญหาคือเราไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจไปทำอะไรที่ขัดกับนโยบายของคนที่มีอำนาจเท่านั้นเอง”
อดีตนายตำรวจฉายามือปราบหูดำ ในวันนี้มีใบหน้าสดใสสบายใจ ทุกวันนี้เขาใช้เวลาว่างอยู่กับครอบครัว ตกเย็นออกกำลังกาย อ่านหนังสือ และช่วยเหลือสังคมภายใต้ชมรม “เพื่อนแต้ม” ที่เขาตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2544 เพื่อช่วยเหลือคนยากจนส่วนในวันข้างหน้าเราจะได้เห็นเขาในฐานะนักเมืองของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือไม่นั้น เขาบอกว่าเป็นเรื่องของอนาคต หากมีโอกาสเขาอยากใช้ความรู้ความสามารถที่มีให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ก่อนจากกัน เราขอให้เขาพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ เขาเงียบไปนานก่อนจะพูดเพียงสั้นๆด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมรับไม่ได้...ผมรู้อย่างเดียว ผมรักในหลวง”