สะเก็ดไฟ
“ไร้รอยต่อแบบไร้รอยหยัก คนกรุงเทพฯ อยากได้ไหม” เป็นโจทย์ที่คน กทม.ต้องมีความชัดเจนและให้คำตอบกับตัวเองให้ได้ก่อนวันที่ 3 มี.ค.56 ซึ่งจะเป็นวันชี้ชะตา กทม.
ว่าได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ “เมืองหลวงถูกเผา” เพื่อให้บทเรียนกับพรรคเผาเมืองอย่างไร หรือจะไหลไปตามกระแสที่พยายามปลุกผ่านสื่อมวลชนด้วยนโยบาย “ไร้รอยต่อกับรัฐบาล” ซึ่งต้องบอกว่าสิ้นคิด และไร้หลักการประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ไม่ต้องย้อนไปถึงประวัติฉาวของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทยให้เมื่อยตุ้ม เพราะหลักที่ว่าคนประเภทเดียวกันมักไหลไปอยู่รวมกันนั้นย่อมเป็นจริงเสมอ
พล.ต.อ.พงศพัศเลือกที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามของพรรคเพื่อไทย จะมีนิสัยและพฤติกรรมแตกต่างไปจากคนในพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร และแน่นอนว่า พล.ต.อ.พงศพัศก็คงมิอาจหลีกหนีความจริงที่ว่า
เขาเป็นพวกเดียวกับ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.พาณิชย์ เจ้าของวลี “เผาเลยครับ พี่น้องผมรับผิดชอบเอง” จน กทม.ไฟลุกท่วมเมือง ศาลากลางจังหวัดวอดวายไปหลายแห่ง คนเสื้อแดงที่ก่อเหตุยังติดคุกไร้อิสรภาพ ส่วนคนยุให้เผานั่งสบายกอดเก้าอี้อำมาตย์ในฐานะเสนาบดี
ที่น่าตลกก็คือ การหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศนั้น เป็นการฟ้องถึงระดับมันสมองของทั้งตัวผู้หาเสียงและทีมงาน รวมถึงวุฒิภาวะและการไร้ความเป็นสุภาพบุรุษและขาดหัวใจประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้ง
เนื่องจากการหยิบยกเอาเรื่องของ “อำนาจรัฐ” มาข่มขู่คน กทม.ว่า ให้เลือกผู้สมัครจากพรรครัฐบาลเพื่อทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อนั้น ถือเป็นวิธีคิดที่ขัดแย้งต่อหลักการกระจายอำนาจโดยสิ้นเชิง เพราะตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ซึ่งให้บทบาท กทม.ออกจากการกำกับของรัฐบาลกลาง เพื่อความเป็นอิสระในการบริหารท้องถิ่น แต่พรรคเพื่อไทยกลับจะเอาความเป็นอิสระที่ท้องถิ่นได้จากการกระจายอำนาจไปผูกติดอยู่กับรัฐบาลกลาง
จึงถือเป็นวิธีคิดแบบกลับหัวกลับหาง
เลือกเอาแต่สิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่ได้คิดถึงหลักการและภาพรวมของบ้านเมืองว่า การเชื่อม กทม.เข้ากับรัฐบาลกลางแบบไร้รอยต่อโดยไม่มีการถ่วงดุลซึ่งกันและกันบนผลประโยชน์ของชาตินั้น ย่อมหมายถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยและการรวบอำนาจกลับมาสู่ส่วนกลาง
ตลกร้ายไปกว่านั้นคือ จูดี้อีเวนต์ อย่าง พงศพัศ ซึ่งยังละเมอเพ้อพกอยู่กับภาพพจน์ของตัวเองจากแรงโปรโมท “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ” พยายามแปลงนโยบายที่เป็นจุดขายของตัวเองสมัยอยู่ในชุดสีกากีมาสร้างจุดเด่นว่า “ฝากบ้าน 365 วัน กับ กทม.” ประกาศไปได้วันเดียวปรากฏเกิดเหตุการณ์โจรยกเค้าบ้านในซอยเดียวกับที่ พล.ต.อ.พงศพัศอาศัยอยู่
ทำเอาคน กทม.ขำกลิ้งลิงกับหมา ประมาณว่าเพื่อนบ้านตัวเองยังดูแลไม่ได้ จะมาดูแลคน กทม.กว่า 10 ล้านคนให้ปลอดภัยทุกบ้านได้อย่างไร
ที่สำคัญคือการหาเสียงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า พล.ต.อ.พงศพัศขาดความเข้าใจต่อหลักการบริหาร บทบาท อำนาจหน้าที่ของคนเป็นผู้ว่า กทม.ว่ามีอำนาจหน้าที่แค่ไหน อย่างไร เพราะเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยโจรขึ้นบ้านขโมยกยกเค้านั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจ มิใช่หน้าที่ของผู้ว่า กทม.ที่ต้องดูนโยบายในภาพรวมสำหรับการรักษา กทม.ให้เป็นเมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ไม่ใช่ไปขายฝันดึงเอาอำนาจรัฐมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองซึ่งเป็นผู้สมัครท้องถิ่นดังที่ พล.ต.อ.พงศพัศ กำลังทำอยู่ในเวลานี้
สิ่งที่เป็นการประจานตัวเองอีกประการหนึ่งระหว่างการหาเสียงของนักสร้างภาพที่เป็นได้ทั้ง คนเก็บขยะ และคนขับรถเมล์ แต่ที่คงไม่มีทางได้เป็นคือ ผู้ว่ากทม. คือ การประกาศจะลดค่าเช่าแผงที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โดยไม่ได้คำนึงถึงความจริงที่ว่า
คนที่ไปขึ้นราคาค่าเช่าก็คือ “รัฐบาลเพื่อไทย” ที่ พงศพัศ กำลังจะทำงานแบบไร้รอยต่อ พร้อมไปกับการไร้รอยหยักของสมองนี่แหละ เป็นคนไปยึดจตุจักรมาจาก กทม. โดยอ้างว่าจะบริหารให้มีรายได้มากกว่าที่ กทม.ดำเนินการกว่า 400 ล้านบาท สุดท้าย พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม ในขณะนั้น ก็ยอมรับแบบด้านๆ ว่าทำไม่ได้ แถมยังมีข้อครหาตามมาว่ามีใครบางคนส่งมาเฟียไปคุมเก็บค่าต๋งฟันผลประโยชน์กันด้วย
ที่สำคัญคืออำนาจหน้าที่ในการบริหารตลาดนัดจตุจักรในปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็นของ กทม.อีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ซึ่งก็คือรัฐบาลนั่นเอง ดังนั้นการหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศ จึงเป็นการหาเสียงที่เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคนอาสาเป็นผู้ว่าฯ กทม.อย่างชัดแจ้ง
ไม่ต่างไปจากกรณีที่ประกาศว่าจะให้มีการขึ้นรถเมล์และเรือโดยสารฟรี เพราะ กทม.ไม่ใช่ผู้บริหารทั้ง ขสมก. และกรมเจ้าท่า แต่เป็นอำนาจของกระทรวงคมนาคมอีกเช่นเดียวกัน คำถามคือว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลภาพรวมการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไปทำอะไรอยู่ ในเมื่อมีการทำผิดกฎหมายเห็นกันอยู่ทนโท่แบบนี้ยังต้องป่าวประกาศหาคนไปร้องเรียนอีกหรือ
ถึงเวลาแล้วที่ กกต.ควรจะทำตัวให้เกิดประโยชน์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญให้ได้อย่างแท้จริง มิเช่นนั้นวันหนึ่งหากรัฐบาลทรราชฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งแล้วยุบ กกต.ไปด้วย อาจไม่มีคนไทยรายใดลุกขึ้นมาปกป้ององค์กรอิสระที่ยังตกเป็นทาสเพราะมัวแต่ห่วงปลอกคอตัวเอง เนื่องจากเป็นองค์กรที่ไร้ค่า ขาดความหมายสำหรับสังคมไทยจนผู้คนเขาตกผลึกว่า มีไปก็เท่านั้น
อย่าให้สภาพแบบนั้นเกิดขึ้นกับ กกต. ลุกขึ้นทำหน้าที่การเป็นองค์กรอิสระของตัวเองด้วยความเป็นอิสระรักษาผลประโยชน์ชาติอย่างแท้จริง นั่นจึงจะเป็นบทพิสูจน์ให้คนไทยเห็นความสำคัญถึงการดำรงอยู่ของ กกต.
ไม่ใช่ว่า “มี กกต.ก็เหมือนไม่มี”