xs
xsm
sm
md
lg

กว่า 20 ปีที่รอคอย ของ สมศักดิ์ ชลาชล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
“พี่รอวันนี้มา 20 กว่าปีแล้ว พี่อยู่ธุรกิจผมมานานพอแล้ว ปฎิวัติซาลอนในไทยให้สวยงามก็ทำมาแล้ว สิ่งสุดท้ายคือโรงเรียนเสริมสวยชลาชลที่จะผลิตช่างผมไทยให้มีคุณภาพก็สำเร็จแล้ว” นั่นคือคำพูดแรกที่ พี่แดง-สมศักดิ์ ชลาชล บอกกับเราในวันได้รับพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจากพระเจ้าวรวงศ์ เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเป็นองค์ประธานเปิด “โรงเรียนเสริมสวยชลาชล” (CHALACHOL Hairdressing School) อย่างเป็นทางการ ที่โครงการบิซทาวน์

 
 
แม้อุณหภูมิความร้อนจะพุ่งสูงปรี๊ดกว่า 37 องศาเซลเซียส แต่ดร.สมศักดิ์ ชลาชล ประธานกรรมการบริษัท ชลาชล จำกัด ในชุดสูทสีน้ำเงินซึ่งเป็นเครื่องแบบของโรงเรียนเสริมสวยชลาชล บอกกับเราพร้อมรอยยิ้มสดใสว่า เขามีความสุขมาก “ชลาชล” ที่ทำมาเติบโตมีรากฐานที่แข็งแรงแล้ว ถึงเวลาที่เขาต้องส่งไม้ให้หลานๆมาสานต่อ โดยเขาเพียงแต่มองภาพกว้างเท่านั้น

 
“พี่ไม่ถึงกับเลิกเลยแต่พี่จะมาดูโรงเรียนที่พี่เปรียบเหมือนโรงงานผลิตคน ซึ่งต้องไม่ธรรมดา โรงเรียนเสริมสวยบ้านเราเมื่อก่อนสอนเสริมสวยอย่างเดียว ไม่สอนเรื่องการตลาด, ไฟแนนซ์ ซึ่งมันไม่ได้แล้วเราต้องแข่งกับโลกที่เปลี่ยนไป โรงเรียนของพี่ใส่หลักสูตรครอบคลุมจะสอนหมดทัศนคติ, ทักษะความรู้, การบริหาร และการบริการ แล้วพี่จะเชิญวิทยากรระดับมืออาชีพทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาสอนแบ่งปัน ประสบการณ์อีกสองปีเปิดประชาคมอาเซียนตรงนี้เราไม่อายใครแล้ว” ช่างผมร่างเล็กกล่าวพร้อมรอยยิ้มสดใสและแววตาที่มุ่งมั่น

 
หากย้อนเส้นทางช่างผมของผู้ชายชื่อสมศักดิ์ จะเห็นว่ากว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาสร้างอาณาจักรธุรกิจร้านทำผม 5 แบรนด์ในเครือ "ชลาชล" จากชลาชล แฮร์สตูดิโอ สู่ร้านคิวคัท, ซาลอน เดอ บีเคเค, ซาลอน ดู กูรู, สมศักดิ์ บาย ชลาชล และโรงเรียนเสริมสวยชลาชล ทุกช่วงทุกตอนชีวิตต้องสู้กับทุกสิ่งรอบกายต้องใช้ประสบการณ์ทั้งบู๊ทั้งบุ๋นผลักดันจนสำเร็จ ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะดี-ไม่ดีสมศักดิ์ไม่เก็บมาคิดให้เปลืองสมอง ทุกครั้งที่จะทำอะไรเขาเริ่มจากความรักและศรัทธา เมื่อลงมือทำแล้วเขาก็จะทำให้ดีที่สุด แม้จะต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม

 
สมศักดิ์ เป็นลูกจีนที่เติบโตมาท่ามกลางความรักความอบอุ่นของพ่อ แม้จะดูไม่เอาไหนนัก แต่เขาก็ยึดคำสอนของพ่อแม่ไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะในเรื่องของความซื่อสัตย์และกตัญญู เมื่อได้จับกรรไกรครั้งแรก เขายึดคติเรื่องวินัยเป็นสำคัญ เพราะตราบใดที่ตัวเองไม่มีวินัยอย่าหวังว่าจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ รวมถึงเรื่องอื่นๆด้วย “พี่ยึดคติ 3 จ. "จริงใจ จริงจัง เจนจัด" พูดตรงๆ “ชลาชล” ก็คือร้านทำผมมีโอกาสทำธุรกิจอย่างอื่นเยอะแยะเพราะเข้าถึงคนง่าย แต่พี่ไม่เอาเพราะไม่อยากให้สิ่งที่เราตั้งใจมันเบลอจนกลายเป็นอะไรไม่รู้ บางคนจะให้เอานวดตัวนวดหน้ามาอยู่ในร้าน แต่ ”ชลาชล”ไม่มีอย่างนั้นแน่นอน เพราะเรารู้ว่าเราชำนาญด้านไหน เงินมันล่อหลอกตลอดเวลา ยิ่งมาอยู่ในแวดวงไฮโซด้วยแล้ว สิ่งยั่วยุเยอะมาก พี่จะสอนเด็กๆของพี่ว่าอย่าหลงทาง ไม่งั้นคุณจะไม่มีความชัดเจนในชีวิต”

 
สมศักดิ์ยอมรับว่าอาชีพช่างผมเป็นอาชีพที่คนดูถูกรองจากพวกเต้นกินรำกิน ทำให้เขารู้สึกเจ็บ แต่ไม่เสียใจเพราะมันทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับความคิดเชิงลบทั้งหลายที่ถั่งโถมเข้ามาเพื่อยกระดับช่างผมไทย  ในวัย 40 ปี เขาดิ้นรนขวนขวายจนสำเร็จปริญญาตรีรัฐศาสตร์ รามคำแหง จากนั้นจึงเรียนต่อจนคว้าปริญญาโท และเอกตามลำดับ ทำให้พูดคุยกับนักวิชาการได้คล่อง เขาไม่คิดว่าเป็นแค่ช่างทำผม และชอบที่จะเรียนรู้เสมอ บินไปดูเทรนด์แฟชั่นเมืองนอกเลย“พี่มีคติว่าคนเราต้องมีภูมิสคุ้มกันให้กับตัวเอง ดูให้ชัดในสิ่งที่ตัวเราชอบ และถ้าชอบก็ทำให้ถึงที่สุด ฉะนั้นเราต้องโหยหาวิชาการ เพราะฉันไม่จบปริญญา คนนอกจะมองเราไม่ดี กลับไปเรียนก็ไม่สาย"

เมื่อถามว่าอยู่ตรงนี้มาเคยเหนื่อยหรือท้อแท้บ้างไหม สมศักดิ์ บอกว่า ไม่เคยท้อแท้ เพราะถ้าท้อเมื่อไร หยุดเมื่อไร เท่ากับเขายอมแพ้ เมื่อมอบทุกอย่างให้หลานดูแลแล้ว ก็ใช่ว่าเขาเองจะหยุดทำงาน เขายังคงต้องประคับประคองให้คำปรึกษาให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ ขณะเดียวกันตัวเขาจะมาทุ่มเทให้วงการผมเมืองไทย อยากให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาช่างผมในภูมิภาคอาเซียน

 
“ตอนนี้ทุกเซ็คเม้นท์ ต้องการศึกษาตรงนี้มากโดยเฉพาะพม่า เขมร ลาว เขามีความพยายามมาก พี่ก็เลยอยากเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อที่จะจับเอเชียให้ได้ ตอนนี้ต่างชาติมาเรียนกับเราเยอะมาก มีติดต่อขอซื้อเฟรนไชส์ไปต่างประเทศ แต่พี่ไม่ขาย ถ้าจะขายเราต้องการขายโนฮาวแล้วเราต้องส่งคนไปสอน ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นศูนย์กลางช่างผมในภูมิภาคอาเซียน ก็ทำงานหนักขึ้นอีก ซึ่งต้องทำ Academy ประยุกต์ความรู้ระดับแอดวานซ์สู่ช่างผมและขยายต่อกิจกรรมไปเรื่อยๆ”

สมศักดิ์ ชลาชล ยังบอกทิ้งท้ายว่า เมื่อคิดจะทำต้องทำให้สุดๆ การทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางช่างผมในภูมิภาคอาเซียนนี้ เป็นความฝันใหม่ที่อยากทำเพื่อตอบแทนแผ่นดินแม่ ตอบแทนสังคม และเขาเชื่อว่าความฝันอันนี้ไม่ไกลเกินเอื้อม
กำลังโหลดความคิดเห็น