By Lady Manager
"พยายามหาข้อมูลศึกษามาหลายที่อ่านรีวิวจากหลายๆ แหล่ง สุดท้ายก็ถูกใจ และตัดสินใจทำกับคุณหมอพีระค่ะ เพราะข่าวมาว่าหน้าอกชิด สวย ได้รูป และที่สำคัญ….
โอ้จอร์จ! ที่เค้าล่ำลือกันนักหนาว่าคุณหมอหล่อนั้นไม่ผิดเลย เพราะเป็นจริงทุกคำพูดที่ได้ยินมาค่ะ หล่อ เท่ น่ารัก สุภาพ แฮ่ๆ ๆ"
เป็นอีกหนึ่งในหลายเสียงบนโลกออนไลน์ที่ชื่นชอบในฝีมือการทำอึ๋มของ นพ.พีระ เทียนไพฑูรย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Breast surgery และ Facial surgery ศัลยแพทย์ตกแต่ง PSC Clinic (Peera Plastic and Skin Clinic)
ทว่าคุณหมอพียังโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญกันมากมายในเว็บแชร์ประสบการณ์ศัลยกรรม ดั้งโด่ง ดอท คอม อีกทั้งชื่อของคุณหมอพีระยังเป็นนามที่สาวๆ พึ่งอากู๋เซิร์สชื่อข้อมูลทำศัลยกรรมอกอึ๋มอันดับต้นๆ
เป็นคุณหมอท่านแรกๆ ในเมืองไทยที่นำกระดูกอ่อนหลังใบหูมาต่อปลายจมูก ยิ่งในเรื่องการเสริมอึ๋มสนนราคาสมเหตุสมผลต้องยกให้คุณหมอท่านนี้เลย
สำหรับคนไข้เจ้าใหม่ต้องกางปฏิทินนัดคิวกันเลยทีเดียว เพราะฝีมือที่ได้รับการบอกต่อจนคนไข้ให้ความไว้วางใจ.......
กระแสโลก การแข่งขันสูง ดึงธุรกิจศัลย์พุ่ง!
คุณหมอพีระมองธุรกิจศัลยกรรมว่า เป็นเทรนด์หน้าตาดี บุคลิกภาพชนะเลิศ พลอยให้หน้าที่การงานย่อมดีตามขึ้นไปด้วย อีกทั้งการแข่งขันในทุกๆ ด้านสูง การศัลกรรมจึงสามารถตอบโจทย์ในเรื่องหน้าตาได้
“ผมว่าเปอร์เซ็นต์ของการที่ผู้ชายมาทำศัลยกรรมในแต่ละปีคงที่นะ เพราะในคนไข้ที่เขาสนใจจะทำด้านนี้เขาก็ทำอยู่แล้ว ผมว่าไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าผู้หญิง ผมว่ากลุ่มผู้ชายที่ต้องการตกแต่งเพิ่มเติมในด้านศัลยกรรมยังนิ่งๆ อยู่ แต่ในด้านของผู้หญิงผมว่าเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี ผมว่าเป็นกระแสของโลกนะ
ทำไมศัลยกรรมเยอะขึ้น ก็เพราะว่าการแข่งขันสูง คือ ทุกคนในปัจจุบันนี้แข่งกันทุกด้าน แข่งตั้งแต่การเรียน ภาษา สุดท้ายตัวชี้วัดอันหนึ่งที่คนไข้เขาคำนึงถึงคือ เรื่องของบุคลิกภาพ
การทำศัลยกรรมอย่าไปโอเว่อร์ แต่มันช่วยคนไข้ได้ ทำให้บุคลิกภาพภายนอกเขาดูดีขึ้น มีผลกับเรื่องของหน้าที่การงาน เขาก็มองจุดนี้กันเยอะขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมว่า 'ความสามารถ' สำคัญที่สุด”
ปัญหาเสริมดั้งเทคนิคเก่า ปลายบาง ทะลุ!
คุณหมอบอกว่า อย่างไรก็ตามเบอร์ 1 ที่คนไข้ออร์เดอร์ศัลกรรมไม่พ้น 'จมูก' แต่ส่วนใหญ่จะพบปัญหาในเรื่องของปลายบาง ทะลุ จนต้องมาขึ้นเขียงรอบ 2
"ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มาทำศัลยกรรมจะเน้นในเรื่องของใบหน้า ซึ่งมีหลายส่วนมากเลย ใบหน้าทุกส่วน ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้เป็นหลัก ใบหน้าเบอร์ 1 คือ ทำจมูก จากนั้นคือตา หรือการฉีดไขมันบนใบหน้า การแก้ไขส่วนอื่นๆ เช่น หูกาง การดึงหน้า การดึงคิ้ว ดึงหน้าผาก
เพราะว่าโครงสร้างพื้นฐานของเราขาดเรื่องของจมูกซะเยอะ หากเทียบกับฝรั่งหรือพื้นฐานของคนไทยก็มีความโด่งน้อยกว่าเกาหลี โดยชาวเกาหลีจะมีจมูกที่โด่งมากกว่าเรา ฉะนั้นการทำให้โด่งมากๆ ถือเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
ที่เรามักพูดๆ กันว่าหากทำศัลยกรรมแล้วจะต้องมาทำครั้งที่ 2 หรือ 3 ครั้ง น่าจะเป็นกรณีที่เกิดปัญหามากกว่า เช่น ทำจมูกสักพักเกิดปัญหาเรื่องปลายบาง ทะลุ ซึ่งมันเป็นเรื่องของเทคนิคในอดีต
สมัยก่อนเราใช้ซิลิโคนดันปลายจมูกให้โด่ง เราจะเห็นปัญหานี้บ่อยมาก เมื่อผิวหนังถูกดันด้วยซิลิโคน ซักพักจะบาง บางคนอาจจะ 6 เดือน หรือบางคนโชคดีหน่อย แสดงอาการประมาณ 2-3 ปี หรือ 5 ปี 8 ปีก็มีเปลี่ยนเทคนิค นำกระดูกอ่อนมาเสริมปลายจมูก
ฉะนั้น ปัจจุบันผมจึงเปลี่ยนเทคนิคหมดแล้ว ปลายจมูกจะใช้กระดูกอ่อนจริงทำขึ้นมา จริงๆ ผมน่าจะเป็นยุคแรกๆ ในเมืองไทยที่ริเริ่มทำตรงนี้ และปัจจุบันจึงเป็นมาตรฐานในการทำจมูกของผมไปแล้ว การใช้ซิลิโคนที่ปลายจมูกปัจจุบันในเมืองไทยยังทำกันอยู่เยอะ แต่ของผมเหลือน้อยมากแล้ว
แหล่งของกระดูกอ่อนมี 2 ที่ ที่สามารถเอามาใช้ได้ คือหลังใบหู ซึ่งเป็นส่วนที่เราไม่ได้ใช้งาน มองภายนอกจะไม่รู้เลย มันเหมือนส่วนที่เราไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว มองไม่เห็นเลย และอีกที่คือ กระดูกอ่อนที่อยู่ในช่องโพรงจมูกภายในลึกๆ มันจะมีส่วนที่เราไม่ใช้งานอยู่ เทคนิคนี้จะได้ผลลัพธุ์ที่ยาวนานกว่า เพราะปัญหา 99.99 % ของการทำจมูก ถ้าไม่นับเรื่องเอียง ก็คือ ปลายบางทะลุ จะเกิดที่นี่อย่างเดียวเลย
มีเหตุผลเพราะว่า ตำแหน่งของปลายจมูกเป็นส่วนที่มีการขยับเคลื่อนไหวมาก ซึ่งเป็นส่วนของกระดูกอ่อนอยู่แล้ว มีการใช้งาน มีการสัมผัสสูง เป็นส่วนที่เคลื่อนไหว ถ้าเทียบกับบนสันซึ่งเป็นส่วนที่ไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นแรงเสียดสีมีมาก อีกทั้งบริเวณนี้ก็เป็นส่วนที่โด่งที่สุดของจมูกด้วย แรงตึงก็สูงสุด
ปัญหาจึงเกิดบ่อยที่สุดตรงนี้ หากเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้โดยเบ็ดเสร็จก็จะเพิ่มความปลอดภัยให้คนไข้ ปัจจุบันผมคิดว่าในอนาคตไม่ไกล มันจะเป็นมาตรฐานในการทำจมูกในบ้านเราไปเลย
ผมเริ่มทำตรงนี้ 3 ปีก่อน ก่อนหน้านี้ไม่มีคนไทยทำเลยในเมืองไทย เทคนิคเหล่านี้เกิดขึ้นมาทางฝั่งตะวันตกก่อน จากนั้นทางเอเชีย จึงมีการมาปรับปรุงใช้ในคนเอเชีย ในโซนเอเชีย ผู้นำคือเกาหลี แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับแล้วว่าปลอดภัยกว่า จริงๆ ก็เริ่มมีการพัฒนาเทคนิคนี้ในแต่ละประเทศขึ้นมา ในบ้านเราเองผมว่าก็มีการทำมากขึ้น” คุณหมอพีระกล่าว
วิวัฒนาการการเสริมอึ๋มสารพัดวิธี
->ยัดซิลิโคน จากน้ำเกลือสู่เจล
“คนไทยจะนิยมหน้าอกธรรมชาติ เวลาใส่เสื้อผ้าดูธรรมชาตินะ ปัจจุบันแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ การเสริมด้วยซิลิโคน ปัจจุบันนิยมใช้ซิลิโคนเจลหมดเเล้ว ถุงน้ำเกลือถือว่ามีการใช้น้อยมากในแวดวงศัลยกรรม เพราะว่าถุงน้ำเกลือมีอัตราการรั่วถึง 5% ใน 5 ปี คนไข้ตื่นมาหน้าอกอาจจะแฟบหายไป ต้องทำใหม่
ในอดีตเมื่อ 10 กว่าปีก่อน การใช้ซิลิโคนถุงเจล อาจจะถูกระงับไว้ชั่วคราวในอเมริกา เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย แต่หลังจากปี 2003 หลังจากหยุดใช้ที่อเมริกาไปประมาณ 10 ปีได้ มีการศึกษาวิจัยในรายงานของมนุษย์ที่ใส่ไปแล้วว่ามีปัญหาอะไรบ้างไหม ในระหว่างที่หยุดใช้ก็ใช้ถุงน้ำเกลือ
พอในปี 2003 เขาก็มีรายงานโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ บอกว่า ใช้ได้แล้ว ไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง ซึ่งจริงๆ แล้วศัลยแพทย์ก็รอคอยสิ่งนี้อยู่ เพราะว่าถุงเจล ให้สัมผัสที่ธรรมชาติกว่าถุงน้ำเกลือ มันจะมีความหยุ่นตัวใกล้เคียงเนื้อเต้านมได้ดีกว่า
ในปี 2003 ก็เกิดการใช้ถุงเจลอย่างมหาศาลทั่วโลก ปัจจุบันถุงน้ำเกลือจึงเป็นที่นิยมน้อยมาก เจลรุ่นใหม่ๆ ก็เป็นเจลที่ เรียกว่า Cohesive (ยึดเกาะ) หรือถ้าเรียกง่ายๆ เรียกว่า กัมมี่แบร์ (Gummy Bear) เจลลักษณะนี้จะมีการเกาะตัวกันเป็นก้อน ถึงแม้เปลือกจะมีการปริตัวออกมา เจลก็จะไม่ไหลออกมาเหมือนน้ำ เหมือนเจลลี่ ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยให้คนไข้ ได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ซึมเข้าสู่ร่างกาย
ปัจจุบันเจลถือว่ามีความปลอดภัยสูงมาก ปัจจุบันจึงมาเล่นในรูปแบบทรงของเจล ทรงกลม ทรงหยดน้ำ ซึ่งปัจจุบันทรงหยดน้ำจะเป็นทรงที่ทันสมัยที่สุด ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือในฝั่งของการเสริมด้วยซิลิโคน
->ฉีดไขมันตัวเอง ข้อจำกัดเยอะ
“อีกฝั่งก็เป็นเรื่องของการจะไปใช้เนื้อเยื่อของตนเอง ได้แก่ ไขมัน ในการฉีดไขมันเข้าสู่เนื้อเต้านม ได้รับการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ปัจจุบันเป็นทางเลือกในการเสริมเต้านมเท่านั้น ข้อจำกัดก็เยอะ เช่น ข้อจำกัดของเรื่องขนาดที่อาจจจะได้ไม่ใหญ่เท่าซิลิโคน โดยเฉพาะในคนผอม มีไขมันน้อย และหากจำเป็นต้องฉีดหลายครั้งค่าใช้จ่ายอาจจะสูงมากและ อาจจะไม่ได้ขนาดที่พอใจ
เพราะอาจจะเกิดการยุบตัวของเซลล์ไขมันร่วมด้วย ทำให้ไขมันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาอยู่ แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องมาเปรียบเทียบกับการเสริมเต้านมด้วยเจล ซึ่งเป็นการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว และได้รูปทรงที่ต้องการทันที
ข้อดีคือ ไม่ได้ใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ข้อจำกัดคือ การสร้างขนาดที่ดีทำได้ยากในคนผอม การที่ต้องทำหลายครั้ง และการยุบตัวของเซลล์ไขมัน และที่ยังห่วงคือ การตรวจเมมโมเเกรม ว่าจะอ่านผลได้ดีแค่ไหน เพราะเป็นการฉีดไขมันเข้าไปในเนื้อหน้าอกโดยตรง มันจะไปแทรกอยู่ในเนื้อเต้านม
ในจุดนี้ก็ต้องพึ่งหมอที่มีประสบการณ์เรื่องเอ็กซเรย์สูงมากๆ ในการอ่าน อันนี้จึงเป็นข้อกังวลอยู่ว่าจะแยกเรื่องของมะเร็งเต้านมในระยะเเรกได้แม่นยำเพียงไร มะเร็งระยะเริ่มต้นจะมีแคลเซียมเล็กๆ การฉีดเซลล์ไขมันเข้าไปในร่างกายอาจจะทำให้เกิดกลุ่มเเคลเซียมเล็กๆ ได้เช่นกัน
การแยก 2 ตัวออกจากกันด้วยการเอ็กซเรย์ต้องอาศัยหมอที่ชำนาญมากจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นข้อจำกัดในบ้านเรา แต่ถ้าเป็นการเสริมซิลิโคน จะแยกชั้นกันเลย นี่คือข้อกังวลกันอยู่ แต่ผมเชื่อว่าในอนาคตอาจจะมีข้อเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ หลังจากที่มีการศึกษาวิจัยมากกว่านี้”
->ฉีดฟิลเลอร์ (ต้องห้าม)
“การฉีดฟิลเลอร์เข้าร่างกาย ผมเรียนตามตรงเนื่องจากเราทำงานด้านนี้เราต้องติดตามเรื่องการวิจัยทั่วโลก ถึงจะแนะนำคนไข้ได้อย่างถูกต้อง พบว่าในอเมริกายกเลิกการใช้ฟิลเลอร์เสริมเต้านมไปแล้ว อาจจะมีในโซนยุโรปอยู่บ้าง เพราะความเข้มงวดของการใช้สารเหล่านี้น้อยกว่าในอเมริกา
สารที่มีการฉีดเข้าสู่เต้านมในปัจจุบันมีหลายชนิด และบางชนิดพบว่า 30 % ของคนที่ฉีดเข้าไปจะฟอร์มตัวจับตัวกันเป็นก้อน หรืออาจจะมีการอักเสบได้ด้วย ในรายที่อักเสบแทบจะไม่ต่างจากการอักเสบจากการฉีดซิลิโคนเหลวเลย ในความเห็นของหมอ คิดว่าอันตรายเกินไป
ปัจจุบันผมคิดว่าในบ้านเรายังไม่มีกฎหมายเข้มงวดในเรื่องนี้ จริงๆ ก็อยากจะออกมาให้ข้อมูลตรงนี้ด้วย ผมทำงานด้านนี้เจอปัญหาจากการฉีดฟิลเลอร์ในหน้าอกมากเลย แล้วแก้ให้ไม่ได้ เพราะฟิลเลอร์จะกลืนไปกับเนื้อเต้านมเลย การคว้านเนื้อจะทำให้เนื้อเต้านมเสียหาย เนื่องจากมีการเอาไปใช้ในสถานเสริมความงามบางสถานที่ แต่ว่าอาจจะไม่ได้ศึกษาลึกถึงผลแทรกซ้อน ว่าจะแก้ได้หรือไม่
แตกต่างกับการฉีดจมูกด้วยสารฟิลเลอร์ มันเป็นการฉีดในชั้นใต้ผิวหนังตื้นๆ และสารที่ฉีดคนละชนิดเพราะที่ฉีดบนใบหน้าจะเป็นพวก HA ( Hyaluronic acid ) เป็นสารไม่ถาวร ซึ่งมีอยู่แล้วในชั้นใต้ผิวหนังตามธรรมชาติ สามารถ อยู่ได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งมีราคาแพง ต่อซีซีราคาเป็นหมื่น แต่ถ้านำมาฉีดหน้าอกจะใช้หลายร้อยซีซี เขาจะใช้คนละตัว ซึ่งเป็นสารกึ่งถาวร ราคาถูกกว่าแต่ปัญหาที่ตามมาเยอะ
สำหรับจมูกและใบหน้า การฉีดถือเป็นมาตรฐานทั่วโลก ได้รับการยอมรับว่าทำได้ ไม่เป็นไร แต่ต้องใช้สารที่สลายไปได้นะ ปัจจุบัน HA ก็มีหลายตัวมากเลย เขาก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ค่อนข้างปลอดภัย”
ศัลยแพทย์ ....เหรียญสองด้าน จริยธรรม vs เงิน
หมอพีเป็นหมอศัลยกรรมที่มีคนไข้จองคิวจ่อทำสวยอัพอึ๋มเพียบ แน่นขนัดเต็มร้าน ได้รับความไว้วางใจในการลงมีดผ่าตัดจนต้องบอกต่อ ปากต่อปาก เพราะอะไร….
"แพทย์รุ่นใหม่ๆ เลือกเรียนเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งความงามมากขึ้น มีผู้สมัครมากในแต่ละปี เพราะทุกคนมองว่าน่าจะสร้างรายได้ได้ดี และเป็นเทรนด์ของโลกทางด้าน Beautification การสร้างความสวยงามมันเป็นเทรนด์ หลังจากที่ทุกคนเศรษฐกิจดีขึ้น จะเริ่มมองเรื่องความสวยงาม และการแข่งขันในปัจจุบันจึงทำให้ Beautification ได้รับความนิยม แพทย์จึงเลือกเรียนมากขึ้น
แต่ผมอยากจะเตือนว่า การที่เราทำงานด้านนี้ เหมือนเรายืนอยู่บนเหรียญสองด้าน ถ้าเราไม่คำนึงถึงคนไข้มากพอ เรามีโอกาสที่จะเป็นแพทย์ด้านที่ไม่ดีได้ง่าย
อยากจะเน้นเตือนในเรื่องของจริยธรรมมากๆ เลยว่า เราควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องรายได้ที่เข้ามา และคำนึงเรื่องของความปลอดภัยที่เราทำด้วย ว่าจะสร้างปัญหา หรือทำให้คนไข้ได้รับประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
อาจารย์ผมก็ได้ปลูกฝังสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี คือ ศ.นพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ ที่จุฬาฯ ท่านปลูกฝังลูกศิษย์ทุกคนให้มีจริยธรรมที่ดี
ดังนั้นเป็นสิ่งที่เรายึดถือ ผมอยากจะเตือนแพทย์รุ่นใหม่ให้เดินตามรอยทางแนวนี้ เนื่องจากมันใกล้กันมากเลย เป็นเหรียญสองด้าน ว่าคุณจะล้มไปด้านไหน เนื่องจากคนไข้มาปรึกษาเราต้องการ Expert Opinion ดังนั้นสิ่งที่เราพูดไปเขาเชื่อ เราต้องครองตัวอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
ทั้งนี้จะสร้างความสำเร็จให้แก่ตัวเราเอง ถ้าเราเดินไปในทางที่ถูกต้อง ชื่อเสียงความสำเร็จจะเริ่มมาช้าๆ ถ้าเราสร้างสิ่งที่ดีให้แก่คนไข้ ความสำเร็จจะเกิดการจากบอกต่อ ปากต่อปาก ผมว่าลักษณะนี้จะทำให้วงการศัลยแพทย์ตกแต่งได้รับการยอมรับและได้รับการชื่นชมมากต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต ว่าเราพัฒนาหรือดูแลคนไข้เราดี
หากคนไข้มาปรึกษาในบางจุดแต่หากศัลยแพทย์ประเมินแล้วว่า มันดีอยู่แล้ว หรือมันแก้ไขไม่ได้ หรือแก้แล้วแย่ลง เราต้องเบรกคนไข้ บอกว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ดีกว่าที่เราจะตัดสินใจทำลงไปแล้วเราสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่สวยออกมา ซึ่งมันจะกระทบกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของคุณหมอโดยตรง อันนี้เป็นหนึ่งในข้อห้ามของการทำผ่าตัดของผมเลยนะ
แนวคิดของผมคือ ปริมาณไม่สำคัญ สำคัญที่คุณภาพของงาน ปริมาณเคสคนไข้ไม่สำคัญเลย รายได้ไม่สำคัญ
คติพจน์จริงๆ ของผมจากอาจารย์หมอจรัญ คือ คิดดีทำดี มันก็แปลมาถึงว่า แนวทางการทำงานคุณภาพของงานมาก่อนปริมาณ สำคัญคือ ผลงานของเราที่ออกไปสวยงามดีหรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความภูมิใจให้กับคนที่ทำ สร้างชื่อเสียงต่อไป
เราสร้างก่อกำแพงที่แข็งแรง อิฐทุกก้อนสำคัญ มันไม่ใช่งานที่จะทำได้ภายในวันสองวัน หรือในช่วงแค่ข้ามปี มันต้องสะสมความดีสะสมประสบการณ์กับตัวเรา ทุกก้อนสำคัญมันจะแข็งแรงทั้งหมด หากเราทำให้เกิดช่องโหว่วันหนึ่งกำแพงมันอาจจะล้มลงมาก็ได้" นพ.พีระ กล่าวปิดท้ายถึงจรรยาบรรณที่หมอทุกคนพึงมี
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
"พยายามหาข้อมูลศึกษามาหลายที่อ่านรีวิวจากหลายๆ แหล่ง สุดท้ายก็ถูกใจ และตัดสินใจทำกับคุณหมอพีระค่ะ เพราะข่าวมาว่าหน้าอกชิด สวย ได้รูป และที่สำคัญ….
โอ้จอร์จ! ที่เค้าล่ำลือกันนักหนาว่าคุณหมอหล่อนั้นไม่ผิดเลย เพราะเป็นจริงทุกคำพูดที่ได้ยินมาค่ะ หล่อ เท่ น่ารัก สุภาพ แฮ่ๆ ๆ"
เป็นอีกหนึ่งในหลายเสียงบนโลกออนไลน์ที่ชื่นชอบในฝีมือการทำอึ๋มของ นพ.พีระ เทียนไพฑูรย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Breast surgery และ Facial surgery ศัลยแพทย์ตกแต่ง PSC Clinic (Peera Plastic and Skin Clinic)
ทว่าคุณหมอพียังโด่งดังเป็นที่กล่าวขวัญกันมากมายในเว็บแชร์ประสบการณ์ศัลยกรรม ดั้งโด่ง ดอท คอม อีกทั้งชื่อของคุณหมอพีระยังเป็นนามที่สาวๆ พึ่งอากู๋เซิร์สชื่อข้อมูลทำศัลยกรรมอกอึ๋มอันดับต้นๆ
เป็นคุณหมอท่านแรกๆ ในเมืองไทยที่นำกระดูกอ่อนหลังใบหูมาต่อปลายจมูก ยิ่งในเรื่องการเสริมอึ๋มสนนราคาสมเหตุสมผลต้องยกให้คุณหมอท่านนี้เลย
สำหรับคนไข้เจ้าใหม่ต้องกางปฏิทินนัดคิวกันเลยทีเดียว เพราะฝีมือที่ได้รับการบอกต่อจนคนไข้ให้ความไว้วางใจ.......
กระแสโลก การแข่งขันสูง ดึงธุรกิจศัลย์พุ่ง!
คุณหมอพีระมองธุรกิจศัลยกรรมว่า เป็นเทรนด์หน้าตาดี บุคลิกภาพชนะเลิศ พลอยให้หน้าที่การงานย่อมดีตามขึ้นไปด้วย อีกทั้งการแข่งขันในทุกๆ ด้านสูง การศัลกรรมจึงสามารถตอบโจทย์ในเรื่องหน้าตาได้
“ผมว่าเปอร์เซ็นต์ของการที่ผู้ชายมาทำศัลยกรรมในแต่ละปีคงที่นะ เพราะในคนไข้ที่เขาสนใจจะทำด้านนี้เขาก็ทำอยู่แล้ว ผมว่าไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าผู้หญิง ผมว่ากลุ่มผู้ชายที่ต้องการตกแต่งเพิ่มเติมในด้านศัลยกรรมยังนิ่งๆ อยู่ แต่ในด้านของผู้หญิงผมว่าเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี ผมว่าเป็นกระแสของโลกนะ
ทำไมศัลยกรรมเยอะขึ้น ก็เพราะว่าการแข่งขันสูง คือ ทุกคนในปัจจุบันนี้แข่งกันทุกด้าน แข่งตั้งแต่การเรียน ภาษา สุดท้ายตัวชี้วัดอันหนึ่งที่คนไข้เขาคำนึงถึงคือ เรื่องของบุคลิกภาพ
การทำศัลยกรรมอย่าไปโอเว่อร์ แต่มันช่วยคนไข้ได้ ทำให้บุคลิกภาพภายนอกเขาดูดีขึ้น มีผลกับเรื่องของหน้าที่การงาน เขาก็มองจุดนี้กันเยอะขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมว่า 'ความสามารถ' สำคัญที่สุด”
ปัญหาเสริมดั้งเทคนิคเก่า ปลายบาง ทะลุ!
คุณหมอบอกว่า อย่างไรก็ตามเบอร์ 1 ที่คนไข้ออร์เดอร์ศัลกรรมไม่พ้น 'จมูก' แต่ส่วนใหญ่จะพบปัญหาในเรื่องของปลายบาง ทะลุ จนต้องมาขึ้นเขียงรอบ 2
"ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มาทำศัลยกรรมจะเน้นในเรื่องของใบหน้า ซึ่งมีหลายส่วนมากเลย ใบหน้าทุกส่วน ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้เป็นหลัก ใบหน้าเบอร์ 1 คือ ทำจมูก จากนั้นคือตา หรือการฉีดไขมันบนใบหน้า การแก้ไขส่วนอื่นๆ เช่น หูกาง การดึงหน้า การดึงคิ้ว ดึงหน้าผาก
เพราะว่าโครงสร้างพื้นฐานของเราขาดเรื่องของจมูกซะเยอะ หากเทียบกับฝรั่งหรือพื้นฐานของคนไทยก็มีความโด่งน้อยกว่าเกาหลี โดยชาวเกาหลีจะมีจมูกที่โด่งมากกว่าเรา ฉะนั้นการทำให้โด่งมากๆ ถือเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
ที่เรามักพูดๆ กันว่าหากทำศัลยกรรมแล้วจะต้องมาทำครั้งที่ 2 หรือ 3 ครั้ง น่าจะเป็นกรณีที่เกิดปัญหามากกว่า เช่น ทำจมูกสักพักเกิดปัญหาเรื่องปลายบาง ทะลุ ซึ่งมันเป็นเรื่องของเทคนิคในอดีต
สมัยก่อนเราใช้ซิลิโคนดันปลายจมูกให้โด่ง เราจะเห็นปัญหานี้บ่อยมาก เมื่อผิวหนังถูกดันด้วยซิลิโคน ซักพักจะบาง บางคนอาจจะ 6 เดือน หรือบางคนโชคดีหน่อย แสดงอาการประมาณ 2-3 ปี หรือ 5 ปี 8 ปีก็มีเปลี่ยนเทคนิค นำกระดูกอ่อนมาเสริมปลายจมูก
ฉะนั้น ปัจจุบันผมจึงเปลี่ยนเทคนิคหมดแล้ว ปลายจมูกจะใช้กระดูกอ่อนจริงทำขึ้นมา จริงๆ ผมน่าจะเป็นยุคแรกๆ ในเมืองไทยที่ริเริ่มทำตรงนี้ และปัจจุบันจึงเป็นมาตรฐานในการทำจมูกของผมไปแล้ว การใช้ซิลิโคนที่ปลายจมูกปัจจุบันในเมืองไทยยังทำกันอยู่เยอะ แต่ของผมเหลือน้อยมากแล้ว
แหล่งของกระดูกอ่อนมี 2 ที่ ที่สามารถเอามาใช้ได้ คือหลังใบหู ซึ่งเป็นส่วนที่เราไม่ได้ใช้งาน มองภายนอกจะไม่รู้เลย มันเหมือนส่วนที่เราไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว มองไม่เห็นเลย และอีกที่คือ กระดูกอ่อนที่อยู่ในช่องโพรงจมูกภายในลึกๆ มันจะมีส่วนที่เราไม่ใช้งานอยู่ เทคนิคนี้จะได้ผลลัพธุ์ที่ยาวนานกว่า เพราะปัญหา 99.99 % ของการทำจมูก ถ้าไม่นับเรื่องเอียง ก็คือ ปลายบางทะลุ จะเกิดที่นี่อย่างเดียวเลย
มีเหตุผลเพราะว่า ตำแหน่งของปลายจมูกเป็นส่วนที่มีการขยับเคลื่อนไหวมาก ซึ่งเป็นส่วนของกระดูกอ่อนอยู่แล้ว มีการใช้งาน มีการสัมผัสสูง เป็นส่วนที่เคลื่อนไหว ถ้าเทียบกับบนสันซึ่งเป็นส่วนที่ไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นแรงเสียดสีมีมาก อีกทั้งบริเวณนี้ก็เป็นส่วนที่โด่งที่สุดของจมูกด้วย แรงตึงก็สูงสุด
ปัญหาจึงเกิดบ่อยที่สุดตรงนี้ หากเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้โดยเบ็ดเสร็จก็จะเพิ่มความปลอดภัยให้คนไข้ ปัจจุบันผมคิดว่าในอนาคตไม่ไกล มันจะเป็นมาตรฐานในการทำจมูกในบ้านเราไปเลย
ผมเริ่มทำตรงนี้ 3 ปีก่อน ก่อนหน้านี้ไม่มีคนไทยทำเลยในเมืองไทย เทคนิคเหล่านี้เกิดขึ้นมาทางฝั่งตะวันตกก่อน จากนั้นทางเอเชีย จึงมีการมาปรับปรุงใช้ในคนเอเชีย ในโซนเอเชีย ผู้นำคือเกาหลี แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับแล้วว่าปลอดภัยกว่า จริงๆ ก็เริ่มมีการพัฒนาเทคนิคนี้ในแต่ละประเทศขึ้นมา ในบ้านเราเองผมว่าก็มีการทำมากขึ้น” คุณหมอพีระกล่าว
วิวัฒนาการการเสริมอึ๋มสารพัดวิธี
->ยัดซิลิโคน จากน้ำเกลือสู่เจล
“คนไทยจะนิยมหน้าอกธรรมชาติ เวลาใส่เสื้อผ้าดูธรรมชาตินะ ปัจจุบันแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ การเสริมด้วยซิลิโคน ปัจจุบันนิยมใช้ซิลิโคนเจลหมดเเล้ว ถุงน้ำเกลือถือว่ามีการใช้น้อยมากในแวดวงศัลยกรรม เพราะว่าถุงน้ำเกลือมีอัตราการรั่วถึง 5% ใน 5 ปี คนไข้ตื่นมาหน้าอกอาจจะแฟบหายไป ต้องทำใหม่
ในอดีตเมื่อ 10 กว่าปีก่อน การใช้ซิลิโคนถุงเจล อาจจะถูกระงับไว้ชั่วคราวในอเมริกา เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย แต่หลังจากปี 2003 หลังจากหยุดใช้ที่อเมริกาไปประมาณ 10 ปีได้ มีการศึกษาวิจัยในรายงานของมนุษย์ที่ใส่ไปแล้วว่ามีปัญหาอะไรบ้างไหม ในระหว่างที่หยุดใช้ก็ใช้ถุงน้ำเกลือ
พอในปี 2003 เขาก็มีรายงานโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ บอกว่า ใช้ได้แล้ว ไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง ซึ่งจริงๆ แล้วศัลยแพทย์ก็รอคอยสิ่งนี้อยู่ เพราะว่าถุงเจล ให้สัมผัสที่ธรรมชาติกว่าถุงน้ำเกลือ มันจะมีความหยุ่นตัวใกล้เคียงเนื้อเต้านมได้ดีกว่า
ในปี 2003 ก็เกิดการใช้ถุงเจลอย่างมหาศาลทั่วโลก ปัจจุบันถุงน้ำเกลือจึงเป็นที่นิยมน้อยมาก เจลรุ่นใหม่ๆ ก็เป็นเจลที่ เรียกว่า Cohesive (ยึดเกาะ) หรือถ้าเรียกง่ายๆ เรียกว่า กัมมี่แบร์ (Gummy Bear) เจลลักษณะนี้จะมีการเกาะตัวกันเป็นก้อน ถึงแม้เปลือกจะมีการปริตัวออกมา เจลก็จะไม่ไหลออกมาเหมือนน้ำ เหมือนเจลลี่ ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยให้คนไข้ ได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ซึมเข้าสู่ร่างกาย
ปัจจุบันเจลถือว่ามีความปลอดภัยสูงมาก ปัจจุบันจึงมาเล่นในรูปแบบทรงของเจล ทรงกลม ทรงหยดน้ำ ซึ่งปัจจุบันทรงหยดน้ำจะเป็นทรงที่ทันสมัยที่สุด ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือในฝั่งของการเสริมด้วยซิลิโคน
->ฉีดไขมันตัวเอง ข้อจำกัดเยอะ
“อีกฝั่งก็เป็นเรื่องของการจะไปใช้เนื้อเยื่อของตนเอง ได้แก่ ไขมัน ในการฉีดไขมันเข้าสู่เนื้อเต้านม ได้รับการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ปัจจุบันเป็นทางเลือกในการเสริมเต้านมเท่านั้น ข้อจำกัดก็เยอะ เช่น ข้อจำกัดของเรื่องขนาดที่อาจจจะได้ไม่ใหญ่เท่าซิลิโคน โดยเฉพาะในคนผอม มีไขมันน้อย และหากจำเป็นต้องฉีดหลายครั้งค่าใช้จ่ายอาจจะสูงมากและ อาจจะไม่ได้ขนาดที่พอใจ
เพราะอาจจะเกิดการยุบตัวของเซลล์ไขมันร่วมด้วย ทำให้ไขมันยังอยู่ในระหว่างการศึกษาอยู่ แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องมาเปรียบเทียบกับการเสริมเต้านมด้วยเจล ซึ่งเป็นการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว และได้รูปทรงที่ต้องการทันที
ข้อดีคือ ไม่ได้ใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ข้อจำกัดคือ การสร้างขนาดที่ดีทำได้ยากในคนผอม การที่ต้องทำหลายครั้ง และการยุบตัวของเซลล์ไขมัน และที่ยังห่วงคือ การตรวจเมมโมเเกรม ว่าจะอ่านผลได้ดีแค่ไหน เพราะเป็นการฉีดไขมันเข้าไปในเนื้อหน้าอกโดยตรง มันจะไปแทรกอยู่ในเนื้อเต้านม
ในจุดนี้ก็ต้องพึ่งหมอที่มีประสบการณ์เรื่องเอ็กซเรย์สูงมากๆ ในการอ่าน อันนี้จึงเป็นข้อกังวลอยู่ว่าจะแยกเรื่องของมะเร็งเต้านมในระยะเเรกได้แม่นยำเพียงไร มะเร็งระยะเริ่มต้นจะมีแคลเซียมเล็กๆ การฉีดเซลล์ไขมันเข้าไปในร่างกายอาจจะทำให้เกิดกลุ่มเเคลเซียมเล็กๆ ได้เช่นกัน
การแยก 2 ตัวออกจากกันด้วยการเอ็กซเรย์ต้องอาศัยหมอที่ชำนาญมากจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นข้อจำกัดในบ้านเรา แต่ถ้าเป็นการเสริมซิลิโคน จะแยกชั้นกันเลย นี่คือข้อกังวลกันอยู่ แต่ผมเชื่อว่าในอนาคตอาจจะมีข้อเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ หลังจากที่มีการศึกษาวิจัยมากกว่านี้”
->ฉีดฟิลเลอร์ (ต้องห้าม)
“การฉีดฟิลเลอร์เข้าร่างกาย ผมเรียนตามตรงเนื่องจากเราทำงานด้านนี้เราต้องติดตามเรื่องการวิจัยทั่วโลก ถึงจะแนะนำคนไข้ได้อย่างถูกต้อง พบว่าในอเมริกายกเลิกการใช้ฟิลเลอร์เสริมเต้านมไปแล้ว อาจจะมีในโซนยุโรปอยู่บ้าง เพราะความเข้มงวดของการใช้สารเหล่านี้น้อยกว่าในอเมริกา
สารที่มีการฉีดเข้าสู่เต้านมในปัจจุบันมีหลายชนิด และบางชนิดพบว่า 30 % ของคนที่ฉีดเข้าไปจะฟอร์มตัวจับตัวกันเป็นก้อน หรืออาจจะมีการอักเสบได้ด้วย ในรายที่อักเสบแทบจะไม่ต่างจากการอักเสบจากการฉีดซิลิโคนเหลวเลย ในความเห็นของหมอ คิดว่าอันตรายเกินไป
ปัจจุบันผมคิดว่าในบ้านเรายังไม่มีกฎหมายเข้มงวดในเรื่องนี้ จริงๆ ก็อยากจะออกมาให้ข้อมูลตรงนี้ด้วย ผมทำงานด้านนี้เจอปัญหาจากการฉีดฟิลเลอร์ในหน้าอกมากเลย แล้วแก้ให้ไม่ได้ เพราะฟิลเลอร์จะกลืนไปกับเนื้อเต้านมเลย การคว้านเนื้อจะทำให้เนื้อเต้านมเสียหาย เนื่องจากมีการเอาไปใช้ในสถานเสริมความงามบางสถานที่ แต่ว่าอาจจะไม่ได้ศึกษาลึกถึงผลแทรกซ้อน ว่าจะแก้ได้หรือไม่
แตกต่างกับการฉีดจมูกด้วยสารฟิลเลอร์ มันเป็นการฉีดในชั้นใต้ผิวหนังตื้นๆ และสารที่ฉีดคนละชนิดเพราะที่ฉีดบนใบหน้าจะเป็นพวก HA ( Hyaluronic acid ) เป็นสารไม่ถาวร ซึ่งมีอยู่แล้วในชั้นใต้ผิวหนังตามธรรมชาติ สามารถ อยู่ได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งมีราคาแพง ต่อซีซีราคาเป็นหมื่น แต่ถ้านำมาฉีดหน้าอกจะใช้หลายร้อยซีซี เขาจะใช้คนละตัว ซึ่งเป็นสารกึ่งถาวร ราคาถูกกว่าแต่ปัญหาที่ตามมาเยอะ
สำหรับจมูกและใบหน้า การฉีดถือเป็นมาตรฐานทั่วโลก ได้รับการยอมรับว่าทำได้ ไม่เป็นไร แต่ต้องใช้สารที่สลายไปได้นะ ปัจจุบัน HA ก็มีหลายตัวมากเลย เขาก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ค่อนข้างปลอดภัย”
ศัลยแพทย์ ....เหรียญสองด้าน จริยธรรม vs เงิน
หมอพีเป็นหมอศัลยกรรมที่มีคนไข้จองคิวจ่อทำสวยอัพอึ๋มเพียบ แน่นขนัดเต็มร้าน ได้รับความไว้วางใจในการลงมีดผ่าตัดจนต้องบอกต่อ ปากต่อปาก เพราะอะไร….
"แพทย์รุ่นใหม่ๆ เลือกเรียนเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งความงามมากขึ้น มีผู้สมัครมากในแต่ละปี เพราะทุกคนมองว่าน่าจะสร้างรายได้ได้ดี และเป็นเทรนด์ของโลกทางด้าน Beautification การสร้างความสวยงามมันเป็นเทรนด์ หลังจากที่ทุกคนเศรษฐกิจดีขึ้น จะเริ่มมองเรื่องความสวยงาม และการแข่งขันในปัจจุบันจึงทำให้ Beautification ได้รับความนิยม แพทย์จึงเลือกเรียนมากขึ้น
แต่ผมอยากจะเตือนว่า การที่เราทำงานด้านนี้ เหมือนเรายืนอยู่บนเหรียญสองด้าน ถ้าเราไม่คำนึงถึงคนไข้มากพอ เรามีโอกาสที่จะเป็นแพทย์ด้านที่ไม่ดีได้ง่าย
อยากจะเน้นเตือนในเรื่องของจริยธรรมมากๆ เลยว่า เราควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องรายได้ที่เข้ามา และคำนึงเรื่องของความปลอดภัยที่เราทำด้วย ว่าจะสร้างปัญหา หรือทำให้คนไข้ได้รับประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
อาจารย์ผมก็ได้ปลูกฝังสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี คือ ศ.นพ.จรัญ มหาทุมะรัตน์ ที่จุฬาฯ ท่านปลูกฝังลูกศิษย์ทุกคนให้มีจริยธรรมที่ดี
ดังนั้นเป็นสิ่งที่เรายึดถือ ผมอยากจะเตือนแพทย์รุ่นใหม่ให้เดินตามรอยทางแนวนี้ เนื่องจากมันใกล้กันมากเลย เป็นเหรียญสองด้าน ว่าคุณจะล้มไปด้านไหน เนื่องจากคนไข้มาปรึกษาเราต้องการ Expert Opinion ดังนั้นสิ่งที่เราพูดไปเขาเชื่อ เราต้องครองตัวอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
ทั้งนี้จะสร้างความสำเร็จให้แก่ตัวเราเอง ถ้าเราเดินไปในทางที่ถูกต้อง ชื่อเสียงความสำเร็จจะเริ่มมาช้าๆ ถ้าเราสร้างสิ่งที่ดีให้แก่คนไข้ ความสำเร็จจะเกิดการจากบอกต่อ ปากต่อปาก ผมว่าลักษณะนี้จะทำให้วงการศัลยแพทย์ตกแต่งได้รับการยอมรับและได้รับการชื่นชมมากต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต ว่าเราพัฒนาหรือดูแลคนไข้เราดี
หากคนไข้มาปรึกษาในบางจุดแต่หากศัลยแพทย์ประเมินแล้วว่า มันดีอยู่แล้ว หรือมันแก้ไขไม่ได้ หรือแก้แล้วแย่ลง เราต้องเบรกคนไข้ บอกว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ดีกว่าที่เราจะตัดสินใจทำลงไปแล้วเราสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่สวยออกมา ซึ่งมันจะกระทบกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของคุณหมอโดยตรง อันนี้เป็นหนึ่งในข้อห้ามของการทำผ่าตัดของผมเลยนะ
แนวคิดของผมคือ ปริมาณไม่สำคัญ สำคัญที่คุณภาพของงาน ปริมาณเคสคนไข้ไม่สำคัญเลย รายได้ไม่สำคัญ
คติพจน์จริงๆ ของผมจากอาจารย์หมอจรัญ คือ คิดดีทำดี มันก็แปลมาถึงว่า แนวทางการทำงานคุณภาพของงานมาก่อนปริมาณ สำคัญคือ ผลงานของเราที่ออกไปสวยงามดีหรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความภูมิใจให้กับคนที่ทำ สร้างชื่อเสียงต่อไป
เราสร้างก่อกำแพงที่แข็งแรง อิฐทุกก้อนสำคัญ มันไม่ใช่งานที่จะทำได้ภายในวันสองวัน หรือในช่วงแค่ข้ามปี มันต้องสะสมความดีสะสมประสบการณ์กับตัวเรา ทุกก้อนสำคัญมันจะแข็งแรงทั้งหมด หากเราทำให้เกิดช่องโหว่วันหนึ่งกำแพงมันอาจจะล้มลงมาก็ได้" นพ.พีระ กล่าวปิดท้ายถึงจรรยาบรรณที่หมอทุกคนพึงมี
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net