>>ถ้าย้อนไปเมื่อประมาณสัก 6 ปีก่อน รับรองว่าไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “มาร์ก-ธนพ เอี่ยมอมรพันธ์” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “ชัยยศ เอี่ยมอมรพันธ์” เจ้าพ่อเครื่องเพชรแห่งบริษัท แฟรงก์ส จิวเวลลี่ ครีเอชั่น มาร์กเคยมีดีกรีเป็นอดีตหนุ่มโสดเนื้อหอมระดับท็อปของแวดวงสังคมไทย ผู้ชื่นชอบการขับรถสปอร์ต บิ๊กไบค์และแจ็กเกตหนัง แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อผู้ชายที่ใครๆ เคยเรียกว่าคาสโนว่า ตัดสินใจลั่นระฆังวิวาห์กับสาวสวยตระกูลดัง “ฝน-ณวิภา มัสยวาณิช”
“ตอนนี้งานหลักของผมคือการเลี้ยงลูกสามคนครับ น้องเคต น้องเกรซ และน้องแม็กซ์ ตื่นเช้ามาผมก็จะขับรถไปส่งลูกสาวสองคนที่โรงเรียน กลับมาบ้านดูแลน้องแม็กซ์คนเล็ก ถึงเวลาก็ไปรับน้องๆ กลับมาจากโรงเรียน ผมอยู่กับครอบครัวตลอดไม่เคยห่างเลย และผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมมีอยู่ตอนนี้มากเลยครับ ส่วนเรื่องธุรกิจตอนนี้เราไม่มีหน้าร้าน เราทำเป็นแบบไพรเวต ออกแบบดีไซน์ให้กับลูกค้าเอ็กซ์คลูซีฟเท่านั้นครับ” คุณมาร์กเล่าให้ Celeb Online ฟังพร้อมรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับการรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัว
“สมัยก่อนตอนเป็นหนุ่มโสด สิ่งที่ผมทำคือออกไปเพื่อหาความสุขมาใส่ตัว ต้องมีโน่นนี่นั่น จะขับรถก็ต้องขับรถสปอร์ต แต่พอถามตัวเองว่ามันยั่งยืนหรือเปล่าความสุขแบบนั้น มันก็ไม่ใช่ ทุกวันนี้ถ้าให้ผมเลือกระหว่างการไปออกงานอีเวนต์ กับการอยู่บ้านนอนกอดลูกๆ สองข้างดูการ์ตูน ผมขอเลือกอยู่บ้านดีกว่า แค่ขอให้ได้ใช้เวลากับพวกเขา ดูแลพวกเขากินข้าว ทำการบ้าน ได้เห็นพวกเขาวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุขมากแล้ว ความรู้สึกมันต่างกันค่อนข้างเยอะนะครับ”
การเปลี่ยนแปลงไปสู่หน้าชีวิตบทใหม่แบบเรียบง่ายของคุณมาร์ก ส่วนหนึ่งไม่ได้เป็นเพราะการมีครอบครัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึงการบวชเรียนตามวิถีของพุทธศาสนานั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครทราบนัก “จริงๆ ผมกับครอบครัวเข้าวัดตลอดแต่คนอื่นเขาไม่ได้เห็นเท่าไหร่ครับ ในฐานะลูกชายคนเดียวเราก็ต้องทำความดีตอบแทนพ่อแม่...
ผมไปบวชมาครับที่วัดโมกศิวาลัย จังหวัดราชบุรี อยู่ห่างชายแดนพม่า 2 กม. ตอนนั้นวัดยังสร้างไม่เสร็จเลย มีศาลาหลังเดียว พระต้องผูกมุ้ง ปักกลดจำวัดกัน ระหว่างที่ผมบวชก็ช่วยสร้างวัดไปด้วย จุดนั้นมันทำให้ผมเห็นเลยว่าคนเราไม่มีวัตถุฟุ่มเฟือยก็อยู่ได้นะ ความสุขความสบายใจมันเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่สิ่งปรุงแต่งอื่นๆ พอไปอยู่ตรงนั้นแล้วเรารู้ว่าแบบนี้เราก็อยู่ได้ ”
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้คุณมาร์กเลือกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวมากเป็นพิเศษ คือเมื่อตอนที่ลูกสาวคนโต-น้องเคตไม่สบายป่วยเป็นโรคปอดติดเชื้อ “ตอนนั้นน้องเคตอยู่ห้องไอซียู คุณหมอบอกเหลือโอกาสมีชีวิตรอดแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ น้องสลบไป 1 เดือนเต็มๆ พอฟื้นก็ต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกสามเดือน ผมอยู่กับลูกตลอดไม่เคยห่าง ตอนนั้นผมคิดได้เลยว่าไม่ว่าคนเราจะมีเงินมากมายแค่ไหนก็เอามาแลกกับชีวิตคนไม่ได้ มันไม่คุ้มครับ”
แน่นอนว่าเราอดไม่ได้ที่จะต้องถามถึงอดีตพาหนะคู่ใจสมัยยังโสดของมาร์ก นั่นก็คือ บรรดามอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ “จอดเรียงอยู่ที่บ้านเนี่ยแหละครับ ไม่ได้ขี่มาสัก 5 ปีแล้ว คุณฝนก็ไม่ได้ห้ามนะ แต่ว่าตั้งแต่มีลูกเราจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงลูกก่อน อะไรที่ไม่เซฟผมจะไม่ทำเลย สมัยยังโสดนี่เรานึกอยากจะขี่ก็ขี่ อยากจะยกล้อก็ทำ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้วครับ ให้ขับรถเร็วยังไม่อยากเลย แต่ก็มีบ้างแหละครับเพราะเด็กๆ เขาชอบ เวลาผมเหยียบคันเร่งทีลูกๆ เขาจะหัวเราะคิกคักชอบใจกันใหญ่ ดูแววแล้วชอบรถทุกคนเลยเหมือนผมและคุณพ่อของผมครับ ผมคงจะสอนให้เขาขับรถ เริ่มจากโกคาร์ตก่อนแล้วค่อยขยับไปตามวัยเขา”
ยุคหนุ่มโสดผู้เต็มที่กับชีวิตของมาร์กจบลงเมื่อพบรักกับ “คุณฝน-ณวิภา มัสยวาณิช” สาวหน้าหวานผู้กุมหัวใจเขาได้อยู่หมัดและทำให้เขาหยุดอยู่ที่เธอ “แต่ละคนย่อมมีชีวิตที่แตกต่างกัน ผมคิดว่าในชีวิตผม ผมใช้ชีวิตได้คุ้มค่าในแบบของผมเอง แล้วการที่เรามาเจอคนคนนึงที่เขาทำให้เรามีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไรเลย มันแปลกมากครับ คืออยู่เฉยๆ ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว ผมเลยคิดว่าเค้าคือคนที่ใช่ เราไม่ต้องมีอะไรภายนอกมาเกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องไปปรากฏตัวเพื่อให้คนมาถ่ายรูป อยู่กับเขาแล้วเราแฮปปี้มาก นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนค้นหาใช่ไหมครับ? แต่ว่าบางทีหลายสิ่งหลายอย่างมันทำให้หลายคนลืมมองในสิ่งนี้ไป ผมก็นับว่าผมโชคดีที่ผมได้เจอสิ่งนี้ ไม่หลงระเริงไปกับสิ่งอื่นที่ทำให้เราไม่รู้ว่าตัวเองว่าต้องการอะไร
ตั้งแต่แต่งงานมาผมไม่เคยห่างจากครอบครัวเลย เราอยู่ด้วยกันตลอด อย่างมากก็ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง อย่างล่าสุดผมเพิ่งไปเที่ยวภูเก็ตกับเพื่อนสนิทแค่ไม่กี่วัน แล้วลูกกับภรรยาผมไม่ได้ไปด้วย ผมคิดถึงพวกเขาแทบตายเลยครับ ผมมีความสุขทุกนาทีที่ได้อยู่กับพวกเขาจริงๆ”
ถึงแม้ว่าใครจะมองว่าอดีตของมาร์กคือการเป็นคาสโนว่าหรือคุณชายที่ชอบเที่ยวเล่นออกงานสังคมไปวันๆ แต่เขาก็ยืนยันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่เปลี่ยนอะไรเลย “ที่ผ่านมาถ้าจะให้เปลี่ยนอะไรผมก็คงไม่เปลี่ยนสักวินาทีเดียว เพราะคนเราเกิดมาแล้วต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ต้องลองดูว่าชีวิตเราทำอะไรได้บ้าง ถึงเวลาที่ต้องหยุดเราก็หยุด แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินหน้าต่อไปในจุดที่เราคิดว่าเราอยากจะไปทางนั้น ตอนนี้ผมมีลูกแล้วจะให้ผมกลับไปใช้ชีวิตแบบโสดมันก็คงไม่ได้อีก ผมคิดว่ามีคนโสดน้อยคนที่ได้ใช้ชีวิตเต็มที่เท่ากับผม มันผ่านไปแล้ว มันอิ่มแล้ว
เมื่อก่อนผมทั้งขับรถสปอร์ต ขี่มอเตอร์ไซค์ ขับรถเที่ยวเดตสาว ทำมาแล้วทุกอย่างครับ มันผ่านในจุดที่ดีที่สุดมาแล้ว แต่ถ้าถามว่ามันคือความสุขที่เรามองหาหรือเปล่า? ตอนโสดน่ะใช่ คือตอนนั้นกราฟมันขึ้นสุดแล้วครับ มันไม่มีทางจะขึ้นไปได้อีก นอกจากมันจะลง เราก็เลยต้องเปลี่ยนไปอีกทางนึงซึ่งเป็นกระบวนการของชีวิต คนเราต้องมีการพัฒนาทั้งเรื่องการงานและรูปแบบการใช้ชีวิต ยิ่งเราอายุมาก เราจะไปใช้ชีวิตแบบเด็กๆ ก็ไม่ได้แล้วครับ”
และด้วยพลังแห่งความรักที่มาร์ก-ธนพ ได้รับจากภรรยาและลูกๆ ทั้งสาม จึงทำให้เขานอกจากจะทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมทั้งในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผู้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับบุคคลที่เขารักแล้วยังหล่อหลอมให้เขาเป็นผู้ชายที่รู้จักการใช้ชีวิตได้คุ้มค่ามากที่สุดอีกคนหนึ่ง
คุณพ่ออินเตอร์หัวใจไทย
ใครหลายคนอาจจะมองว่ามาร์กเป็นนักเรียนนอกมีความคิดความอ่านแบบอินเตอร์ แต่ใครจะไปคิดว่าพอเป็นเรื่องการเลี้ยงลูกทั้งสาม “น้องเคตวัย 5ขวบ น้องเกรซ 3 ขวบ และน้องแม็กซ์วัยขวบกว่า” มาร์กกลับมีมุมมองแบบไทยๆ อยู่ด้วย
“ตอนนี้ลูกสาวคนโต น้องเคตเพิ่งเข้าเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีครับ ผมคิดว่าเป็นโรงเรียนที่ดี อีกอย่างคุณฝนก็จบจากที่นั่น ผมอยากให้ลูกสาวโตมาเป็นผู้หญิงเหมือนแม่ของเขา ตอนนี้ไม่มีแพลนจะส่งลูกเรียนเมืองนอกแน่นอนครับ โดยเฉพาะลูกสาว เอาไว้จบปริญญาก่อนแล้วค่อยส่ง คือผมเห็นอะไรมาเยอะนะ โรงเรียนอินเตอร์ผมก็ไม่ยอมให้เขาเข้า ใครเขาจะคิดว่าผมหัวโบราณก็ปล่อยให้เขาคิดไปครับ
ลูกสามคนจะมีคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกันเลยครับ อย่างคนโตจะหวานๆ แนวเจ้าหญิง ส่วนคนที่สองจะคล้ายผมเหมือนกัน บู๊ๆ ห้าวๆ ส่วนคนเล็กก็ยังเด็กอยู่แต่ก็ดูว่าเขาน่าจะมาแนวผมเหมือนกัน ทุกวันหลังจากลูกๆ เข้านอนแล้ว ผมก็จะนั่งทำงาน เล่นอินเทอร์เน็ตนิดหน่อยและสวดมนต์นั่งสมาธิทุกคืนก่อนนอน พร้อมเริ่มต้นวันใหม่” :: Text by FLASH